มู่จื่อหลิงกับกุ่ยเม่ยเดินออกจากถ้ำมืดชื้นอย่างรวดเร็ว
หลังจากอยู่ในถ้ำมืดมนมาเกือบทั้งวัน ทันทีที่เดินออกมา ดูเหมือนดวงอาทิตย์จะแยงตาจนเห็นเป็ภาพหลอน
“ฮู...” มู่จื่อหลิงรีบถอดหน้ากากออก เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปอึกใหญ่ “อากาศข้างนอกดีกว่าจริงๆ!”
กุ่ยเม่ยมองมู่จื่อหลิงซึ่งเงยมองขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วถอนหายใจอย่างพูดไม่ออก
บนใบหน้าสะอาดงดงามของมู่จื่อหลิง ผิวใต้จมูกที่ขาวใส ไม่มีสิ่งแปลกปลอมใดๆ
แต่ิัเหนือจมูกของนางราวกับถูกทาด้วยถ่าน ยกเว้นดวงตาใส ส่วนที่เหลือเป็สีดำสนิท
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ‘สีดำถ่าน’ นี้ทาได้ดีมาก ดูเหมือนว่าจะฝังอยู่ในิั เช็ดไม่ออก เกาะแน่น ราวกับเป็สีนี้มาแต่กำเนิดยากที่จะลบออก จนเขาไม่อาจทนมองได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้กุ่ยเม่ยรู้สึกพูดไม่ออกที่สุดคือ...
มู่จื่อหลิงบอกเขาว่านางพบเบาะแสใหม่ในถ้ำ เบาะแสที่สามารถรักษาโรคให้หายขาดได้
จากนั้น เพื่อที่จะพรางกายยามอยู่ต่อหน้ากลุ่มค้างคาวเืแดงได้ดีขึ้น มู่จื่อหลิงจึงจงใจใช้ส่วนผสมสีดำที่นางทำขึ้น ใช้ทาทั้งร่างจนกลายเป็สีดำ
กล่าวได้ว่าสำหรับท่อนไม้อย่างกุ่ยเม่ย นี่คือวิธีที่มู่จื่อหลิงทำให้เขาตกอยู่ในความงุนงง ไม่มีความสงสัยในใจอีกต่อไป ในใจไร้ซึ่งความสั่นะเื
ยาที่มู่จื่อหลิงใช้ ต้องรอถึงเจ็ดวันกว่ามันจะจางหายไป
อย่างไรก็ตาม ใบหน้านี้ดูแปลกจริงๆ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็แปลก!
ดังนั้น สิ่งนี้ทำให้กุ่ยเม่ยรู้สึกว่าภาพลักษณ์ที่ทำลายตนเองของมู่จื่อหลิงนั้นไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ค้างคาวเืแดงหายไป แต่นางกลับต้องอยู่ในสภาพไม่น่ามองนี้นานถึงเจ็ดวัน
นี่มันช่าง...
ยามเห็นท่าทางไม่ไยดีของมู่จื่อหลิง ในที่สุดกุ่ยเม่ยก็หน้าบึ้ง เบือนหน้าหนีอย่างเงียบงัน...
กุ่ยเม่ยจะรู้ได้อย่างไรว่า คนที่ทุกข์ทรมานมากที่สุดก็คือมู่จื่อหลิง
หากเป็ไปได้ ใครจะอยากเดินไปไหนมาไหนด้วยใบหน้าขาวดำดูเป็คนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงเช่นนี้!
แน่นอนว่ามู่จื่อหลิงก็ไม่มีข้อยกเว้น
ใบหน้านี้จะส่งผลต่อความอยากอาหารของนางอย่างจริงจัง
แต่นางพูดได้หรือว่า ที่เป็อยู่ในยามนี้เพราะยามนั้นนางใเกินไปที่ได้เห็นภาพนั้นในถ้ำ จึงหยิบเอายาสีดำขึ้นมาใช้กับตนเองด้วยความงุนงงสับสน?
เป็ไปไม่ได้อย่างแน่นอน!
เมื่อทำสิ่งโง่เขลาลงไป แน่นอนว่าต้องปิดบังให้มิดชิด ไม่ว่าจะเป็อย่างไรภาพลักษณ์ยังคงต้องรักษาไว้
เจ็ดวัน ต้องขอบคุณกุ่ยเม่ยที่มองนางด้วยสายตาที่ซับซ้อนระหว่างทางออกจากถ้ำ มู่จื่อหลิงจึงตระหนักได้ว่านางใช้ยาผิด
์ทราบดี ยามมู่จื่อหลิงพบว่านางใช้ยาผิด ความรู้สึกในใจของนางนั้นอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ มากล้นจนไม่สามารถอธิบายเป็คำพูดได้
เวลาเจ็ดวัน ยังดีที่รู้เร็ว มู่จื่อหลิงพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อบรรเทาอาการด้วยยาอื่น ไม่เช่นนั้นอาจใช้เวลานานกว่านั้น ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคืออาจต้องแบกหน้าสีขาวดำไปตลอดชีวิต
ไม่คาดคิดว่านางจะทำสิ่งที่ไร้สมองเช่นนี้ได้ บ้าจริง!
แค่คิดถึงเื่นี้ ในใจมู่จื่อหลิงก็รู้สึกเ็ป แต่ก็ยากที่จะอธิบายออกมาได้
......
ม้าเมฆาซึ่งจ้องปากถ้ำตลอดเวลา เมื่อมันเห็นพวกมู่จื่อหลิงออกมา มันก็ยกกีบเท้าทั้งสี่ขึ้นวิ่งเข้าหามู่จื่อหลิงทันที
มันเอาหัวถูไถมู่จื่อหลิง ร้องครางต่ำเหมือนเด็กเล็ก
การเคลื่อนไหวของม้าเมฆาทำให้มุมปากของมู่จื่อหลิงกระตุกเล็กน้อย พูดไม่ออกไปชั่วขณะ
เป็เื่ยากที่ม้าตัวนี้จะจำนางที่มีรูปลักษณ์ไม่ต่างจากผีเช่นนี้ได้ แม้แต่กุ่ยเม่ยก็ควรละอายใจในตนเอง
มู่จื่อหลิงยื่นมือออกมาลูบหัวม้าเมฆาเบาๆ ม้าเมฆากำลังแสดงออกถึงความสุข แตกต่างจากความเ็าก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
ในยามนี้กุ่ยเม่ยเบือนหน้าจากการจ้องมองมู่จื่อหลิง ทันใดนั้นเขาก็พบกองเืบนพื้นหญ้า
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาเข้าไปมองใกล้ๆ ก่อนเห็นว่าเป็มือสีดำเปื้อนเื
มู่จื่อหลิงก็สังเกตเห็นเช่นกัน นางเหลือบดวงตาคู่งามไปมองแวบหนึ่ง ก่อนยกมุมปากขึ้นอย่างเฉยเมย “ไม่เคยคิดเลยว่าหลินเกาฮั่น เ้าคนชราผู้ขี้ขลาดตาขาว รักตัวกลัวตาย จะโหดร้ายกับตนเองได้ถึงเพียงนี้”
ยามนึกถึงสิ่งที่หลินเกาฮั่นพูดในถ้ำก่อนหน้านี้ ดูเหมือนจะรู้ว่าเพราะเหตุใดหลินเกาฮั่นถึงโเี้เช่นนั้น จู่ๆ ริมฝีปากของมู่จื่อหลิงก็ยกยิ้มจางๆ
หากชายชราหลินเกาฮั่นรู้ว่าไม่เพียงแต่นางยังไม่ตาย แต่ยังมีชีวิตอยู่และสบายดี ไม่รู้ว่าเขาจะโกรธจนตายหรือไม่
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางจะไม่ปล่อยให้หลินเกาฮั่นตายอย่างมีความสุขเป็แน่
แม้ว่ากุ่ยเม่ยจะใกับใบหน้าของมู่จื่อหลิงไปตลอดทาง แต่ในยามนี้เขาสามารถคาดเดาเกี่ยวกับการตัดมือตนเองของหลินเกาฮั่นได้เช่นกัน
กุ่ยเม่ยพบว่าม้าของเขาหายไป เขาขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “หวางเฟย ดูเหมือนเ้าหลินเกาฮั่นผู้นั้นใกล้ถึงวังหลวงแล้ว หากเขาได้รับอนุญาตให้เข้าไปกราบทูลฮ่องเต้ก่อนเราหนึ่งก้าว เกรงว่า...ข้าน้อยได้ยินมาว่าเมื่อไม่นานมานี้พระวรกายของฝ่าาไม่ดีนัก”
พระพลานามัยของฮ่องเต้เหวินอิ้นแย่ลงกว่าเดิมเนื่องจากโรคระบาด ใครจะรู้ว่าหากพระองค์ทรงถูกกระตุ้นอีกครั้งจากการได้ยินข่าวร้ายเกี่ยวกับอุบัติเหตุของมู่จื่อหลิงจะเป็อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้น หากหลินเกาฮั่นได้รับอนุญาตให้เข้าไปในวังหลวงก่อน เพื่อกลับดำให้กลายเป็ขาว [1] ก่อนจะเผยแพร่เื่ราวการสิ้นพระชนม์อันน่าสลดใจของฉีหวางเฟย
ดังนั้นในท้ายที่สุด แม้ว่ามู่จื่อหลิงจะยังมีชีวิตอยู่ทั้งยังอยู่ดีกินดี แต่ชายชราอย่างหลินเกาฮั่นก็เพียงพอแล้วต่อการทำตัวเอะอะโวยวาย สร้างความโกลาหลในวังหลวง
แต่มู่จื่อหลิงไม่เห็นด้วยกับคำพูดของกุ่ยเม่ย
เพราะนางไม่คิดว่าตนจะมีสถานะใดในใจของฮ่องเต้เหวินอิ้น
ดังนั้น มู่จื่อหลิงจึงไม่คิดว่าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับนาง จะสามารถส่งผลกระทบโดยตรงต่อเ้าแห่งแผ่นดินได้
มู่จื่อหลิงจะรู้ได้อย่างไรว่าในขณะนี้ หากมีอะไรเกิดขึ้นกับนาง มันจะไม่ส่งผลโดยตรงต่อฮ่องเต้เหวินอิ้น
แต่อาจมีผลกระทบทางอ้อมที่เกิดจากขุนนางบางคน และผลของมันอาจก่อให้เกิดสถานการณ์ร้ายแรงขึ้นได้
ในยามนี้มู่จื่อหลิงลูบคางเบาๆ ครุ่นคิดอย่างรอบคอบ
แต่...กุ่ยเม่ยก็พูดถูกอย่างหนึ่ง นางไม่ควรปล่อยให้คนชราผู้นี้รายงานไปก่อนได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน่เวลาพิเศษเช่นนี้ ์ทราบดีว่าคนปากเปราะอย่างหลินเกาฮั่นสามารถกลับดำให้กลายเป็ขาวได้อย่างไรบ้าง
ต้องรู้ว่า หลินเกาฮั่นกับไทเฮาเฒ่าในวังเหมือนกันทุกประการ บางทีพวกเขาอาจจะสร้างความวุ่นวายในภายหลังเพื่อรอให้นางกลับไปจัดการก็เป็ได้
มู่จื่อหลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนได้ข้อสรุป “จากร่างกายที่ทรุดโทรมของหลินเกาฮั่นต้องใช้เวลามากในการออกจากถ้ำ อีกทั้งยามนี้มือของเขายังขาดไปข้างหนึ่ง ร่างกายเต็มไปด้วยรอยแผล แม้จะมีม้า เขาก็ไม่สามารถทนต่อการกระแทกรุนแรงได้ ดังนั้นเขาน่าจะยังไปได้ไม่ไกล”
“เช่นนั้นข้าน้อยจะตามไปเดี๋ยวนี้…” กุ่ยเม่ยพูดอย่างเร่งรีบ
ขณะที่พูดเช่นนั้น กุ่ยเม่ยก็หันหลังกลับ แทบรอไม่ไหวที่จะจากไป
“รอก่อน จะรีบไปด้วยเหตุใด” มู่จื่อหลิงหยุดเขา ทั้งยังมองเขาอย่างหงุดหงิด “ที่ที่เ้าต้องรีบไป ไม่ใช่การไล่ตามชายชรานั้น แต่เป็มุ่งตรงไปวังหลวง”
“ไปวังหลวง?” กุ่ยเม่ยมองมู่จื่อหลิงด้วยความสับสนงงงวย
มู่จื่อหลิงชำเลืองมองเขาอย่างเฉยเมย อธิบายอย่างจริงจัง “หากจัดการชายชรานั้นในยามนี้ มันจะไม่ง่ายเกินไปสำหรับเขาหรอกหรือ? นอกจากนี้ หากแค่กำจัดคนผู้นั้นที่ทั้งเจ็บป่วยและพิการ เช่นนั้นจะเสียศักดิ์ศรีของเ้าได้นะ กุ่ยเม่ย!”
ใช่ หากคนชั่วร้ายเช่นนั้นตายในมือเขา มือของเขาก็จะสกปรก...กุ่ยเม่ยพยักหน้าเห็นด้วย เขาขอคำแนะนำอย่างนอบน้อม “เช่นนั้น ข้าควรทำอย่างไรดี?”
มู่จื่อหลิงกอดอก ประกายแสงน่ากลัวและเ้าเล่ห์พุ่งออกมาจากภายในดวงตาของนาง “ใครก็ตามที่หลินเกาฮั่น้าเข้าไปรายงานก็ปล่อยให้เขาทำไป เป็การดีที่จะปลุกเร้าแม่มดเฒ่านั่นสักพัก เราเพียงแค่ฉีดวัคซีนกันไว้เท่านั้น หลินเกาฮั่นนำหน้าไปหนึ่งก้าว เช่นนั้นเราก็เข้าหาฮ่องเต้ให้พระองค์เข้าจัดการกับมัน”
การฉีดวัคซีนคืออะไร? กุ่ยเม่ยไม่เข้าใจ
อย่างไรก็ตาม จากคำพูดของมู่จื่อหลิงทั้งก่อนและหลัง เขาพอจะเดาได้ เขารู้ว่าคนที่ทำให้หวางเฟยขุ่นเคืองนั้นจะปล่อยให้ตายอย่างสงบได้อย่างไร?
เป็ไปตามความคิด! นายหญิงของเขาช่างรอบคอบยิ่งนัก!
“เื่เช่นนี้ คงไม่จำเป็ต้องสอน เ้าน่าจะมีวิธีกราบทูลต่อฮ่องเต้และรู้วิธีเก็บความลับ เพื่อที่เื่นี้จะดำเนินไปสู่จุดจบที่สมบูรณ์แบบ” มู่จื่อหลิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
อย่างไรก็ตาม บนใบหน้าของนางมีรอยยิ้มที่ไม่อาจเข้าใจได้ มุมปากแย้มยิ้มราวกับดอกไม้บาน งดงามน่ามอง แต่ด้วยใบหน้าขาวดำเช่นนี้ ไม่อาจทำให้ทนมองตรงๆ ได้ในยามนี้ รอยยิ้มของนางทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวสั่นลงถึงกระดูกสันหลัง
ยามได้ยินเช่นนี้ กุ่ยเม่ยก็เข้าใจอย่างลึกซึ้งทันที
ให้ไทเฮาทราบข่าวการตของหวางเฟย ให้นางได้ดีใจชั่วขณะ จากนั้นจะกลับมาฟาดฟันพวกนางให้สิ้นซาก!
ในท้ายที่สุด ชายชราอย่างหลินเกาฮั่นก็จะตกมาจาก์สู่นรก ไทเฮาก็ต้องได้ลิ้มรสผลไม้รสขม [2] เสียบ้าง...
แค่คิดเช่นนี้ กุ่ยเม่ยก็รู้สึกว่าเื่นี้ช่างน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าการฆ่าคน
ก่อนกุ่ยเม่ยกำลังจะจากไป มู่จื่อหลิงยังกล่าวอีกว่า “รายงานสถานการณ์ในถ้ำศพนี้ให้ฮ่องเต้ทราบตามข้อเท็จจริง บอกด้วยว่าเื่ของค้างคาวเืแดงได้รับการจัดการแล้ว ขอให้ท่านฮู่กั๋วกง ส่งคนไปสะสางให้เร็วที่สุด...”
นางหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเตือน “โอ้ ใช่ ทูลฮ่องเต้ว่าพบวิธีรักษาโรคระบาดแล้ว ยาได้รับการทดสอบในอีกไม่นานนี้ คนที่คิดอยากเข้าขัดขวางในที่มืด คนเ่าั้มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่ทรงทราบดี”
สำหรับความไม่น่าเชื่อถือของชายตุ้งติ้งหลี่ซินหย่วน นางเชื่อว่าฮ่องเต้เหวินอิ้นรู้ดีกว่าใคร นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางต้องกังวล
อย่างไรก็ตาม เื่นี้เกี่ยวข้องกับกู่ซากศพ มีส่วนเกี่ยวข้องหลายอย่าง จำเป็ต้องระวัง ครั้งนี้เล่อเทียนไม่ได้มากับพวกเขา มู่จื่อหลิงคาดว่าเขากำลังเข้าไปรายงานต่อฮ่องเต้เหวินอิ้น
กุ่ยเม่ยพยักหน้าแล้วเดินจากไป...
จนกระทั่งร่างของกุ่ยเม่ยเลือนหายไปอย่างสมบูรณ์ มู่จื่อหลิงจึงพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ลมหายใจนี้ ดูเหมือนขับไล่ความเหน็ดเหนื่อยที่สั่งสมมาั้แ่สองสามวันก่อนให้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้นางรู้สึกโล่งใจในทันที
ยามมู่จื่อหลิงกำลังจะะโขึ้นหลังม้า...
ทันใดนั้นมู่จื่อหลิงก็หยุดลงครู่หนึ่ง ในขณะที่นางกำลังจะก้าวขึ้นไปบนโกลน นางก็ขมวดคิ้ว รู้สึกถึงวิกฤตที่มาจากด้านหลัง
นี่คือกลิ่นอายสังหาร กลิ่นอายสังหารที่แข็งแกร่ง!
เดิมทีสัญชาตญาณของมู่จื่อหลิงนั้นเฉียบแหลมมาก และั้แ่นางเดินทางข้ามเวลามา นางดูเหมือนจะไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างไร้กังวลเลย
ก่อนหน้านี้มู่จื่อหลิงถูกฮองเฮาลอบสังหารสองสามครั้ง ทั้งยังเกือบตายครั้งหนึ่ง มู่จื่อหลิงจึงมีความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับวิกฤตเลวร้ายเช่นนี้ ทั้งยังยกระดับการระแวดระวังขึ้นเป็อย่างมากเพื่อต่อต้านมัน
ยามนี้ มู่จื่อหลิงมั่นใจได้ว่ามีบางอย่างกำลังจ้องมองนางอยู่ด้านหลังเป็แน่
ส่วนจะเป็คนหรือสัตว์ร้ายนั้นนางไม่รู้
กล่าวได้ว่าสัญชาตญาณของมู่จื่อหลิงแม่นยำมากจริงๆ
เพราะในยามนี้ ไม่ไกลจากนาง มีบุคคลที่ปกคลุมไปด้วยความมืดมนหนาวเหน็บ ร่างกายเผยให้เห็นกลิ่นอายสนุกสนานบ้าคลั่ง......
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] กลับดำให้กลายเป็ขาว (颠倒黑白) เป็สำนวน มีความหมายว่า บิดเบือนข้อเท็จจริง
[2] ผลไม้รสขม (尝些苦果) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า สิ่งที่ให้ความสุขเพียงชั่วครู่ ก่อนความจริงจะเผยขึ้นมา
