แสงแดดที่อบอุ่นส่องลงมายังพื้นพสุธาผืนใหญ่ในฤดูหนาว ซึ่งวันนี้อากาศดีอย่างหาได้ยาก
เกวียนวัวโคลงเคลงอยู่บนถนนเส้นเล็กในหมู่บ้าน เด็กสาวในชุดสีฟ้าอ่อนนั่งอยู่หัวเกวียน สองขาห้อยลงมากวัดแกว่ง ใบหน้าเล็กงดงามและขาวละเอียดเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ที่มีความสุข
ผ่านวันที่สิบห้ามาแล้ว เหล่าผู้คนที่หลบฤดูหนาวในหมู่บ้านก็ค่อยๆ เริ่มทำงานกันขึ้น เตรียมทำการไถที่นาก่อนหว่านข้าวในฤดูใบไม้ผลิ ยามนี้ต่างคนต่างกระจายเป็กลุ่มเล็กกลุ่มน้อยไปไหนมาไหนด้วยกัน
เมื่อเกวียนวัวของสกุลหูเคลื่อนผ่าน สายตาคนมากมายล้วนทอประกายความอิจฉาขึ้น นี่เกวียนวัวเลยเชียวนะ ทั้งหมู่บ้านวั้งหลินมีอยู่แค่สี่ถึงห้าเกวียนเอง
“ท่านลุง นั่นมิใช่ท่านปู่หรือเ้าคะ? ทำไมหนีมาสถานที่ก่อสร้างแล้วเล่า?” สายตาเจินจูว่องไวและเฉียบแหลม เห็นเงากายที่เคลื่อนไปมาของชายชราสกุลหูอยู่ตลอดเวลา
“โอ้ ใช่ หมู่นี้ปู่ของเ้าขาและเท้าคล่องแคล่วไม่น้อย เขาแค่ว่างไม่ได้ สองวันมานี้เลยวิ่งไปสถานที่ก่อสร้างด้วยตัวเอง บอกว่าจะช่วยพวกเ้าดูแลเสียหน่อย” สายตาหูฉางหลินก็ดีเช่นกัน ย่อมเห็นเงากายของท่านพ่อตนเองเป็ธรรมดา
“ออกมาขยับเคลื่อนไหวหน่อยก็ดีเ้าค่ะ จะได้ไม่เอาแต่นั่งถักตะกร้าไผ่สานอยู่ในบ้านทั้งวัน ทำจนมือจะแตกกร้านอยู่แล้ว ตอนนี้ที่บ้านไม่ได้ขาดเหลือตะกร้าไผ่สาน เขาก็ยังทำไม่หยุดมือ ท่านย่ากล่าวก็ไม่ฟัง ลับหลังท่านย่าเอาแต่แอบถักขึ้นมาอีก เฮ้อ ทำไมดื้อรั้นเพียงนี้เ้าคะ” เจินจูถอนหายใจ
แม้ชีวิตความเป็อยู่ที่บ้านจะดีขึ้นไม่น้อย แต่ชายชรายังคงถักทอตะกร้าไผ่สานหลากหลายขนาดออกมาบ่อยๆ ความเห็นของชายชราคือ สิ่งของที่ต้องใช้ตะกร้าไผ่สานมีมาก ตนเองสามารถถักได้ จะได้ไม่ต้องใช้เงินซื้อมา สามารถประหยัดได้หน่อยก็ควรประหยัด
“ท่านพ่อแค่อยากทำงานให้ได้มากๆ ไม่สามารถอยู่เฉยได้ เขาไปดูสถานที่ก่อสร้างหน่อยก็ดี ข้าคุยกับท่านอาหลิ่วแล้วว่าห้ามให้ท่านพ่อทำงานหนัก ท่านอาหลิ่วจะได้คอยจับตาดู” หูฉางหลินชำเลืองมองสถานที่ก่อสร้างที่ทำงานกันอย่างคึกคักเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นแวบหนึ่ง ไม่กี่วันมานี้อากาศดี หลิ่วฉางผิงพาชายสิบกว่าคนมาขุดฐานที่ก่อสร้าง เขาหาเวลามาดูอยู่หลายหน โครงสร้างของฐานเป็รูปเป็ร่างออกมาแล้ว นับว่าเดินหน้าค่อนข้างเร็วเลย
เกวียนวันค่อยๆ เคลื่อนผ่านปากทางเข้าหมู่บ้าน เลี้ยวโค้งเล็กๆ ก็ขึ้นถนนทางการ ถนน่นี้ยังนับว่าราบเรียบ หูฉางหลินจึงโบยแส้เส้นบางในมือหนึ่งที ความเร็วของเกวียนวัวก็เพิ่มขึ้น
เมื่อมาถึงทางเข้าประตูเมือง ยังมีเวลาอีกนิดหน่อยก่อนจะเที่ยงตรง
ฝากเกวียนวัวไว้เสร็จแล้ว สองคนก็มุ่งเดินไปตลาดฝั่งตะวันออก
ตอนบ่ายหูฉางหลินยังต้องเร่งไปหมู่บ้านข้างเคียงเพื่อไปซื้อหมูกลับมา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถเอ้อระเหยอยู่ในเมืองนานเกินไปได้ เจินจูหารือกับหูฉางหลินเล็กน้อย แล้วจึงไปบ้านหลู่โหย่วมู่ที่อยู่หลังตลาดนั่นด้วยตนเองก่อน
นัดแนะกันเรียบร้อยว่าอีกครึ่งชั่วยามให้มาพบกันที่ปากทางหลังตลาด หูฉางหลินจึงแบกตะกร้าไผ่สานใบใหญ่ไปตลาดจัดซื้อไส้เล็ก น้ำตาล เกลือ... และวัตถุดิบที่ใช้ประจำในการทำอาหารหมัก ทำการหมักหมูปริมาณสองถึงสามตัวทุกวัน ของเหล่านี้จึงใช้สอยหมดไปอย่างรวดเร็ว
หูฉางหลินวางใจให้เจินจูไปตรอกด้านหลังคนเดียว ท้องฟ้าสีครามดวงตะวันสาดส่องยังมีผู้คนสัญจรผ่านไปมา ยัยหนูน้อยสายตาเฉียบแหลมฉับไว ในใจฉลาดเฉลียวอยู่
เจินจูแบกตะกร้าไผ่หนึ่งใบเล็ก ด้านในใส่ของไม่น้อย ในจำนวนนั้นมีพืชผลการเกษตรจากมิติช่องว่างมากมาย เช่น ถั่วลิสง ถั่วเหลืองที่เพิ่งจะเก็บเกี่ยวมา่นี้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็พืชเปลือกแข็ง นางเสียเวลาแกะเปลือกอยู่นานจนเสร็จ แล้วยังมีข้าวโพดที่เก็บไว้ก่อนหน้านี้พักหนึ่ง นางแอบปอกข้าวโพดอยู่หลายฝักรวบรวมลงในถุงใบเล็กด้วย
แค่ของพวกนี้ก็ต้องจัดการแกะเปลือกก่อนนอนอยู่หลายคืนเลย ทำจนนางไม่อยากปลูกพืชเปลือกแข็งเหล่านี้อีก ปอกเปลือกแข็งๆ อยู่คนเดียวเปลืองแรงเกินไปแล้วจริงๆ
ครอบครัวหลู่โหย่วมู่มีทั้งคนชรา เด็กน้อย และคนป่วย ในเมื่อพบเห็นแล้ว สามารถช่วยได้เล็กน้อยก็เป็การดี
แน่นอนว่านางไม่ได้มีจิตใจเป็พระแม่มารีย์ ไม่มีทางเมตตาเกินไปจนไร้เหตุผล และต้องอยู่ภายในขอบเขตกำลังความสามารถ ไม่ฝืนหลักพื้นฐานการเป็คนดีของนาง ไม่เปิดโปงความลับในมิติช่องว่างที่เก็บไว้มิดชิดของนาง เช่นนั้นนางก็เต็มใจจะทำตัวเป็แม่นางน้อยใสซื่อบริสุทธิ์ที่มีจิตใจเมตตา และยินดีจะช่วยเหลือคนสักเล็กน้อย
ยังไม่ทันเดินเข้าไปใกล้บ้านสกุลหลู่ เจินจูก็ได้ยินเสียงไสท่อนไม้มาแต่ไกล “ฉึกๆๆ”
ประตูใหญ่ของบ้านสกุลหลู่ปิดอยู่ เจินจูวางตะกร้าไผ่สานลง คิดนิดหน่อยและมองซ้ายขวาอยู่สองสามที ฉวยโอกาสที่ไม่มีคน เลิกม่านฟางที่คลุมตะกร้าให้เปิดออก แล้วหยิบฟักทองหนึ่งลูกจากมิติช่องว่างออกมาและใส่เข้าไป
“ก๊อกๆ” ยื่นมือออกไปเคาะประตู
“ผู้ใดกัน?”
เสียงเด็กสาวที่ขลาดกลัวดังขึ้น
“น้องสาวหลู่ เป็ข้า วันก่อนสั่งตู้หัวเตียงของครอบครัวเ้าไว้ วันนี้เลยมาดูสักหน่อย” เจินจูน้ำเสียงไพเราะและใจเย็น
หลู่ซิ่วซิ่วขานรับหนึ่งเสียง ทันทีหลังจากนั้นก็เปิดประตูใหญ่ออก
“หลานสาวคนเล็กของสกุลหูมาแล้ว รีบเข้ามาเร็ว ...ซิ่วซิ่ว ไปยกน้ำร้อนสักถ้วยมาให้แขกที” หลู่โหย่วมู่ยื่นศีรษะออกมาจากห้องฝั่งตะวันตก บนใบหน้าปรากฏความปีติยินดีภายในใจออกมา สองสามวันมานี้เขาพยายามค้นหาวิธีว่าจะทำตู้อย่างไรได้บ้าง ในที่สุดก็ทำตู้หัวเตียงคร่าวๆ ออกมาแล้ว แม้การทำจะยังช้ากว่าเมื่อก่อน แต่เขาก็พอใจมาก “เหตุใดวันนี้มีแค่เ้ามาผู้เดียวเล่า? ท่านลุงเ้าไม่มาหรือ?”
ระหว่างนั้นหลู่ซิ่วซิ่วส่งเสียงตอบรับแล้วจากไป
“มาด้วยกันเ้าค่ะ แต่ท่านลุงไปตลาดซื้อของนิดหน่อย ข้าเลยมาดูเอง ที่บ้านมีเื่วุ่นวาย อีกเดี๋ยวพวกข้ายังต้องรีบกลับหมู่บ้านอีก” เจินจูยิ้มแล้วกล่าว
“เช่นนี้หรือ งั้นก็ดี ข้าพาเ้าไปดูก่อน โดยรวมตู้หัวเตียงนี้ทำเสร็จแล้ว ยังเหลือลิ้นชักไม่กี่อันที่ยังไม่ได้ทำให้เรียบร้อยดี” หลู่โหย่วมู่ถูสองฝ่ามือไปมา กังวลเล็กน้อย
นี่เป็เครื่องเรือนชิ้นแรกที่เขาทำขึ้นมาใน่ครึ่งปีนี้ สำหรับเขาแล้วมันมีความหมายนัก หากมือนี้ยังสามารถสร้างเครื่องเรือนต่อไปได้ แม้จะทำได้ช้าไปสักหน่อยแต่ก็ทำให้เขาเบิกบานอย่างยิ่ง
เจินจูยิ้มและวางตะกร้าไผ่สานไว้ใต้ชายคา ตามหลู่โหย่วมู่ไปดูตู้หัวเตียง
ตู้หัวเตียงใหม่เอี่ยมที่วางกองอยู่ภายในห้องฝั่งตะวันออกดูยุ่งเหยิงนิดหน่อย ผิวที่เคลือบเงาทั้งสว่างทั้งเป็มัน ขอบมุมขัดจนประณีตอย่างมาก แม้เจินจูไม่ค่อยเข้าใจเื่คุณภาพของเครื่องเรือนวัสดุไม้ แต่ดูโดยรวมแล้วเหมือนกับตู้หัวเตียงบนหัวเตียงของบ้านเขา ก็รู้ได้ว่าใช้ใจทำออกมา
“ท่านอาหลู่ นี่ไม่ใช่ว่าทำได้ดีมากหรือ คิดๆ ดูแล้วต่อไปมือนี้ของท่านสามารถทำงานช่างไม้ต่อไปได้แล้วล่ะ” เจินจูมองข้อศอกที่งอไปครึ่งหนึ่งของเขาแวบหนึ่ง
หลู่โหย่วมู่ขยับข้อศอกเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว จากการเคลื่อนไหวไม่กี่วันมานี้ ส่วนข้อศอกผ่อนคลายลงไปสองถึงสามส่วนจริงๆ แม้ตอนทำงานยังเจ็บอยู่บ้าง แต่ ขอแค่มีความหวัง ความเ็ปเหล่านี้สำหรับเขาแล้วล้วนไม่เป็ปัญหา
“ต้องขอบคุณพวกเ้ามากๆ หากไม่ใช่เพราะพวกเ้า ข้ายังคิดว่ามือนี้ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ขยับเคลื่อนไหวไม่กี่วันมานี้ ยืดหยุ่นขึ้นมาได้หน่อยจริงๆ” หลู่โหย่วมู่เต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ วันคืนที่สิ้นหวังขมุกขมัวมาครึ่งค่อนปี ทำให้เขาเหนื่อยล้าไปทั้งร่างกายและจิตใจ หากไม่ใช่ที่บ้านมีมารดาและบุตรสาวที่ต้องดูแล เกรงว่าเขาคงจะไม่ยืนหยัดอยู่ต่อมาได้นานเพียงนี้
ครอบครัวหลู่โหย่วมู่เป็คนต่างถิ่น บิดามารดาพาพวกเขาโยกย้ายไปมาหลายแห่ง กว่าจะมาลงหลักอยู่เมืองไท่ผิงได้ไม่ง่ายเลย อาศัยฝีมือช่างไม้ที่สืบทอดกันมาของตระกูล ความเป็อยู่ยังพอผ่านไปได้อย่างมั่นคง
แต่สุขภาพของบิดาไม่ดี ที่บ้านมีเพียงเขาที่เป็บุตรชายคนเดียว หลังเคี่ยวเข็ญให้แต่งงานจึงไปสู่ขอลูกสะใภ้ให้เขา ไม่นานบิดาก็ป่วยแล้วจากไป เขาจึงแบกรับภาระหน้าที่แทนผู้เป็บิดา หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบของหัวหน้าครอบครัวขึ้น
สองสามปีก่อนยังดี เขาเรียนรู้งานช่างไม้กับผู้เป็บิดาั้แ่เด็ก ฝีมือเป็ธรรมดาที่จะไม่แย่ คนที่มาหาเขาแล้วสั่งทำเครื่องเรือนยิ่งนานวันยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้เขาจึงรับเด็กฝึกงานมาช่วยทำเื่เล็กๆ น้อยๆ เป็พิเศษ
น่าเสียดายที่เื่ดีงามมักอยู่ไม่นาน ตอนภรรยาของเขาคลอดบุตรสาวออกมานั้นตกเืมาก แม้จะช่วยชีวิตกลับมาได้ แต่ร่างกายาเ็อย่างรุนแรง ทานยาติดต่อกันอยู่ไม่กี่ปีก็มาจากไป
ซิ่วซิ่วผู้เป็บุตรสาวก็ร่างกายไม่แข็งแรงตัวผอมลีบ เป็ไข้และไอเกือบทุกวัน ไม่กี่ปีนั้นมีเศษสมุนไพรที่คว่ำทิ้งอยู่ในบ้าน ล้วนสามารถกองซ้อนกันจนกลายเป็ูเาขนาดย่อมได้เลย
การที่สกุลหลู่ค่อยๆ ถูกควักทรัพย์สินในบ้านออกไปจนว่างเปล่าเช่นนี้ หลู่โหย่วมู่แทบจะทำงานทั้งวันทั้งคืนไม่หยุดหย่อน เื่ที่จำเป็ต้องใช้เงินในบ้านเยอะเกินไปแล้วจริงๆ
วันหนึ่งหลังจากหลู่โหย่วมู่รีบเร่งทำงานอยู่ครึ่งค่อนคืน แล้วตื่นแต่เช้าไปชานเมืองเพื่อคัดเลือกวัสดุไม้ ระหว่างทางบนถนนที่เร่งเกวียนกลับเกิดใจลอย กระทั่งคนและเกวียนพลิกคว่ำร่วงลงไปครึ่งเนินเขา ตอนร่วงลงข้อศอกกระแทกเข้ากับหินก้อนใหญ่ ต้นขาถูกล้อเกวียนที่ร่วงลงมากระแทกเข้าอย่างจัง ศีรษะโดนท่อนไม้กลิ้งหล่นใส่จนแตก หลู่โหย่วมู่จึงสลบคาที่
ผ่านไปมากกว่าหนึ่งชั่วยามชาวไร่ชาวนาแถวนั้นถึงมาพบเข้า ระหว่างที่คนหามกลับไปในเมือง ร่างกายเขาก็เต็มไปด้วยเืที่หายใจรวยริน
กว่าจะยื้อชีวิตกลับมาจากประตูผีที่เปิดอยู่ได้ไม่ง่ายเลย ผู้ที่รอคอยเขาต่าง้าเงิน เงินที่ซื้อวัสดุไม้ก็ยังไม่ได้จ่าย เงินที่รับค่ามัดจำมาแล้วก็้าขอคืน เครื่องเรือนไม่สามารถทำได้เสร็จตามเวลาก็ต้องชดใช้ค่าเสียหาย ค่าหยูกยาและตรวจรักษาโรคก็ต้องใช้เงิน…
เงินเล็กๆ น้อยๆ ของที่บ้านใช้หมดไปนานแล้ว มารดาของเขาสิ้นไร้หนทาง ทำได้เพียงหน้าหนาไปยืมเงินบ้านน้องชายของภรรยาเขา แต่น้องชายของภรรยากลับไม่ใช่บุคคลที่สนิทกัน ยืมเงินมายี่สิบเหลียงดอกเบี้ยก็ต้องห้าเหลียง ผ่านไปหนึ่งปีไม่คืนจะเอาบ้านของเขาไปจำนำ
อู๋ซื่อไม่มีทางขายบ้านอย่างเด็ดขาด ชีวิตร่อนเร่พเนจรไร้ที่อยู่อาศัยหลายปีก่อน ทำให้นางเข้าใจความสับสนและความสิ้นไร้หนทางของการไม่มีที่พักอาศัยเป็อย่างดี นางไม่อยากให้ลูกหลานต้องมาประสบสถานการณ์เช่นนี้อีกครั้ง
ด้วยเหตุนี้ นางเลยกัดฟันยืมเงินมายี่สิบเหลียง คิดไว้ว่ารอให้หลู่โหย่วมู่หายาเ็ไปแล้ว น่าจะสามารถทยอยคืนได้
การาเ็ของหลู่โหย่วมู่ค่อยๆ ดีขึ้น ทว่าข้อศอกกลับแข็งทื่อไม่คล่องแคล่ว จนถึงจุดหนึ่งที่อู๋ซื่อรู้สึกสิ้นหวัง คิดว่าเขาคงจะรักษาบ้านของตนเองไว้ไม่ได้แล้ว
ดีที่ว่า์ย่อมมีทางออกให้มนุษย์เสมอ [1] หลู่โหย่วมู่พบเจอกับคนมีจิตใจดี ไม่เพียงนำบุตรชายของอู๋ซื่อที่เป็ลมกองอยู่บนพื้นกลับมาส่ง แต่ยังสั่งเครื่องเรือนกับครอบครัวเขาอย่างเมตตาอีก แม้เป็เพียงช่างไม้ธรรมดาคนหนึ่ง แต่ก็เพียงพอให้คนทั้งครอบครัวสำนึกในบุญคุณน้ำหูน้ำตาไหล [2]
“เป็แม่นางน้อยสกุลหูมาหรือ?” อู๋ซื่อประคองมุมกำแพงเดินออกมาช้าๆ
“อื้ม ท่านแม่ ท่านค่อยๆ เดินหน่อย ระวังหกล้มขอรับ” หลู่โหย่วมู่ได้ยินเสียงที่ดังขึ้นก็เดินไปข้างหน้าทันที
“ไม่ต้องให้เ้าประคอง แค่ทางสองก้าว แค่กๆ... ข้ายังเดินได้ เ้าไม่ต้องมาห่วงข้า” อู๋ซื่อโบกไม้โบกมือ
“ท่านย่าสกุลหลู่ ท่านระวังหน่อย นั่งนี่ก่อนเ้าค่ะ”
เห็นว่าอู๋ซื่อเดินได้ยากลำบาก เจินจูเลยย้ายเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างมาวางไว้ข้างกายนางแล้วประคองให้นั่งลง
เจินจูเดินไปใต้ชายคาอีกครั้งหยิบตะกร้าไผ่สานมา และหยิบของในตะกร้าออก มีไข่ไก่หนึ่งตะกร้าเล็ก ฟักทองหนึ่งลูก ถั่วลิสงหนึ่งถุงเล็ก ถั่วเหลืองหนึ่งถุงเล็ก เม็ดข้าวโพดหนึ่งถุงเล็ก เครื่องในพะโล้หนึ่งโถกับกระดูกหมูชิ้นใหญ่สองสามชิ้น สกุลหูเชือดหมูทุกวัน ตอนนี้ในบ้านที่ขาดไม่ได้เลยคือกระดูกหมูกับเครื่องในหมู
“ท่านย่าสกุลหลู่ นี่เป็ธัญพืชที่บ้านข้าเพาะปลูกเอง นี่เป็กระดูกหมูใหญ่ที่บ้านข้าเชือดหมูเหลือไว้ อันนี้น่ะ เป็เครื่องในหมูที่ท่านย่าของข้าทำพะโล้ขึ้น รสชาติดีมากนะเ้าคะ เลยถือมาให้พวกท่านชิมกันเสียหน่อย ล้วนเป็ของเล็กน้อย กระดูกพวกนี้เคี่ยวน้ำแกงให้ท่านอาหลู่ซด ร่างกายท่านอาหลู่ยังไม่หายดี ต้องซดน้ำแกงกระดูกเพื่อบำรุงกระดูกเสียหน่อย” เจินจูยิ้มแล้วเอาของวางข้างกายอู๋ซื่อทีละชิ้น
อู๋ซื่อกับหลู่โหย่วมู่มองของมากมายที่หยิบออกมาจากในตะกร้าของนางทีละอย่าง ต่างก็ตกตะลึงตาค้างจนพูดอะไรไม่ออก
เชิงอรรถ
[1] ์ย่อมมีทางออกให้มนุษย์เสมอ เปรียบเปรยถึง แม้คนเราจะอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังแต่สุดท้ายก็หาทางออกได้
[2] สำนึกในบุญคุณน้ำหูน้ำตาไหล หมายถึง การสำนึกในบุญคุณอย่างยิ่ง