ฟืนใต้เตาทั้งสองในห้องครัวถูกจุดขึ้น หม้อใบใหญ่บนเตาเต็มไปด้วยน้ำเดือดปุดๆ เกี๊ยวที่ห่อเป็รูปเงินจินเป่าพากันพลิกตัวลอยขึ้นบนผิวน้ำ
หลี่หรูอี้ยิ้มแย้มอธิบายกับพี่ชายทั้งสี่ว่า “หม้อแรกต้มเกี๊ยว หม้อสองต้มบะหมี่ ครอบครัวพวกเรามีคนมาก ใช้หม้อเดียวต้มเกี๊ยวไม่พอกิน จะต้องใช้สองหม้อ”
“ไม่มีอะไรอร่อยไปกว่าเกี๊ยวแล้ว”
“เกี๊ยววันนี้แป้งบาง ไส้ก็มีเนื้อเยอะผักน้อย จะต้องอร่อยแน่”
หลี่หรูอี้กล่าวเสียงใสว่า “บะหมี่ของวันนี้ท่านอารองของข้าเป็คนนวดเองกับมือ มีเนื้อัันุ่มหนึบ แป้งเกี๊ยวเขาก็เป็คนทำ ทั้งขนาดและความหนาล้วนเท่ากัน ทำได้ดีกว่าข้าเสียอีก เขานวดแป้งคนเดียว ข้า ท่านพ่อ และท่านแม่ ช่วยกันห่อสามคน”
หลี่อิงฮว๋ากล่าวขึ้นว่า “ในครอบครัวเราท่านอารองเป็คนที่มีพร์ด้านอาหารจานแป้งมากที่สุดแล้ว”
หลี่หรูอี้กล่าวเน้น “วันนี้ท่านอารองทำความสะอาดห้องครัวและห้องใต้ดินไปสองรอบด้วยเ้าค่ะ ตอนที่เขาอยู่บ้านก็ทำงานตลอดไม่ว่างเว้นแม้แต่เค่อเดียว พวกท่านวางใจเถิด หากมีท่านอารองอยู่ข้าย่อมไม่เหนื่อย” นี่คือคำพูดจากใจจริง
เมื่อได้ยินดังนั้นหลี่สือที่กำลังเล่นกับสุนัขอยู่ที่ลานบ้านก็ฉีกยิ้มกว้าง เผยให้เห็นฟันขาวราวหิมะ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เกี๊ยวที่มีไอร้อนพวยพุ่ง สลัดแตงกวา และถั่วลิสงคั่ว ก็ถูกยกขึ้นโต๊ะอาหารบ้านหลี่ ทุกคนล้วนมีรอยยิ้มเปี่ยมสุขประดับใบหน้า
หลี่เจี้ยนอันที่นำเกี๊ยวไปมอบให้บ้านหวังไห่กลับมาพร้อมขนมปังพุทราจีนขนาดใหญ่เท่าบุ้งกี๋ “น้าเฟิงกำลังนึ่งขนมปังพุทราจีนขอรับ นางบอกว่าลองนึ่งเป็ครั้งแรก อีกไม่กี่วันซานนิวจะออกเรือนแล้วค่อยนึ่งให้คนในบ้านกิน วันนี้พอนึ่งเสร็จก็แบ่งให้พวกเรามาชิ้นหนึ่ง”
ขนมปังพุทราจีนมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางหนึ่งชุ่นครึ่ง ตัวแป้งมีพุทราจีนสีแดงลูกใหญ่หลายลูกฝังอยู่ดูแล้วเป็มงคลยิ่งนัก
อาหารชนิดนี้มีลักษณะดี มีรสชาติคล้ายหมั่นโถว เพียงแต่มีพุทราจีนรสหวานเพิ่มขึ้นมาจึงดูเป็มงคลและมีคุณค่ามากขึ้น เป็อาหารจานแป้งที่นิยมใช้ในงานเฉลิมฉลองของเมืองเยี่ยน
นี่เป็ครั้งแรกที่หลี่หรูอี้ได้เห็นขนมปังพุทราจีนที่มีขนาดใหญ่เพียงนี้ นางยื่นมือออกไปบิออกมาชิมชิ้นเล็กๆ พบว่าตัวแป้งมีรสหวานจึงกล่าวขึ้นด้วยความแปลกใจว่า “ผสมน้ำตาลในแป้งด้วย”
“ที่แท้ก็เป็ขนมปังพุทราจีนรสหวาน” จ้าวซื่อบิออกมาชิมชิ้นหนึ่ง “ผสมน้ำตาลไม่น้อยเลยทีเดียว น้าเฟิงของพวกเ้าใจกว้างจริงๆ ก่อนหน้านี้ตอนที่ต้านิวและเอ้อร์นิวออกเรือนนางก็นึ่งขนมปังพุทราจีนรสหวาน”
เฟิงซื่อเป็แม่เลี้ยง บุตรสาวออกเรือนกี่คนก็นึ่งขนมปังพุทราจีนรสหวานทั้งสิ้น ทำให้หวังไห่ได้หน้ามาก
หลี่อิงฮว๋าเลิกคิ้วขึ้น “ใช่แล้ว ข้ายังไม่เคยเห็นแม่คนอื่นทำขนมปังพุทราจีนยามที่ลูกสาวออกเรือนเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงขนมปังพุทราจีนรสหวานที่มีขนาดใหญ่เพียงนี้เลย”
ขนมปังพุทราจีนรสหวานอร่อยมาก แต่ก็ยังสู้เกี๊ยวไม่ได้ ครอบครัวหลี่ชิมขนมปังพุทราจีนรสหวานไปคนละคำ แล้วก็เปลี่ยนไปกินเกี๊ยว
ในยุคนี้ยังไม่มีซอสถั่วเหลืองและน้ำส้มสายชู สิ่งที่นำมากินกับอาหารจานแป้งมีเพียงกระเทียมเท่านั้น
หลี่หรูอี้กินเกี๊ยวพลางคิดว่าภายหลังจะทำซอสถั่วเหลืองและน้ำส้มสายชูออกมาให้ได้
หลี่ฝูคังอดชมไม่ได้ว่า “ไส้เกี๊ยวที่น้องห้าทำมีกลิ่นหอมจริงๆ”
จ้าวซื่อถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ในไส้มีส่วนผสมอะไรบ้างหรือ”
หลี่หรูอี้เผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา “ในไส้มีส่วนผสมของน้ำมันงาและไข่ไก่เ้าค่ะ คลุกเคล้าไปในทิศทางเดียวกัน จากนั้นก็ใส่ผักลงไป สุดท้ายก็เติมเกลือ” หากมีผงสิบสามหอม[1]ก็คงดี เพียงผสมลงไปในไส้ก็มีกลิ่นหอมแล้ว
ดังนั้นนอกจากจะทำซอสถั่วเหลืองและน้ำส้มสายชูแล้ว ยังต้องทำผงสิบสามหอมอีกด้วย มื้อใดที่กินเกี๊ยวจะได้รสชาติของเครื่องปรุงสามชนิด
เมื่อมีคนร่วมมื้ออาหารมากทั้งยังได้กินเกี๊ยวเช่นนี้จึงทำให้มีความอยากอาหารมากยิ่งขึ้น ตอนบ่าย หลี่หรูอี้ จ้าวซื่อ หลี่ซาน และหลี่สือ ใช้เวลาหนึ่งชั่วยามในการห่อเกี๊ยวห้าร้อยกว่าตัว ซึ่งพวกเขาก็กินกันจนหมดเกลี้ยง
หลี่ซานมองไปยังจ้าวซื่อก่อนกล่าวด้วยท่าทีเกรงอกเกรงใจ “น้ำแกงช่วยย่อย เ้าจะดื่มน้ำแกงบะหมี่หรือไม่”
จ้าวซื่อลูบท้องที่ใหญ่โตของตนพลางส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้าอิ่มแทบตายแล้ว ไม่ดื่มแล้วเ้าค่ะ”
หลี่ซานประคองจ้าวซื่อออกไปเดินเล่นที่ลานบ้าน บุตรชายทั้งสี่ช่วยกันทำความสะอาดเก็บจาน ชาม ตะเกียบ และหม้ออย่างเรียบร้อย ส่วนหลี่หรูอี้มองไปยังสายรุ้งที่ปรากฏบนท้องฟ้าหลังฝนตก ดูท่าทางพรุ่งนี้คงจะเป็วันที่ฟ้าใส
กล่าวกันว่า เมื่อฝนยามฤดูใบไม้ร่วงข้ามผ่าน อีกไม่นานก็จะเป็ฤดูหนาว อากาศของเมืองเยี่ยนเริ่มเย็นลง ต้นไม้ใบหญ้าบนูเาเริ่มกลายเป็สีเหลือง ยามเมื่อูเากว้างไกลสุดลูกหูลูกตาเต็มไปด้วยผลสีแดง คนในหมู่บ้านที่ว่างงานจึงรวมกลุ่มกันขึ้นเขาเพื่อเก็บผลซานจา
ซานจาออกผลเป็จำนวนมาก อีกทั้งเป็สิ่งไร้เ้าของที่มีมากมายจึงทำให้ราคาถูก คนในหมู่บ้านพากันแบกผลซานจาขึ้นหลังเพื่อนำไปขายที่ตลาด ปีที่แล้วซานจาสามชั่งหนึ่งทองแดง ปีนี้ซานจาออกผลมากราคาจึงตกลงเป็สี่ชั่งหนึ่งทองแดง
ครอบครัวหนึ่งรวมตัวกันทำงาน เก็บผลซานจาทั้งวันรวมแล้วได้ร้อยกว่าชั่ง หลังจากคัดแยกผลไม่ดีและผลเล็กออกไปแล้วก็เหลืออีกร้อยชั่งขายได้ยี่สิบห้าทองแดง สำหรับคนในหมู่บ้านนับว่าเป็รายรับที่ดีมากแล้ว
ซานจามีจำนวนมาก เื่ดีๆ เช่นนี้มีเพียงสองถึงสามวันเท่านั้น หากเป็คนเกียจคร้านขนไปสายย่อมหาเงินไม่ได้
ตระกูลหลี่ยุ่งอยู่กับการค้าขายจนไม่มีเวลาไปเก็บผลซานจา บ้านสวีและบ้านหวังไห่จึงนำผลซานจาที่พวกตนเก็บได้มาให้
ซานจาเรียกอีกอย่างว่า ผลูเาแดงหรือผลไม้แดง มีส่วนช่วยในการย่อยอาหาร ลดความดันโลหิต และช่วยให้เส้นเือ่อนตัว
หลี่หรูอี้แบ่งซานจาหลายสิบชั่งออกเป็สองกอง กองหนึ่งนำไปตากแห้งแล้วหั่นเป็ชิ้นเอาไว้ต้มกินกับน้ำ อีกกองหนึ่งนำไปเคี่ยวจนเหลวแล้วเติมน้ำผึ้งลงไป ทำเป็ซอสซานจาเก็บไว้กิน
ซอสซานจาที่ทำเสร็จแล้วกลายเป็อาหารเลิศรสที่ทุกคนในตระกูลหลี่ชอบกิน แม้แต่หลี่ซานก็ยังชอบ เมื่อเห็นดังนั้นหลี่หรูอี้จึงให้พวกพี่ชายไปรับซื้อผลซานจามาจากคนในหมู่บ้านอีกสองร้อยชั่ง นำมาทำเป็ซอสซานจาแล้วเก็บไว้ที่ห้องใต้ดินโดยไม่ต้องกลัวเสีย
กล่าวถึงวันนั้น ตอนที่จ้าวอี้และคนอื่นๆ ออกไปจากหมู่บ้านหลี่แล้ว พวกเขาเห็นว่าฝนตกหนักจึงไปหลบฝนอยู่ที่อำเภอฉางผิง ยามนั้นห่าวทงทราบจากจ้าวอี้ว่า เจียงชิงอวิ๋น ชายหนุ่มหล่อเหลาผู้มาจากตระกูลโด่งดังมาอาศัยอยู่ในอำเภอฉางผิงด้วย จึงกล่าวไปว่า “ท่านรองผู้ดูแล โปรดพาข้าน้อยไปพบบัณฑิตเจียงด้วยเถิดขอรับ”
“ได้” จ้าวอี้ตั้งใจจะบอกข่าวนี้อยู่แล้ว นั่นก็เพื่อให้ห่าวทงผู้เป็นายอำเภอคอยดูแลเจียงชิงอวิ๋น
แม้จวนเยี่ยนอ๋องจะมีอำนาจและอิทธิพลมาก แต่ก็อยู่ห่างจากที่นี่หลายสิบกิโล ไม่ได้อยู่ใกล้อำเภอฉางผิงเลย อีกอย่างห่าวทงก็เป็ผู้ที่รู้สถานการณ์ในอำเภอฉางผิงมากที่สุด
ณ สถานที่ที่ห่างจากประตูเมืองของอำเภอฉางผิงออกไปสามลี้ บริเวณป่าแปะก๊วยผืนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากถนนสายหลัก หลังฝนตกใบแปะก๊วยสีเหลืองร่วงหล่นเต็มพื้น
จวนเจียงตั้งอยู่ด้านหลังป่าแปะก๊วยผืนนี้ มีพื้นที่สองหมู่ ด้านในประกอบด้วยลานเรือนแบบสองประตูและแบบสามประตู
หน้าประตูใหญ่มีสิงโตหินท่าทางดุดันอยู่คู่หนึ่ง องครักษ์เฝ้าประตูใหญ่เป็ชายหนุ่มร่างกำยำสวมชุดสีเขียวสองคน
องครักษ์หนุ่มร่างกายสูงใหญ่เห็นคนคุ้นเคยอย่างจ้าวอี้ ก็รีบเข้ามาประสานมือค้อมตัวคารวะ กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านรองผู้ดูแล ท่านมาเยี่ยมนายท่านของข้าหรือ เชิญเข้ามาเถิดขอรับ”
จ้าวอี้ชี้ไปที่ห่าวทงแล้วกล่าวกับองครักษ์เฝ้าประตูว่า “ท่านนี้คือนายอำเภอห่าว นายอำเภอประจำอำเภอฉางผิง”
องครักษ์เฝ้าประตูทั้งสองรีบคารวะ “ข้าน้อยน้อมพบนายอำเภอห่าวขอรับ”
จ้าวอี้มองไปยังห่าวทงแล้วกล่าวออกมาว่า “องครักษ์เฝ้าประตูของจวนเจียงเป็ทหารที่มาจากจวนพวกเรา”
ได้ยินดังนั้นหัวใจของห่าวทงพลันเต้นแรง ไม่กล้าดูถูกเจียงชิงอวิ๋นแม้แต่น้อย
หากกล่าวกันตามลำดับขั้นแล้ว ห่าวทงเป็ถึงข้าราชการผู้กินตำแหน่งขุนนางขั้นเจ็ด ฐานะย่อมสูงส่งกว่าเจียงชิงอวิ๋น ที่เป็เพียงบัณฑิตผู้หนึ่งอยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายนั้นมีที่มาที่ไปยิ่งใหญ่กว่า
แคว้นต้าโจวเป็แคว้นที่ปกครองด้วยระบบศักดินา โดยแบ่งแยกระดับกันอย่างชัดเจน ราชวงศ์มีอำนาจมากที่สุด รองลงมาคือ เหล่าขุนนางและข้าราชบริพารที่มีอิทธิพลสูง จากนั้นจึงค่อยเป็ขุนนางชั้นผู้น้อยและคหบดีใหญ่ ต่อมาจึงเป็พ่อค้าตัวเล็กๆ และชาวบ้านธรรมดาทั่วไป สุดท้ายก็คือ ข้าทาส บ่าวไพร่
เจียงชิงอวิ๋นมาจากตระกูลเจียงที่มีอำนาจมาก ทั้งยังเป็ญาติของไท่เฟย ดังนั้นจึงมีอิทธิพลสูงกว่าห่าวทงที่เป็เพียงขุนนางตัวเล็กๆ ไม่มีพื้นเพที่ยิ่งใหญ่อะไร
ผู้ดูแลแห่งจวนเจียงออกไปทำธุระไม่ได้อยู่ที่จวน บ่าวไพร่จึงพาจ้าวอี้และคนอื่นๆ ไปรอที่ห้องโถงใหญ่แล้วไปรายงานเจียงชิงอวิ๋นที่ห้องหนังสือ
เพียงไม่นานเจียงชิงอวิ๋นในอาภรณ์สีขาวดูหล่อเหลาเหนือสามัญชนธรรมดาก็ออกมาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน เขากล่าวทักทายจ้าวอี้แล้วจึงมองไปทางห่าวทง นายอำเภอประจำอำเภอฉางผิงท่านนี้มีชื่อเสียงดีงาม ดังนั้นเสียงที่เปล่งออกมาจึงมีความเคารพนบนอบอยู่มากทีเดียว “ใต้เท้าห่าว ข้าต้องแสดงความกตัญญูต่อครอบครัว ไม่สะดวกไปคารวะที่จวนท่าน ขอใต้เท้าโปรดอภัยด้วย”
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ผงสิบสามหอม คือ ผงเครื่องปรุงที่ทำจากเครื่องเทศสิบสามชนิด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้