หวงปิ่งหันหลังเดินออกมาจากประตูจวนของตระกูลหวง จากนั้นเขาก็ควบม้าเร็วมุ่งหน้าตรงไปยังเมืองหลวงทันที
อีกด้านหนึ่ง หลังจากพวกมู่เฟิงกลับมาถึงจวนตระกูลมู่แล้ว เด็กหนุ่มทั้งสามก็เริ่มฝึกฝนวรยุทธ์ต่อด้วยความสบายใจ
ในปีหน้าเขาจะกลับไปยังเมืองหลวงเพื่อตบหน้าพวกคนที่เคยดูถูกเขา
มู่เฟิงมอบเงินจำนวนห้าหมื่นเหรียญตำลึงทองให้กับไป๋จื่อเยว่และมู่ขวง พร้อมกับเม็ดยาโลหิตบางส่วน เพื่อให้เด็กหนุ่มทั้งสองได้ทำการฝึกฝนด้วยตัวเอง
การได้รับเงินก้อนโตเช่นนี้ทำให้มู่ขวงและไป๋จื่อเยว่ต่างก็ตื่นตะลึง โดยเฉพาะไป๋จื่อเยว่ที่ไม่เคยพบเห็นเงินจำนวนมากมายขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
นอกจากนี้มู่เฟิงยังมอบเงินและทรัพยากรในการฝึกให้กับมู่จงอีกจำนวนไม่น้อย สิ่งนี้ทำให้มู่จงค่อนข้างประหลาดใจ แม้จะไม่รู้ว่ามู่เฟิงนำยาอายุวัฒนะและเงินจำนวนมากมายเหล่านี้มาจากที่ใด แต่ภายในใจของเขาก็พลันคิดไปว่าของทั้งหมดนี้เป็ทรัพยากรของตระกูลมู่
ถึงอย่างไรท่านลุงใหญ่ของมู่เฟิงก็เป็ถึงผู้แข็งแกร่งระดับหยวนตาน
จากนั้นมู่เฟิงก็มอบภารกิจให้กับมู่จงอีกครั้ง
ความจริงแล้วสถานการณ์ของตระกูลมู่สายหลักในตอนนี้กำลังย่ำแย่ เนื่องจากหนานหาวมีอำนาจเหนือราชสำนัก ดังนั้นทางตระกูลมู่จึงถูกกดดันทุกช่องทาง ทำให้ยากที่จะอยู่รอด
สิ่งสำคัญคือตระกูลมู่ยังมียอดฝีมือระดับหยวนตานคอยสนับสนุนและเป็เสาหลักให้กับตระกูล ดังนั้นหนานหาวจึงไม่อาจลงมือโจมตีตระกูลมู่ได้อย่างโจ่งแจ้ง หากไม่อย่างนั้น เกรงว่าเวลานี้คงกวาดล้างตระกูลมู่ที่อยู่ในเมืองหลวงไปแล้ว
ณ เมืองหลวง เรือนพักของมู่เฉินภายในจวนตระกูลมู่สายหลัก
มู่เฉินกำลังนั่งอยู่ในตำแหน่งผู้นำตระกูล เวลานี้สีหน้าของเขาไม่น่ามองเป็อย่างยิ่ง ส่วนสีหน้าของผู้าุโคนอื่นก็ดูอมทุกข์เช่นกัน
“ท่านผู้นำตระกูล เมื่อวานเหลาสุราสามแห่งและบ่อนพนันอีกสองแห่งในเมืองหลวงของเราถูกสั่งปิด เกรงว่าเวลานี้หนานหาวคงแทบจะทนรอไม่ไหวที่จะลงมือกับตระกูลมู่ของเราแล้ว”
ชายชราในชุดคลุมสีครามผู้นี้คือผู้าุโใหญ่ของตระกูลมู่นามว่ามู่หวา เขากล่าวด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวด
“นอกจากนี้ เมื่อคืนยังมีข่าวจากชายแดนนอกเมืองส่งมาว่าเมื่อหลายวันก่อนในขณะที่แม่ทัพจากตระกูลของเรากำลังออกตรวจตรา ได้มีพลธนูเข้ามาลอบสังหารเขา”
มู่เยี่ยน้องชายของผู้เฉินก็เอ่ยปากพูดเช่นกัน
“การลอบสังหารครั้งนี้ ข้าคิดว่าจะต้องเป็ฝีมือของหนานหาวเป็แน่”
มู่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นะเื
“หนานหาวผู้นี้ไม่คิดจะเหลือช่องทางให้ตระกูลมู่ของเราเลย พี่ใหญ่ เหตุใดเราจึงไม่สู้กลับเล่า”
มู่เยี่ยหยัดกายลุกขึ้น และกล่าวอย่างเ็า
“ท่าน ข้า ผู้าุโใหญ่ เราสามคนต่างก็เป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหยวนตาน หากเราไม่ลองเสี่ยงก็คงไม่มีทางสังหารหนานหาวผู้นั้นได้"
มู่เยี่ยพยายามเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง
“ไม่ได้!”
มู่เฉินส่ายหน้า พร้อมกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “หนานหาวไม่เพียงมีวรยุทธ์ระดับหยวนตานเท่านั้น ในมือของเขายังมียอดฝีมือระดับหยวนตานอีกหลายคนที่เขาเลี้ยงเอาไว้ หากตระกูลมู่ของเราลุกขึ้นสู้เมื่อใด เกรงว่าอีกฝ่ายคงยัดข้อก่อฏให้ในทันที ถึงเวลานั้นหนานหาวก็จะสามารถกวาดล้างตระกูลของเราได้อย่างเปิดเผย”
“เช่นนั้นเราควรจะทำอย่างไรดีเล่า?”
มู่เยี่ยกล่าวอย่างไม่เต็มใจ
“ตอนนี้ต้องอดทนต่ออีกหนึ่งปี รอจนกว่าเฟิงเอ๋อร์จะเข้าศึกษาในสำนักศึกษาราชวงศ์เสียก่อน เมื่อสามารถรับรองความปลอดภัยของทายาทสายตรงทั้งหมดในตระกูลได้เราค่อยมาหารือเื่นี้กันใหม่ เื่กิจการของตระกูลก็ปิดไปให้หมด ส่วนปัญหาเื่เงินข้าจะคิดหาทางออกเอง”
มู่เฉินกล่าวตอบ ความจริงเขาคิดเอาไว้นานแล้วว่าจะต่อสู้กับหนานหาวให้ถึงที่สุด เพียงแต่จะกระทำการสิ่งใดจำเป็ต้องรอบคอบให้มาก ก่อนมู่เฟิงจะเข้าสู่สำนักศึกษาราชวงศ์ เขายังไม่้าเคลื่อนไหวทำสิ่งใดในตอนนี้
สำหรับสำนักศึกษาราชวงศ์ แม้แต่กองกำลังของหนานหาวก็ยังไม่กล้าแสดงท่าทีหยิ่งผยอง หากมู่เฟิงได้เข้าศึกษาที่นั่น ย่อมจะสามารถรับประกันความปลอดภัยของเด็กหนุ่มได้
“รอมู่เฟิง เฮอะ เขาจะเข้าสำนักศึกษาราชวงศ์ได้อย่างไร ในเมื่อตอนนี้เขากลายเป็คนไร้ประโยชน์ไปแล้ว”
มู่เยี่ยตะคอกออกมาอย่างหงุดหงิด แน่นอนว่าเขาไม่ค่อยพอใจกับเื่นี้เท่าไรนัก
“ใครบอกว่าเขาไร้ประโยชน์ ตอนนี้เส้นลมปราณของเขารักษาจนหายดีแล้ว อีกทั้งวรยุทธ์ก่อนหน้านี้ก็สามารถฟื้นฟูกลับมาได้แล้ว ดังนั้นเขาย่อมสามารถเข้าศึกษาในสำนักศึกษาราชวงศ์ได้อย่างไร้ข้อกังขา น้องสาม ข้ารู้ว่าเ้ากับพี่รองของเ้าขัดแย้งกันมาั้แ่เด็ก แต่เวลานี้พี่รองของเ้าได้ตายไปแล้ว เ้ายังจะมาคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กผู้หนึ่งอีกรึ?”
แน่นอนว่าในฐานะผู้นำตระกูลมู่สายหลัก มู่เฉินย่อมรู้ถึงสถานการณ์ของตระกูลมู่สายรองเป็อย่างดี
เวลานี้มู่เฟิงสามารถฟื้นฟูวรยุทธ์กลับคืนมาได้แล้ว นอกจากนี้เขายังมีพร์ในฐานะนักสลักลายเส้น ในตอนที่มู่เฉินทราบข่าวเื่นี้ เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองมีความสุขมากเพียงใด
“ว่าอย่างไรนะ เส้นลมปราณของมู่เฟิงฟื้นคืนกลับมาแล้ว!”
สีหน้าของผู้าุโท่านอื่นที่อยู่ในห้องต่างก็ตกตะลึง ก่อนจะพากันอุทานออกมาด้วยความใเหมือนกับมู่เยี่ย
“ถูกต้องแล้ว ฉะนั้นมู่เฟิงไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ พวกท่านคงทราบกันดีถึงพร์ของเขา เขามีปราณกระดูกขั้นสิบ เป็พร์กระดูกิญญา ในอนาคตตระกูลมู่ของเราจะต้องมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับหยวนตานเพิ่มขึ้นมาอีกคนเป็แน่ ดังนั้นข้ามั่นใจมากว่ามู่เฟิงจะสามารถเข้าศึกษาในสำนักศึกษาราชวงศ์ได้ เกรงว่าคราวนี้หนานหาวคงต้องผิดหวังแล้ว และตระกูลมู่ของเรายังมีความหวัง”
มู่เฉินหรี่ตาลงขณะกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ ส่วนผู้าุโคนอื่นต่างก็ประหลาดใจและรู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่ง
“พร์กระดูกิญญา"
ในเวลานั้นผู้คนในตระกูลมู่ต่างก็กำลังหวนนึกถึงพร์ของมู่เฟิง ยอดอัจฉริยะผู้มีพร์ระดับกระดูกิญญา
ในอดีตความเร็วในการบ่มเพาะวรยุทธ์ของมู่เฟิงนั้นก็รวดเร็วจนน่ากลัว เด็กหนุ่มสาวใน่อายุสิบห้าปีคนอื่นต่างก็มีวรยุทธ์ระดับทงม่ายขั้นเจ็ดถึงขั้นแปดเท่านั้น แต่มู่เฟิงกลับสามารถบรรลุวรยุทธ์ระดับจื่อฝู่ได้แล้ว
ชื่อเสียงเื่พร์ของเด็กหนุ่มแพร่กระจายออกไปไกลจนไปถึงสำนักศึกษาราชวงศ์ ทำให้ทางสำนักศึกษาราชวงศ์ออกคำสั่งให้เปิดรับสมัครศิษย์เข้ามาศึกษาในรูปแบบพิเศษ นั่นคือบัณฑิตผู้นั้นจะสามารถเข้าศึกษาได้โดยไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน และยังจะได้รับความสนใจเป็พิเศษอีกด้วย!
แน่นอนว่าการถูกละเว้นค่าเล่าเรียนไม่ได้สำคัญสำหรับตระกูลมู่ สิ่งสำคัญสำหรับพวกเขาคือการได้รับความสนใจเป็พิเศษต่างหาก
อัจฉริยะที่ไม่ถูกกลบแสง เมื่อผู้คนยิ่งให้ความสนใจ แสงในตัวเขายิ่งจะส่องสว่างออกมา
แต่น่าเสียดายที่ทุกอย่างกลับต้องพังทลายลงเมื่อเส้นลมปราณของมู่เฟิงถูกทำลาย
เวลานี้เหล่าผู้าุโในตระกูลมู่ต่างก็รู้สึกประหลาดใจระคนยินดี การที่มู่เฟิงสามารถฟื้นฟูเส้นลมปราณให้กลับคืนมาได้ ย่อมถือเป็เื่ที่ดีสำหรับตระกูลมู่
แต่สีหน้าของมู่เยี่ยกลับดูซับซ้อน เนื่องจากเขามีความขัดแย้งกับมู่เทียน ดังนั้นที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้เขาก็ไม่เคยแสดงท่าทีที่ดีต่อมู่เฟิงเลย และหลังจากที่เส้นลมปราณของเด็กหนุ่มถูกทำลาย เขายังเคยพูดจาดูถูกถากถางอีกฝ่ายไปไม่น้อยด้วย
“รายงาน...!”
ทันใดนั้น ศิษย์ผู้หนึ่งของตระกูลมู่ก็เปิดประตูเข้ามาจากภายนอก เขาคุกเข่าลงบนพื้นเพื่อแสดงความเคารพ
“รายงานจากตระกูลมู่สายรองแห่งเมืองอันหนานขอรับ คุณชายเฟิงให้คนทางนั้นส่งของบางอย่างมาขอรับ”
มู่เฉินและผู้าุโคนอื่นๆ ต่างผงะไปครู่หนึ่ง ไม่นานเขาก็กล่าวขึ้นว่า “ให้คนนำเข้ามา”
จากนั้นไม่นานมู่จงก็ปรากฏตัวขึ้นภายในโถงรับรอง เขากำหมัดคำนับเพื่อแสดงความเคารพต่อทุกคน ฉับพลันบนนิ้วของเขาก็มีแสงสีขาวส่องสว่างขึ้น แหวนเฉียนคุนเปล่งแสงปกคลุมลงบนพื้น ก่อนที่กล่องขนาดใหญ่หลายกล่องจะปรากฏขึ้นภายในห้องโถง
“มู่จง เฟิงเอ๋อร์ให้เ้านำสิ่งใดมางั้นรึ?”
มู่เฉินและคนอื่นๆ ต่างก็เอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
“ท่านผู้นำตระกูลเปิดดูก็จะรู้เองขอรับ”
มู่จงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เพียงมู่เฉินสะบัดมือ กล่องเ่าั้ก็ถูกเปิดออกอย่างแรง ทันใดนั้นแสงสีทองอร่ามก็พลันส่องสว่างไปทั่วห้องโถง กล่องใหญ่ทั้งสี่ใบล้วนถูกอัดแน่นไว้ด้วยเหรียญตำลึงทอง! นอกจากนี้ยังมีทองคำแท่งอีกจำนวนหนึ่ง เมื่อรวมมูลค่ากันแล้วเกรงว่าคงไม่ต่ำกว่าสี่แสนถึงห้าแสนเหรียญตำลึงทอง
“นี่มัน…!”
ทุกคนภายในห้องโถงต่างก็เบิกตากว้าง พวกเขาตกตะลึงกับจำนวนเงินที่มากมายขนาดนี้ ต่อให้เป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหยวนตาน แต่จำนวนเงินเหล่านี้สำหรับพวกเขาก็ไม่ใช่น้อยๆ เลย
“เงินจำนวนมากมายขนาดนี้ มู่จง ทั้งหมดนี้มาจากที่ใดกัน?”
มู่หวาเอ่ยถามด้วยท่าทางตื่นตระหนก
“ของทั้งหมดนี้เป็สิ่งที่คุณชายเฟิงให้ข้านำมาส่งขอรับ เนื่องจากคุณชายได้ช่วยชีวิตยอดฝีมือระดับหยวนตานผู้หนึ่งเอาไว้ หลังจากช่วยรักษาอาการาเ็ให้อีกฝ่าย คนผู้นั้นก็มอบสิ่งเหล่านี้เป็ของตอบแทนมาให้ขอรับ”
มู่จงตอบ ซึ่งมู่เฟิงก็บอกกับเขาเช่นนี้เหมือนกัน
“เยี่ยมเลย หากเราประหยัดค่าใช้จ่ายลงอีกหน่อย เงินเหล่านี้คงเพียงพอที่จะประคับประคองตระกูลมู่ของเราให้อยู่ต่อไปได้อีกหนึ่งปี เฟิงเอ๋อร์ช่างเป็เด็กกตัญญูนัก ยังมีใจคิดถึงครอบครัว”
มู่หวากล่าวด้วยความยินดี ในเมื่อมีเงินจำนวนนี้แล้ว ต่อให้หนานหาวจะปิดกิจการทั้งหมดของตระกูลมู่ แต่พวกเขาก็ยังมีเงินใช้จ่ายต่อไปได้อีกหนึ่งปี
มู่เยี่ยเองก็ใเช่นกัน เขามองไปยังกล่องเหรียญตำลึงทองขนาดใหญ่หลายกล่องอย่างพูดอะไรไม่ออก
มู่เฉินรู้สึกตื้นตันใจอย่างยิ่ง แต่เมื่อเขากวาดตามองกลุ่มคนโดยรอบก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาอย่างเย้ยหยันว่า “เห็นหรือไม่ว่าเฟิงเอ๋อร์ปฏิบัติต่อผู้อื่นเช่นไร ครั้งก่อนเป็พวกเ้าที่ตอบรับการถอนหมั้นของเฟิงเอ๋อร์เพื่อเงินสองแสนเหรียญตำลึงทองจากตระกูลอวิ๋นโดยไม่สนใจความรู้สึกของเขาเลยแม้แต่น้อย ในตอนนี้เฟิงเอ๋อร์มีโอกาสเป็ของตัวเองแล้ว แต่เขากลับเลือกใช้มันเพื่อประคับประคองตระกูล พวกเ้ายังไม่ย้อนคิดอีกหรือ?”
ทุกคนล้วนตกตะลึงเมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ พวกเขารู้สึกอับอายจนพูดอะไรไม่ออก
มู่หวาถอนหายใจ ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ถูกต้อง ตระกูลมู่ของเราติดค้างเฟิงเอ๋อร์มากจริงๆ”
เมื่อมองไปยังเหรียญตำลึงทองเหล่านี้ มู่เยี่ยก็รู้สึกหนักอึ้งในหัวใจ เขากล่าวขึ้นด้วยความละอายใจว่า “พี่ใหญ่ ท่านไม่จำเป็ต้องพูดแล้ว นับจากนี้ ข้าจะนับว่าเฟิงเอ๋อร์เป็บุตรชายของข้าคนหนึ่ง”
มู่เฉินยิ้มออกมาทันทีเมื่อได้ยินดังนั้น “ถูกต้องแล้ว ตระกูลมู่ที่เป็ปึกแผ่นเช่นนี้คือสิ่งที่น้องรอง้าจะปกป้องเอาไว้”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้