ฉินเหล่ยซินมองไปรอบๆ ครู่หนึ่งด้วยความลำบากใจ จากนั้นถามฉวีซูอย่างขลาดกลัว “ไป๋เจ๋อจวิน เช่นนั้นพวกเรา...”
ฉวีซูยังไม่ทันพูดจบ เจียงเฉิงเยว่ถามด้วยน้ำเสียงเ็า “ไป๋เจ๋อจวิน ศิษย์ผู้คุ้มกันค่ายกลเหล่านี้...ควรเป็คนสนิทของท่านใช่หรือไม่?”
ฉวีซูเงยหน้ามองเขา ตอบด้วยน้ำเสียงเ็า “ฉิงชางจวิน้าพูดอะไร?”
เจียงเฉิงเยว่กล่าว “เหตุใดยามที่อัครเสนาบดีหลิวขว้างบางสิ่งอย่างรวดเร็วเมื่อครู่...ค่ายกลทางด้านนี้กลับสูญเสียการควบคุม...ไม่คิดว่าบังเอิญเกินไปหรือ?”
ฉวีซูรู้ว่าเขาไม่สามารถออกไปได้ในตอนนี้ จึงมองไปที่อัครเสนาบดีหลิวซึ่งเสียชีวิตคาที่ พูดกับฉินเหล่ยซินด้วยเสียงต่ำ “เ้าให้คนพาหมินอวี่ลงไปรักษาาแก่อน ข้าจะตามไปในไม่ช้า”
“ขอรับ!” ฉินเหล่ยซินพยักหน้าตอบรับ ก่อนพาคนสองสามคนไปอุ้มศิษย์ที่ได้รับาเ็จากไปก่อน เื่การาเ็เป็เื่เร่งด่วน เจียงเฉิงเยว่จึงไม่มีทางขวาง ทำได้เพียงหลบไปด้านข้างเพื่อหลีกทางให้
ฉวีซูยืนขึ้นเอ่ยด้วยรอยยิ้มเ็า “ฉิงชางจวิน เมื่อครู่เขตอาคมได้รับการปกป้องโดยศิษย์หลิงเยว่เฟิงของข้า และผู้ที่าเ็จากการที่เขตอาคมพังทลายก็เป็ศิษย์หลิงเยว่เฟิงของข้า ฉวีซูไม่เคยขอคำอธิบายจากฉิงชางจวิน แต่ทำไมฉิงชางจวินกลับถามอย่างตำหนิข้าก่อนกัน?”
ด้านหลังของฉวีซูยังมีศิษย์หลิงเยว่เฟิงสองสามคนที่เหลืออยู่ ต่างขุ่นเคืองกับความไม่เป็ธรรมนี้ “ภูตผีเหล่านี้เป็ฉิงชางจวินนำมา...แล้วยามนี้แสร้งทำเป็สร้างเขตอาคมเพื่ออะไร? แม้เ้าจะสร้างเขตอาคมนี้อย่างเสแสร้ง คิดว่าสามารถลบล้างเื่ที่ท่านเป็ผู้ร้ายได้หรือ?”
มีอีกเสียงพูดตอบรับ “ถูกต้อง ฉิงชางจวิน้าจะสังหารปิดปาก สุดท้ายแล้วยังโยนความผิดให้ผู้อื่นอย่างไม่ยอมรับผิด...กลับผิดเป็ถูกเช่นนี้ ไม่รังแกผู้คนเกินไปหรือ?!”
ครั้งนี้แม้แต่ศิษย์สำนักเต๋าที่ไม่ได้อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของไป๋เจ๋อจวินและยืนอยู่ข้างกายเจียงเฉิงเยว่ก็ทนไม่ได้อีกต่อไป ต่างขุ่นเคืองกับความไม่เป็ธรรม “ถูกต้อง! ฉิงชางจวิน...สุดท้ายแล้วใครที่สร้างปัญหาโดยไม่มีเหตุผลกันแน่?” หลังมองไปก็เป็หนีอวิ๋นเสวี่ยจากสำนักจงหลีซานนำถ้อยคำนี้โต้กลับมาด้วยความรวดเร็ว ดูท่ายังแค้นฝังลึกกับการที่เจียงเฉิงเยว่เหน็บแนมศิษย์พี่ของเขาเมื่อครู่
เดิมทีเจียงเฉิงเยว่คิดอย่างมั่นใจว่าตนเองจะสามารถลบล้างความน่าสงสัยได้ด้วยการกระทำในค่ำคืนนี้ ไม่คาดคิดว่าจะกลายเป็วุ่นวายเช่นนี้จริงเชียว และความน่าสงสัยกลับเพิ่มขึ้นอีก จึงอดไม่ได้ที่จะกัดฟันพูดทีละคำอย่างเ็า “หากเป็ข้าที่ทำก็ไม่จำเป็ต้องปฏิเสธ หากข้าไม่ได้ทำย่อมไม่จำเป็ต้องรับโทษแทนผู้อื่นไม่ใช่หรือ? เื่ในวันนี้ข้าจะไม่รามือ ไม่ว่าผู้ร้ายตัวจริงที่อยู่เื้ัจะเป็ใคร ต่อให้ต้องไปสุดหล้าฟ้าเขียว ข้าจะต้องหามันให้เจออย่างแน่นอน!”
นี่คือสัจธรรมที่เขาพูด ทว่าชาวสำนักเต๋าในที่แห่งนี้จะเชื่อเขาได้อย่างไร? หลังจากนั้นมีคนพูดฉีกหน้าอย่างรนหาที่ตาย “ฉิงชางจวินช่างแสดงละครเก่งเสียจริง! แสดงท่าทางเช่นนี้ให้ใครดูกันเล่า?...อื้อ...” เขายังไม่ทันพูดจบกลับบีบลำคอตนเองแน่นจนหายใจไม่ออกเหมือนกับคนปากมากผู้นั้น
‘การกระทำ’ ของเจียงเฉิงเยว่ทำให้ผู้อื่นโกรธขึ้นมาโดยพลัน มีอีกคนหนึ่งะโด้วยความโกรธเคือง “เ้าิญญาชั่วร้าย! ทนที่คนอื่นพูดไม่ได้หรืออย่างไร อื้อ...”
เจียงเฉิงเยว่มองทั้งสองคนที่ล้มลงกับพื้น ดิ้นรนด้วยใบหน้าแดงก่ำอย่างประหลาดใจเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าทั้งสองคนน่ารำคาญ แต่กลับคิดว่านี่มันมากเกินไปหน่อย ต่อให้เขาจะกล้ามากขึ้นเท่าไรในยามนี้คงไม่อาจคัดค้านหลี่อวิ๋นหังเช่นนั้น นอกจากนี้ หากคิดดูแล้วหลี่อวิ๋นหังก็กำลังช่วยเขาอยู่ ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ฉิงชางจวินทำได้เพียงเผยสีหน้าเ็าต่อไปพร้อมประกาศต่อผู้คน “ข้าเคยพูดว่า...จะเชื่อหรือไม่ก็เป็เื่ของพวกท่าน...ข้าไม่จำเป็ต้องอธิบายให้มากความ”
ถ้อยคำนี้แทบทำให้คนเ่าั้พิโรธ
หนีรั่วหลีหรี่ตาพูดด้วยเสียงทุ้ม “ฉิงชางจวิน...คิดจริงหรือว่าสำนักเต๋าในใต้หล้าอย่างเราไม่มีพรรคพวก?”
เจียงเฉิงเยว่ถูกกระตุ้นให้โกรธ จึงมองอีกฝ่ายอย่างเ็า “หากข้า้าจะไป...อาศัยเพียงมนุษย์ธรรมดาอย่างพวกท่านจะขวางข้าได้หรือ?”
เมื่อถ้อยคำกล่าวจบ ชาวสำนักเต๋าดูเหมือนจะค้นพบเป้าหมายในเวลาเดียวกัน อาวุธเซียนและดาบิญญาในมือมุ่งเป้ามาที่เขาอย่างพร้อมเพรียง
เมื่อเห็นว่าการต่อสู้ที่ดุเดือดกำลังจะเริ่มขึ้น กลับเป็ไป๋เจ๋อจวินฉวีซูที่ขัดจังหวะ เอ่ยโน้มน้าวด้วยเสียงทุ้ม “ทุกท่าน เื่ในวันนี้...มีจุดที่น่าสงสัยมากมายนัก”
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะเพ่งสายตามอง ถึงอย่างไรไป๋เจ๋อจวินก็นับว่าเป็ผู้นำของสำนักเต๋าในใต้หล้า เมื่อเขาเปิดปาก ทุกคนจึงดูเหมือนจะหาทางลงได้ ดังนั้นจึงเริ่มสงบสติอารมณ์ รอการตัดสินใจจากเขา
ฉวีซูยิ้มให้เจียงเฉิงเยว่อย่างเย้ยหยัน “ฉิงชางจวินไม่จำเป็ต้องอธิบายกับพวกเราที่เป็ ‘มนุษย์’ ให้มากความ...์ได้เข้ามาแทรกแซงแล้ว คิดว่าฉิงชางจวินคงออกไปจากที่นี่อย่างไม่ง่ายดายกระมัง? ทางที่ดี ในเมื่อฉิงชางจวินรับปากแล้วก็สืบหาให้ถึงที่สุดเสียดีกว่า หากฉิงชางจวินมีข้อสงสัย รอให้เด็กคนนั้นตื่นขึ้นมา ฉวีซูจะถามอย่างชัดเจนด้วยตนเองว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น และมอบคำอธิบายแก่ฉิงชางจวิน หวังว่าฉิงชางจวินจะสามารถมอบคำอธิบายให้แก่ทั้งสามโลกและใต้หล้าได้เช่นกัน!”
ถ้อยคำนี้ไม่ได้แข็งกร้าวหรือถ่อมตัว ล้วนเป็ไปตามทำนองคลองธรรม ค่อนข้างจะเป็การไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง แม้ว่าจะไม่ได้ทำให้เกียรติของาาผีอัปลักษณ์มากเกินไป แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาพึงพอใจเท่าใดนัก ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองฝ่ายจึงยอมถอย
ดังนั้นใบหน้าของทุกคนในที่นี้จึงผ่อนคลายลง
ไป๋เจ๋อจวินเอ่ยอีกครั้ง “ศิษย์ภายใต้ฉวีซูได้รับาเ็สาหัส ต้องรีบทำการรักษา...” เขาถอนหายใจแล้วมองไปยังศพของอัครเสนาบดีที่ตายตาไม่หลับด้วยใบหน้าซีดขาวและบิดเบี้ยว “สำหรับอัครเสนาบดี ข้าจะส่งคนไปด้วยตนเองหลังจากที่การเจรจาไปได้ด้วยดี...ถ้าเช่นนั้น ฉวีซูขอลาไปก่อน”
ขณะที่พูดก็สั่งการศิษย์ในสำนัก เตรียมที่จะล่าถอย
เมื่อทุกคนเห็นว่าพวกไป๋เจ๋อจวินจากไปกันหมดจึงเริ่มเสียสติ
สำหรับกลุ่มภูตผีที่อยู่ด้านนอกเขตอาคม ราวกับว่าไม่จำเป็ต้องกำจัด เพียงร่ายเคล็ดวิชาคุ้มกายย่อมไม่ใช่เื่ยากสำหรับชาวสำนักเต๋าที่จะผ่านพวกมันไป
แม้แต่สำนักจงหลีซานก็ไม่้าจะพัวพันมากเกินไปนัก อย่างไรก็ตาม ไป๋เจ๋อจวินฉวีซูกับหนีรั่วหลียังไม่ทันจากไป เจียงเฉิงเยว่กลับะโเสียงดัง “ช้าก่อน!”
ทุกคนใแล้วหันกลับมามองเขาอีกครั้ง
เจียงเฉิงเยว่เอ่ยขึ้นมา “ข้าบอกให้แยกย้ายกันได้แล้วหรือ?”
ทุกคนมองหน้ากันโดยพลัน มีคนหนึ่งพูด “ฉิงชางจวินยังคิดว่าอย่างไร...” ยังไม่ทันพูดจบกลับปิดปากของตนเอง พลางนึกถึงจุดจบของหลายคนที่พูดสอด จนกระทั่งไม่รู้สึกแปลกอะไรจึงค่อยวางใจ
เจียงเฉิงเยว่ชี้ไปที่หนีรั่วหลีกับไป๋เจ๋อจวินฉวีซู “ทั้งสองท่าน...ลืมหรือเปล่าว่าติดค้างอะไรข้าอยู่?!”
ทั้งสองคนตะลึงงัน
เจียงเฉิงเยว่กล่าวต่อ “หยกคู่เพลิงสุวรรณของศิษย์ตัวน้อยข้าเล่า?”
หนีรั่วหลีกับไป๋เจ๋อจวินอดไม่ได้ที่จะสบตากันแวบหนึ่ง ทั้งคู่ต่างเห็นความประหลาดใจและความขุ่นเคืองในดวงตาของอีกฝ่าย
หลังจากตกตะลึง ไป๋เจ๋อจวินเปิดปากพูดก่อน แต่น้ำเสียงกลับกลั้นความโกรธไว้ไม่ได้อีกต่อไป “ฉิงชางจวิน...ท่าน้าทำอะไรกันแน่?”
เจียงเฉิงเยว่หรี่ตา “ทำไม? ถึงอย่างไรไป๋เจ๋อจวินก็เป็ผู้นำที่มีชื่อเสียงของนักพรตเต๋าในใต้หล้า...วันนั้นพวกท่านแย่งชิงอาวุธวิเศษไปจากศิษย์ตัวน้อยภายใต้สายตาของทุกคน เวลานี้การหวนคืนสู่เ้าของไม่ใช่สัจธรรมของฟ้าดินหรอกหรือ? หรือว่ายามนี้ยัง้าปฏิเสธ ไร้ยางอายเสียจริงนะ”
หลังถ้อยคำนี้ถูกกล่าวออกมา ศิษย์ในชุดคลุมแม่น้ำรั่วที่ยังเหลืออยู่ไม่กี่คนซึ่งอยู่ด้านหลังไป๋เจ๋อจวินต่างโมโหพร้ะโกน “รังแกผู้คนเกินไปแล้ว!” พวกเขาเกือบจะพุ่งไปข้างหน้าทว่าถูกฉวีซูขวางเอาไว้ อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่ง จัดระเบียบความคิด จากนั้นเงยหน้าบอกกับเจียงเฉิงเยว่ “ฉิงชางจวิน ประการแรก...เดิมทีหยกคู่เพลิงสุวรรณเป็ของตระกูลจิ้งจอกเพลิง ต่อมาได้นำเข้าสู่ราชสำนักในราชวงศ์นี้แห่งประเทศจงซาน...ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฉิงชางจวินแม้แต่น้อย เหตุใดฉิงชางจวินถึงยืนยันว่าหยกคู่เพลิงสุวรรณเป็อาวุธวิเศษของท่าน?”
เจียงเฉิงเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ไม่มีความเกี่ยวข้องกับข้า แต่มีเกี่ยวข้องกับพวกท่านหรือ? ใครเป็คนเอามันไปก็เป็ของคนนั้นหรือ?”
ฉวีซูถูกดักทางจนใบหน้าซีดเซียว เขาพูดอีกครั้ง “อันที่จริงแล้ว...ข้ากับนักพรตหนีชิงมันไปจากศิษย์ของท่านในวันนั้น แม้ว่าหยกคู่เพลิงสุวรรณจะอยู่ในระดับอาวุธเทพแล้ว แต่หากฉิงชางจวินพูดในทางที่ไม่ดี...สุดท้ายแล้วย่อมเป็เพียงอุปกรณ์ป้องกัน แม้ว่ามันจะหายาก แต่ก็ไม่ได้หาได้ยากในโลกนี้...ฉวีซูช่างโง่เขลาไม่มีความสามารถ แต่เมื่อวาดค่ายกลป้องกันด้วยตนเองแล้วก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าหยกคู่เพลิงสุวรรณ จึงไม่ถึงขั้นที่จะโลภในอาวุธวิเศษของฉิงชางจวิน!”
ไป๋เจ๋อจวินมีความเคารพและสุภาพเสมอ ไม่เคยพูดจาอย่างโกรธแค้นรุนแรงกับผู้ใดมาก่อน ทว่าครั้งนี้ดูเหมือนจะถูกาาผีผู้นี้ทำให้ร้อนรน ทุกคนจึงอดไม่ได้ที่จะกังวล
“ประการที่สอง...” ไป๋เจ๋อจวินเอ่ยอย่างโกรธเคือง “ฉิงชางจวิน เหตุใดจึงต้องเป็โจรที่เรียกจับโจรเองด้วย? ไม่ใช่ว่าฉิงชางจวินเอาหยกคู่เพลิงสุวรรณกลับไปนานแล้วหรอกหรือ?! เหตุใดยามนี้จึงมาเค้นต่อหน้าผู้คนที่นี่อย่างไม่ยอมรามือ?”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง ไม่ได้เปิดปากพูดเป็เวลานาน หลังจากนั้นมีเสียงเร่งของหลี่อวิ๋นหังดังขึ้นที่ข้างหู “ถามเขาสิว่าเ้า ‘เอามันไป’ เมื่อใด?” เจียงเฉิงเยว่นิ่งค้างไปครู่หนึ่งจึงตอบสนอง เขากำชับถาม “ข้าเอาหยกคู่เพลิงสุวรรณออกไปเมื่อใด? เอาออกไปอย่างไร? หวังว่าไป๋เจ๋อจวินจะชี้แจงรายละเอียดได้”
ฉวีซูตกตะลึง เขาส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปยังหนีรั่วหลี เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าเล็กน้อยจึงพูด “ฉิงชางจวิน...ไม่ทราบจริงหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่ยกยิ้มอย่างเ็า “เมื่อเร็วๆ นี้ข้าถูกตั้งข้อหามากเกินไป หรือว่าตอนนี้แม้แต่รายละเอียดการก่ออาชญากรรมของตนเองเป็อย่างไรก็ทราบไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”
หลังจากฉวีซูได้ยินถ้อยคำประชดประชันก็ไม่ได้สนใจ การเสียท่าทีเมื่อครู่นี้จางหาย กลับสู่ความสงบตามปกติ จากนั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยๆ อธิบาย “วันต่อมาที่พวกเรานำหยกคู่เพลิงสุวรรณไป...่เวลานั้นนักพรตหนีและสหายนักพรตสำนักเต๋าตกลงให้ฉวีซูเก็บสิ่งนี้ ฉวีซูไม่กล้าประมาทจึงพกติดตัวไปด้วย และในคืนนั้น มีโจรถือโอกาสยามที่ฉวีซูอาบน้ำลอบเข้ามาในห้องนอน พร้อมนำหยกคู่เพลิงสุวรรณออกจากถุงเฉียนคุนที่ฉวีซูวางไว้นอกแขนเสื้อ...”
เจียงเฉิงเยว่กล่าวเหลือเชื่อ “ไป๋เจ๋อจวิน ท่านมีฐานะเป็ผู้นำของสำนักเต๋า...นึกไม่ถึงเลยว่าจะปล่อยให้ผู้ใดเข้าประชิดตัวแล้วขโมยอาวุธวิเศษไปได้เช่นนี้?!”
ใบหน้าขาวใสของฉวีซูแดงก่ำด้วยความลำบากใจ “ภายในห้องฉวีซูได้ตั้งค่ายกลไว้แล้ว...เป็ไปไม่ได้ที่ชาวสำนักเต๋าธรรมดาจะเข้าใกล้ได้...เว้นแต่ว่า...พลังิญญาจะสูงและลึกล้ำกว่าฉวีซู...”
เจียงเฉิงเยว่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วรีบถาม “เช่นนั้นไป๋เจ๋อจวินยืนยันได้อย่างไรว่าคนผู้นั้นคือข้า?!”
ฉวีซูตอบ “ภายหลังโจรผู้นั้นเข้ามาฉวีซูสังเกตเห็นแล้ว...กลับทำ...ทำอะไรไม่ถูก...” เขาเอ่ยไม่จบ และทุกคนก็ไม่ได้แย่งพูด ทว่าสีหน้ากลับดูไม่เป็ธรรมชาติเล็กน้อย...ฉับพลันเจียงเฉิงเยว่กลับตอบสนองขึ้นมา จึงจงใจหยอกล้อโดยแสร้งทำท่าทางราวกับรู้ชัด “โอ้ ใช่แล้ว ไป๋เจ๋อจวินไม่ได้ใส่เสื้อผ้าในยามนั้น โจรผู้นี้ช่างรู้วิธีเลือกเวลาเสียจริง” หลังจากนั้น ในที่แห่งนี้มีคนผู้หนึ่งกระแอมไออย่างอึดอัดใจ ฉิงชางจวินพลันเบิกบานใจอย่างผิดธรรรมชาติ
ฉวีซูปรับสีหน้าเอ่ย “หลังจากฉวีซูขึ้นเสียงเพื่อกล่าวเตือน...โจรผู้นั้นกลับหนีออกไปไกลเสียแล้ว ฉวีซูเห็นเพียงแผ่นหลัง ส่วนสูงและเสื้อผ้าล้วน...”
เจียงเฉิงเยว่กล่าวอย่างโกรธเคือง “ท่านไม่เห็นหน้า อาศัยเพียงส่วนสูงกับเสื้อผ้าก็สามารถโยนความผิดให้ข้าได้แล้วหรือ?!” ปรักปรำกันเกินไปหรือไม่ คนกลุ่มนี้มีอคติเกินไปกระมัง?!
ฉวีซูเอ่ย “แน่นอนว่าไม่ใช่ ณ ตอนนั้นนักพรตหนีเป็คนแรกที่ไล่ตามออกไปและประมือกับโจรผู้นั้น”
เจียงเฉิงเยว่รีบหันไปหาหนีรั่วหลี
หนีรั่วหลีพยักหน้าด้วยใบหน้าที่เที่ยงตรงและเงียบสงบ
เจียงเฉิงเยว่กล่าว “เช่นนั้นแล้วท่านเห็นหรือว่าเป็ข้า?”
หนีรั่วหลีตอบ “หลังติดตามไปทัน...กลับสายไปเล็กน้อย โจรผู้นั้นหลบหนีไปแล้ว เพื่อที่จะหยุดอีกฝ่าย หนีจึงกระตุ้นให้ดาบิญญาไล่ตามไป แม้ว่าคนผู้นั้นจะไม่หันมาเปิดเผยหน้า แต่อาวุธวิเศษที่ขับเคลื่อนมาขวางกั้น...กลับเป็โม่หลง...”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง ถึงกับสงสัยในตนเองเล็กน้อย จากนั้นคิดอย่างละเอียดว่าวันต่อมาหลังจากที่ไป้เอ๋อร์ถูกนำหยกคู่เพลิงสุวรรณไปเขากำลังทำอะไรอยู่? คืนต่อมานั้นเขาขึ้นเขาฉีหวน ในไม่ช้าก็ได้พบกับหลี่อวิ๋นหังอีกครั้ง ทั้งเกือบถูกหลี่อวิ๋นหังสลายดวงิญญา หลังจากนั้นเขาหมดสติไป จึงแน่ใจว่าไม่อาจเป็ตนเองได้...ทว่าหากคิดดูแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสับสน จึงรีบละทิ้งอารมณ์ซับซ้อนแล้วเอ่ยถาม “ท่านยืนยันได้อย่างไรว่าเป็โม่หลง?”
ทั้งหนีรั่วหลีและฉวีซูต่างนิ่งค้างกับคำถามของเขา จากนั้นเงียบไปชั่วขณะ หนีรั่วหลีถึงตอบกลับ “โม่หลงของฉิงชางจวิน พวกเราต่างเคยเห็นก่อนหน้านี้”
เจียงเฉิงเยว่เอ่ย “หากมีคนจงใจทำให้พวกท่านเข้าใจผิดเล่า?”
ทุกคนเงียบไปอีกครู่หนึ่ง หนีรั่วหลีกล่าว “ฉิงชางจวิน หากมีคนเคยเห็นรูปลักษณ์ของโม่หลงแล้วจงใจปลอมแปลงจริง รูปร่างนั้นปลอมแปลงได้ง่าย แต่คุณลักษณะของอาวุธวิเศษไม่ได้เผยง่ายใช่หรือไม่? อีกทั้งโม่หลงเป็อาวุธวิเศษที่รู้จักกันดีในสามโลก จุดที่พิเศษที่สุดเป็เพราะการหลอมโดยจิติญญาปลาหลีฮื้อที่ล้มเหลวในการประสบเคราะห์ ดังนั้นจึงมีสามลมปราณรวมเข้าด้วยกัน ทั้งปีศาจ ผีและั...อาวุธวิเศษในสามโลกที่มีคุณสมบัติทั้งสามนี้หาได้ยากบนโลกนัก ด้วยเหตุผลนี้เอง หรือว่าฉิงชางจวินยัง้าเพิกเฉยอีก?”
เจียงเฉิงเยว่นิ่งเงียบ
ผ่านไปสักพักเขาเงยหน้าขึ้น มองไปทางชาวสำนักเต๋าแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มเ็า “อาวุธวิเศษที่มีคุณสมบัติทั้งสามนี้พร้อมกันอย่างโม่หลงนั้นกลับหาได้ยากในโลก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีเพียงหนึ่งไม่มีสอง[1] ใช่หรือไม่? ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าในปรโลกนั้นมีอีกหนึ่ง เหตุใดทุกท่านจึงจับข้าเพียงคนเดียวไม่ยอมปล่อย?”
ทุกคนล้วนตกตะลึง
------------------------
[1] มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง หมายถึง มีเพียงชิ้นเดียว มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร
