“เดือนสามดอกไม้ไฟลงไปจิ่นโจว ล่องลอยเดียวดายใต้ฟ้าคราม”
เช้าตรู่บนหัวเรือมีชายหนุ่มในอาภรณ์ขาวยืนอยู่ เรือนผมยาวตลอดศีรษะ ชายอาภรณ์พลิ้วตามลมเอื่อยๆ ที่ปะทะมา
ชายหนุ่มกำลังอ่านกลอนออกมาสองประโยค
ดวงตายังทอดมองไปแสนไกล ดวงใจยังคงไหวกระเพื่อมดุจคลื่นที่สาดซัด
“ท่านอารอง ท่านอ่านกวีขององค์หญิงแคว้นเชินอีกแล้วหรือ”
ด้านหลังชายหนุ่มยังมีเด็กชายวัยเจ็ดแปดขวบ เขาสวมอาภรณ์ตัวยาวสีฟ้าอ่อนตลอดร่าง ตรงเอวห้อยจี้หยกเนื้อมันวาวที่สลักลายศีรษะพยัคฆ์เอาไว้ ใบหน้าทรงเมล็ดแตง ริมฝีปากเรียวบาง คิ้วเรียวยาวดูแล้วก็คล้ายทั้งบุรุษและสตรี หากเขาไม่เอ่ยปากออกมาแล้วเปลี่ยนมาสวมกระโปรงแสร้งว่าตนเป็สตรี ก็ดูงดงามไม่แพ้ยามเป็บุรุษ
ชายหนุ่มหันกลับมายิ้มน้อยๆ เพียงแค่มองก็รู้ว่าพวกเขาเป็อาหลานกัน ด้วยรูปลักษณ์คล้ายกันเหลือเกิน ทว่าชายหนุ่มในอาภรณ์ขาวนั้นดูแล้วสุขุมกว่า ทั้งยังดูอ่อนโยน ส่วนเด็กชายในชุดสีฟ้าอ่อนนั้นดูมีชีวิตชีวากว่าสักหน่อย ท่าทางก็หยิ่งยโสกว่าเช่นกัน
“กวีบทนี้ดีนัก มีความเศร้าแฝงอยู่ ทั้งยังกล่าวถึงจิ่นโจวของพวกเรา องค์หญิงอียังเด็กกว่าเ้าอีกกระมัง ยังสามารถรู้ว่าจิ่นโจวของพวกเราทิวทัศน์งดงามที่สุดในเดือนสาม ทั้งยังอธิบายถึงดอกไม้ไฟ ช่างอัศจรรย์ใจนัก อัศจรรย์เสียจนไม่รู้จะกล่าวอย่างไร” มือของหยินหัวจับราวบนขอบเรือไว้ มองไปยังหมอกอึมครึมด้านหน้าตนพร้อมทั้งทอดถอนใจ
หมอกขาว เรือใหญ่ แม่น้ำสายยาว เด็กหนุ่มผมยาว เมื่อมองจากหัวเรือแล้วก็ดูโดดเด่นเหนือใคร
หยินหัวคือชายหนุ่มจากตระกูลหยิน ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแคว้นซี ส่วนเด็กหนุ่มข้างกายคือบุตรชายคนเล็กของตระกูลหยิน นามหยินสง
หยินสงั้แ่เล็กก็ไม่ชอบใบหน้าของตนเอง เขารู้สึกอยู่บ่อยๆ ว่าใบหน้าของตนนั้นเหมือนสตรี โดยเฉพาะตอนที่รู้เื่วัยเด็กของตนที่ท่านแม่เคยจับตนแต่งตัวเป็เด็กหญิงแล้วพาออกไปเที่ยวเล่นด้วยกัน ทว่ากลับไม่มีใครสักคนดูออกว่าเขาเป็เด็กชาย
ช่างน่าอับอายนัก
เมื่อเห็นท่านอารองยืนรับลมอ่านกวีอยู่เช่นนี้ก็พลันรู้สึกปวดฟันขึ้นมา
“มีอะไรน่าอัศจรรย์ใจกัน ได้ยินมาว่าท่านราชครูน้อยของแคว้นเชินมีนามว่าจ้งเยียน รูปลักษณ์งามดุจบุปผา ไม่แน่ว่าอาจจะเป็ราชครูที่องค์หญิงอีตรัสไว้ ได้ยินมาว่าเขารูปงามนัก ท่านอารองท่านว่าหากแข่งกับท่านแล้วใครจะหน้าตาดีกว่า” หยินสงเงยหน้าขึ้นถาม
หยินหัวหมดคำจะกล่าวกับหลานชายคนนี้ของตนแล้วจริงๆ ได้แต่ยกพัดในมือขึ้นเคาะหัวหลานชายเบาๆ ทว่าเด็กชายก็ว่องไวเบี่ยงตัวหลบพัดได้ มิรู้เช่นกันว่าเ้าเด็กนี่เหมือนใคร ตระกูลหยินของเขาล้วนแต่มีชื่อเสียงด้านภาพลักษณ์ของปัญญาชนผู้ครองตัวเป็อิสระ ทว่าเ้าหลานชายคนนี้กลับซุกซนนัก
หยินหัวยามยังอยู่แคว้นซีก็เป็ถึงหนึ่งในคนที่ได้สมญานามว่าเป็สี่ยอดบุรุษแห่งฉินโจว ทุกคราที่ออกจากจวนก็มีเหล่าแม่นางน้อยเป็โขยงคอยวิ่งตามรถม้ามาโยนถุงหอมให้ตลอด จนบัดนี้แทบจะเปิดร้านถุงหอมได้หลายร้าน
หลังจากแคว้นซีเริ่มเปิดเส้นทาง ชาวแคว้นซีก็กล้าหาญออกเดินทางไกลสำรวจเส้นทาง
จะให้พวกเขาอยู่แต่ในแคว้น หยินหัวก็รู้สึกเหนื่อยหน่าย ประจวบเหมาะที่เขาได้ยินว่าทุ่งหญ้าห่างไกลแห่งนี้กำลังจะเปิดตลาดใหม่ จึงได้เตรียมตัวมาเที่ยวเล่นเสียหน่อย ทว่าเขาก็ไม่อาจต้านทานความดื้อรั้นของหลานชายที่จะขอติดตามมาด้วย เขาจึงได้แต่ลากเ้าเด็กนี่มากับตน
สองอาหลานที่กำลังสนทนากันอยู่ ทันใดก็พบว่าม่านหมอกพลันแหวกออก เห็นดวงอาทิตย์สีทองดวงโตอยู่ตรงหน้า ทั้งยังมีทุ่งหญ้าสุดลูกหูลูกตาทอดยาว ราวกับฟ้าและดินผสานกันเป็หนึ่ง
เด็กหนุ่มและเด็กชายราวกับถูกมนตร์สะกด
ช่างงดงามยิ่งนัก
ทิวทัศน์ที่นี่แตกต่างจากูเาเขียวและน้ำใสของแคว้นซี บรรยากาศตรงหน้าให้ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่กว่า ทั้งยังให้ความรู้สึกลึกลับในทันทีที่ได้เห็น ทำให้จิตใจคนเฝ้าฝันถึงบางสิ่ง ทั้งยังรู้สึกปลอดโปร่งนัก
หยินหัวพลันรู้สึกว่าวันวานที่ผ่านมาตนนั้นใช้ชีวิตราวกับสุนัขตาบอด ยามนี้ได้พบแสงตะวันสาดส่องลงมาอย่างไร้สิ้นสุดเช่นนี้ก็ทำได้เพียงกู่ร้องออกมา
ทว่าหยินสงนั้นกลับซื่อตรงยิ่งกว่าเขา เ้าเด็กนั่นะโเสียงดังขึ้นมา “อา! อา! อา! ข้าคือหยินสง ต่อไปข้าจะเป็วีรบุรุษให้ได้”
ฟ้าดินไม่ได้ตอบอันใดกลับมา
ไม่เหมือนยามอยู่ที่หมู่บ้านริมน้ำในอำเภอเจียงหนานของจิ่นโจว ยามะโออกไป ูเาก็จะตอบกลับมาเช่นกัน
ที่นี่กว้างใหญ่เกินไป
ยามะโออกมา เสียงที่ะโก็ค่อยๆ จางหายไปกับฟ้าดิน
ใบหน้าของหยินสงแดงซ่าน ในใจรู้สึกตื่นเต้นนัก เด็กหนุ่มรู้สึกชอบที่นี่ั้แ่แรกเห็น
“งดงามนัก ท่านอารอง ไม่แปลกใจที่ท่านพ่อบอกว่าจำต้องเดินทางนับหมื่นลี้” หยินสงตื่นเต้นเสียจนดึงชายเสื้อท่านอาของตนไม่หยุด
หยินหัวที่โดนดึงชายเสื้อจนเกือบจะเสียรูปก็ทำหน้ามุ่ย “นี่คือผ้าหูเตี๋ยเชียวนะ ทั้งใต้หล้ามีอยู่เพียงไม่กี่ตัว หากเ้าดึงจนขาดก็หาใหม่ไม่ได้แล้ว”
หยินสงที่กำลังลิงโลดได้ยินเช่นนั้นก็พลันขมขื่นขึ้นมา ่เวลาที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้ท่านอารองยังมีแก่ใจมาคิดมากเื่อาภรณ์ มันช่าง...มันช่างน่าโกรธเคืองนัก!
ถึงกระนั้นหยินสงก็ยอมปล่อยมือจากชายเสื้อของท่านอาตน แล้วจึงเดินไปอีกฟากหนึ่ง หยุดมองทิวทัศน์ตรงหน้าตนอย่างหลงใหล
หยินหัวส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย เ้าเด็กหน้าเหม็นนี่ยังไม่โต เมื่อโตแล้วก็จะรู้เองว่าเนื้อหนังคนเราสำคัญนัก อาภรณ์ที่ใช้ตกแต่งเนื้อหนังของเรายิ่งสำคัญ เขาเองที่ได้เป็สี่ยอดบุรุษแห่งแคว้นซีได้ก็เพราะอาศัยการแต่งกาย อีกทั้งรายได้หลักที่เข้ามาในตระกูลก็มาจากอาภรณ์เหล่านี้
ใกล้จะถึงที่หมายแล้ว หยินหัวกำชับให้ทุกคนเริ่มเตรียมตัวให้พร้อม ส่วนหยินสงยังคงจ้องไปที่ขอบฟ้าตาไม่กะพริบ มองดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆ ลอยสูงขึ้น ทว่าเพราะจ้องอยู่นานเกินไป เมื่อกลับเข้าไปในห้อง ั์ตาพลันเห็นเพียงความมืดมิดราวกับดวงตาได้มืดบอดไปแล้วก็ไม่ปาน ต้องงุนงงวุ่นวายอยู่พักใหญ่
รอจนเรือจอดเทียบฝั่งแล้วต้องลงเรือ หยินสงก็กลับมาเป็ปกติดังเดิม เพียงแค่เรือจอดสนิทเด็กชายก็ะโลงไปบนพื้นหญ้าทันที คิดจะห้ามก็ห้ามไม่ทันเสียแล้ว
“ท่านอารอง ท่านอารอง พื้นหญ้านี่นุ่มนัก นุ่มจนลงไปกลิ้งได้เลยทีเดียว” หยินสงตื่นเต้นมากจนต้องะโโลดเต้น
บ่าวรับใช้ชราคนหนึ่งจำต้องมาห้ามเด็กหนุ่มไม่ให้ลิงโลดจนเกินไป
“นายน้อย นายน้อย ไม่ได้เด็ดขาดนะขอรับ บนพื้นหญ้ามีทั้งงูพิษและแมลงพิษ หากโดดกัดขึ้นมาจะแย่เอาได้”
หยินหัวมองท่าทางของหลานชายแล้ว ศีรษะก็พลันหนักอึ้งขึ้นมา
หากรู้เช่นนี้เขาก็จะไม่พามาั้แ่แรก ในบรรดาหลานชายทั้งหมดเ้าเด็กชายตรงหน้าคือคนที่ดื้อดึงที่สุด แต่ก็เป็หลานชายคนที่เขาชมชอบที่สุดเช่นกัน หลานคนอื่นล้วนแต่รู้ความเช่นเขา ดังนั้นเมื่อเห็นพวกเขาก็ราวกับเห็นตัวเองก็ไม่ปาน มีเพียงเ้าเด็กคนนี้ที่ไม่เหมือนตน แม้ว่าจะหน้าตาเหมือนเขาราวกับพิมพ์เดียวกัน แต่นิสัยกลับต่างกันคนละขั้ว
ดังนั้นกับหลานคนนี้จึงเรียกได้ว่าทั้งรักทั้งชัง
แต่เมื่อถูกบ่าวรับใช้ชราขวางไว้ เด็กชายก็ยอมขึ้นรถม้าไปแต่โดยดี
รถม้าของตระกูลหยินนั่งสบายนัก ด้านในทั้งเครื่องหอมและเตาอุ่นก็ล้วนมีพร้อม
เมื่อนั่งในรถม้าแล้ว หยินหัวก็เอนหลังพิงผนังรถม้าอย่างเกียจคร้าน ในมือยังถือตำราเล่มหนึ่งที่กำลังอ่านอย่างออกรสออกชาติ ส่วนหยินสงก็เกาะขอบหน้าต่างรถมองบรรยากาศด้านนอกอย่างตื่นเต้น
“อา ท่านอารอง ข้ามองเห็นม้าตัวหนึ่ง ม้าตัวเล็กสีขาวด้วยอีกตัว จริงๆ นะท่านอา” หยินสงอยู่ดีๆ ก็ร้องดังขึ้น อีกมือก็ยื่นมากระตุกอาภรณ์ท่านอารองของตนแรงๆ
หยินหัวกังวลนักว่าชุดของตนจะโดนเ้าเด็กนี่ดึงจนขาด จึงได้แต่ยืนขึ้นมองตาม
เดิมทีเนื้อผ้าหูเตี๋ยนั้นไม่เหมาะกับการสวมใส่ภายนอกนัก แม้จะดูงดงามโดดเด่นและบางเบาทว่าก็งดงามจนเกินควร ถึงกระนั้นวันนี้ยังต้องรีบมางานเปิดงานในฐานะตัวแทนผู้เป็หน้าเป็ตาของตระกูลหยิน วันนี้จึงจำเป็ต้องแต่งกายให้ดูดี ดังนั้นจึงได้ตัดสินใจสวมชุดนี้
ทว่าเมื่อมีเ้าหลานชายที่เอาแต่ดีดดิ้นไม่หยุดมาอยู่ข้างกาย ก็นับว่ากลายเป็หายนะโดยแท้
เขาถูกลากมาข้างหน้าต่างให้ดูบรรยากาศด้านนอก ก็เห็นเพียงว่าด้านนอกนั้นมีจุดขาวๆ จุดหนึ่งแต้มอยู่ ทว่าเมื่อหยินสงร้องเรียกขึ้นเ้าม้าตัวนั้นก็ค่อยๆ วิ่งมาทางตน
“เ้าม้านี่เป็ม้าป่า มิมีใครจับมันได้”
“ทว่าก็งดงามนัก ยามวิ่งอยู่ใต้แสงตะวัน ตัวเล็กๆ ของมันราวกับสัตว์เทพก็ไม่ปาน ท่านดูสิ มันอาจจะเป็ภูตกลางทุ่งหญ้าจริงๆ ก็ได้ ไม่แน่ว่าอาจเป็เทพม้าก็ได้ มันงามขนาดนี้ ท่านจะไม่เห็นได้อย่างไร” หยินสงอธิบายอย่างตื่นเต้น แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายให้ชัดเจนได้อย่างไร ขณะนี้เขาเกิดนึกอิจฉาองค์หญิงแคว้นเชินขึ้นมาทันทีที่นางประพันธ์บทกวีได้ ด้วยเ้าม้าตัวเมื่อครู่นั้นควรค่าแก่การร่ายกวีให้สักบทจริงๆ
“ม้าภูตม้าเทพอะไรกัน ปกติให้เ้าตั้งใจเรียน เ้าก็ไม่เรียน ยามอยู่ด้านนอกก็อย่ามาเรียกข้าว่าท่านอารองเชียว ช่างน่าขายหน้านัก”
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง หยินหัวก็ได้ยินเสียงหลานชายดังขึ้นอีกครั้ง “อ๊าก!”
หยินหัวเตรียมตัวไว้ั้แ่แรกแล้วว่าต้องอยู่ให้ห่างมือหลานชายสักหน่อย ทว่าไม่คิดว่าเ้าเด็กนั่นจะไม่พุ่งมาดึงชุดเขาอีก ท่าทางหลังร้องขึ้นเสียงดังยังคงนิ่งค้างเช่นเดิม ดวงตายังคงจดจ้องมองไปด้านนอก
หยินหัวเห็นเช่นนั้นก็นึกสงสัย อดจะวางหนังสือลงแล้วลุกขึ้นไปดูกับเ้าหลานชายไม่ได้ เขาเห็นว่าบนทุ่งหญ้ามีม้าสีนิลปลอดตลอดร่างตัวหนึ่งกำลังวิ่งไล่เ้าม้าสีขาวบริสุทธิ์อยู่
ทั้งยามที่เ้าม้าสี่นิลกำลังออกวิ่งไล่ตามนั้นก็ดูคึกคักราวกับเปลวไฟที่กำลังลุกโหมก็ไม่ปาน ทว่าบนหลังเ้าม้าสีนิลกลับมีคนคนหนึ่งนั่งอยู่
