เล่มที่ 3 บทที่ 66
เฉินเทียนหยูไม่เข้าใจบทสนทนาระหว่างมู่หรงฉิงและจ้าวจื่อซินแม้แต่คำเดียว หลังจากนั่งฟังอยู่สักพักหนึ่ง เขาจึงรู้สึกว่ามันน่าเบื่อมาก แต่เมื่อเขานึกถึงขนมหวานชนิดใหม่ที่มู่หรงฉิงบอกไว้ก่อนหน้า ั์ตาของเขากลับเป็ประกายทันใด ก่อนดึงมู่หรงฉิงไปที่ห้องครัวโดยไม่พูดอะไร
“คุณชายรองเดินช้าเล็กน้อย ฮูหยินเพิ่งตื่น ร่างกายยังอ่อนแออยู่”
ครั้นเห็นเฉินเทียนหยูเดินจูงมือของมู่หรงฉิงจากระยะไกล ปี้เอ๋อร์ก็รีบวางผลไม้ในมือและสาวเท้าไปข้างหน้าเพื่อประคองมู่หรงฉิง
“ไม่เป็ไร เ้าเตรียมของไปถึงไหนแล้ว?” ระหว่างการสอบถาม นางเหลือบไปเห็นสาวใช้สองคนที่ง่วนอยู่กับงานในครัวเล็กและพบว่าไม่คุ้นหน้าสาวใช้สองคนเท่าใดนัก
“บ่าวน้อมทักทายคุณชายรอง น้อมทักทายฮูหยินน้อย”
เมื่อเห็นเฉินเทียนหยูและมู่หรงฉิง สาวใช้แปลกหน้าก็วางงานลงทันที ก่อนจะก้าวเท้าไปข้างหน้าเพื่อคำนับ
“เนื่องจากเ้าเป็เ้านายของข้าแล้ว เดิมทีเ้าควรจะรับผิดชอบในด้านอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยและการเดินทางทั้งหมด แต่เนื่องจากเ้ายังไม่รู้วิธีการเ่าั้ เ้าเริ่มจากอาหารก่อนก็ได้ วันข้างหน้า เ้าจะต้องรับผิดชอบปากท้อง แต่ข้าก็ไม่อยากจะสงสัยและวิตกกังวลทั้งวันว่าจะมีคนวางยาพิษหรือไม่” จ้าวจื่อซินเดินตามมาด้านหลัง ครั้นสังเกตเห็นว่าสายตาของมู่หรงฉิงเฉียบแหลมมาก นางเพิ่งเข้ามาในจวนเฉินได้เพียงไม่กี่วันแต่กลับใส่ใจเื่สาวใช้มาก
จ้าวจื่อซินเดินไปหาสาวใช้ทั้งสอง จากนั้นวางดาบลงบนโต๊ะเล็กๆ ด้านข้าง "ชุนรุ่ย ชิวเหอ จากนี้ไปฮูหยินน้อยจะกลายเป็เ้านายของพวกเ้า วันข้างหน้าพวกเ้าไม่เชื่อฟังข้าก็ได้ แต่พวกเ้าต้องเชื่อฟังฮูหยินน้อย"
ทันทีที่คำพูดของจ้าวจื่อซินสิ้นสุดลง ชุนรุ่ยและชิวเหอถึงกับเลื่อนสายตาไปมองจ้าวจื่อซินด้วยความประหลาดใจราวกับว่าพวกนางไม่เชื่อว่าคำเ่าั้จะออกมาจากปากของเขา "คุณช…"
"การแยกแยะระหว่างส่วนรวมกับส่วนตัวนั้นเป็หลักการของข้าเสมอ แม้ความสามารถของเ้าจะไม่เข้าตา แต่ฝีมือการทำอาหารของเ้าก็ถือว่าใช้ได้ ั้แ่นี้ต่อไปสาวใช้สองคนนี้จะเป็คนของเ้า เ้า้าหรือไม่ เ้าตัดสินใจด้วยตัวเองก็แล้วกัน ถ้าเ้าไม่ชอบ ดาบก็อยู่ตรงนี้แล้ว ให้พวกนางปาดคอโดยตรง สิ่งที่ข้า จ้าวจื่อซินส่งออกไปย่อมไม่เคยเอากลับคืน"
จ้าวจื่อซินยกมือขึ้นแล้วเหวี่ยงดาบเบาๆ ก่อนนั่งบนเก้าอี้อย่างสบายๆ ด้วยท่าทีไม่แยแสต่อชีวิตและความตายของสาวใช้ทั้งสองคน
น้ำเสียงของจ้าวจื่อซินมีแต่ความผ่อนคลาย แต่ความจริงจังในสายตาของเขาได้บ่งชี้ให้เห็นว่าเขาไม่ได้พูดเล่น หลังจากชุนรุ่ยและชิวเหอมองหน้ากัน ในสายตาของพวกนางจึงปรากฏความตื่นตระหนกอยู่หลายส่วน พวกนางเชื่ออย่างยิ่งว่า หากฮูหยินน้อยไม่้าพวกนาง สิ่งที่รอพวกนางอยู่ถัดจากนี้คงมีแต่ความตายเท่านั้น
ความคิดข้างต้นทำให้ชุนรุ่ยและชิวเหอทิ้งตัวลงคุกเข่าต่อหน้ามู่หรงฉิง "บ่าวขอสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อฮูหยินน้อย ได้โปรดให้บ่าวมีชีวิตอยู่ต่อด้วย"
แต่เดิมมู่หรงฉิงไม่สามารถพูดแทรกได้เลย มิหนำซ้ำยิ่งเห็นชุนรุ่ยและชิวเหอคุกเข่าลงด้วยความตื่นตระหนก คิ้วของนางก็กระตุกอย่างมิอาจห้ามได้ ในใจของนางมีความ้าจริงๆ แต่เป็ความ้าที่จะสาวเท้าไปข้างหน้าและต่อยจ้าวจื่อซินสักสองที
ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงมักจะคิดว่าตัวเองถูกต้องอยู่เสมอ? เขา้าส่งคนของเขาให้มาอยู่กับนาง แต่ยังทำเป็พูดอย่างเด็ดเดี่ยวและองอาจผึ่งผาย ซ้ำร้ายยังใช้วิธีข่มขู่ ถ้านางไม่ยอมรับชุนรุ่ยและชิวเหอจริงๆ จากท่าทีของจ้าวจื่อซินที่เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม คงไม่อาจรับรองได้ว่าอีกสักพักสาวใช้ทั้งสองจะต้องตายในที่ตรงนี้หรือไม่
“น้องหญิง เกิดอะไรขึ้นหรือ?” เฉินเทียนหยูเอ่ยถามอย่างจริงใจทันทีที่เห็นมู่หรงฉิงยกมือนวดระหว่างคิ้ว “ถ้าน้องหญิงไม่ชอบสาวใช้สองคนนี้ ข้าช่วยน้องหญิงปลูกพวกนางดีหรือไม่?"
"หลังจากปลูกล่ะ?" ทำไมเฉินเทียนหยูถึงคิดแต่จะปลูกคนอยู่เสมอ?
“ปลูกพวกนางไว้ใต้ต้นไม้ของข้า จากนั้นต้นกล้าของข้าก็จะสูงและแข็งแรงเหมือนต้นไม้ของจ้าวจื่อซิน” เฉินเทียนหยูไม่ได้ซ่อนความสุขบนใบหน้าของเขา เขาถกแขนเสื้อขึ้นและเดินไปข้างหน้าหมายจะลากสาวใช้ทั้งสอง
ก่อนที่ชุนรุ่ยและชิวเหอจะมาที่นี่ พวกนางได้ยินคำบอกเล่าจากชิงยวี่ถึงความน่ากลัวของเฉินเทียนหยู ในเวลานั้นทั้งคู่คิดเพียงว่า ชิงยวี่กำลังพูดเื่ไร้สาระในโลก จะมีใครโง่ถึงเพียงนั้นเล่า? แต่เมื่อเห็นว่าเฉินเทียนหยูถกแขนเสื้อขึ้นมาจริงๆ และกำลังจะลากพวกนางออกไปปลูก ทั้งคู่ถึงกับหวั่นกลัวกึ่งตื่นตระหนก ก่อนรีบโขกศีรษะให้มู่หรงฉิง "บ่าวจะจงรักภักดีต่อฮูหยินน้อยทั้งชีวิตที่เหลือของบ่าว เเม้ร่างกายจะแหลกลาญ บ่าวก็จะไม่ทรยศต่อฮูหยินน้อย ถ้าบ่าวฝ่าฝืนจะต้องถูก์ลงโทษอย่างแน่นอน"
เฉินเทียนหยูกำลังลากชุนรุ่ยออกไปข้างนอก จังหวะนั้นมู่หรงฉิงจึงรีบก้าวไปขวางและดึงเขากลับมา "ท่านพี่อยากกินขนมอบไส้ผลไม้ไม่ใช่หรือ? ท่านพี่ไม่อยากดูว่าฉิงเอ๋อร์ทำอย่างไรหรือ?"
ได้ฟังมู่หรงฉิงพูดถึงของกิน เฉินเทียนหยูยังมีความคิดที่จะปลูกสาวใช้ทั้งสองได้อย่างไร เขาถูกมู่หรงฉิงลากไปยังด้านหน้าโต๊ะ
ชุนรุ่ยและชิวเหอสบตากันจึงได้เห็นความตื่นตระหนกและความไม่สบายใจจากดวงตาของอีกฝ่าย ฮูหยินน้อยคนนี้หมายความว่าอย่างไรหรือ? ฮูหยินน้อย้าพวกนางหรือไม่้าพวกนาง?
สายตาขอความช่วยเหลือจึงถูกส่งไปทางจ้าวจื่อซิน ทว่าหลังจากเห็นจ้าวจื่อซินเริ่มจับดาบบนโต๊ะ ใบหน้าของพวกนางถึงกับปราศจากสีเืทันทีทันใด และมันก็ปรากฏพร้อมกับความโศกเศร้าซึ่งพวยพุ่งในใจ
“ไม่ถึงกับต้องให้ร่างกายแหลกลาญ พวกเ้าแค่มาช่วยข้าปอกเปลือกผลไม้เหล่านี้ก็พอแล้ว”
ในจังหวะที่จ้าวจื่อซินวางมือลงบนดาบ จู่ๆ เสียงอันอ่อนหวานของมู่หรงฉิงก็ทำให้ชุนรุ่ยและชิวเหอรู้สึกเหมือนได้รับการอภัยโทษ ใบหน้าของทั้งคู่เปี่ยมไปด้วยความสุขเหลือล้น จากนั้นจึงพยายามปรับหัวใจที่ยังไม่สงบของตนเอง ก่อนจะลุกขึ้นในทันที “บ่าวรับทราบ”
มือของจ้าวจื่อซินยังวางอยู่บนด้ามดาบพลางลูบมันเบาๆ ไม่นานนักรอยยิ้มขี้เล่นก็ปรากฏบนมุมปากของเขา
สาวใช้ในเรือนม่อเหอทั้งหมดถูกย้ายไปที่ห้องเก็บฟืนเพื่อ ‘ดูแล’ ยวี้เอ๋อร์ ดังนั้นห้องครัวเล็กจึงมีแต่คนคุ้นเคย ถึงกระนั้นปี้เอ๋อร์ก็ยังรู้สึกวิตกกังวล นางจึงไม่ได้มีส่วนร่วมในการทำขนมอบไส้ผลไม้ แต่คอยเฝ้าอยู่ในที่มืดเพื่อป้องกันไม่ให้ใครคอยจับตาดู
“ว้าว! น้องหญิง น้องหญิงเก่งจริงๆ”
เฉินเทียนหยูร้องะโก่อนเดินไปมารอบๆ มู่หรงฉิง เขาถูมือทั้งสองข้างบ่อยครั้งเห็นได้ชัดว่าอยากที่จะลองทำ แต่เขารู้ว่าตนไม่มีความสามารถจึงไม่กล้าที่จะทำ
เห็นมู่หรงฉิงหั่นแตงโมจาก้าและปอกเปลือกบางๆ ออก ให้เหลือเพียงเนื้อแตงโมสีแดงสด จากนั้นจึงใช้มีดเล็กค่อยๆ แกะสลักแตงโม หลังจากนางวางมีดลงก็ปรากฏหงส์เพลิงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า มิหนำซ้ำรูปร่างของมันยามกระพือปีกยังเสมือนจริงจนน่าทึ่ง
ชุนรุ่ยและชิวเหอเบิกตากว้างมองหงส์เพลิงบนโต๊ะอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง ทั้งยังรู้สึกชื่นชมเป็อย่างมาก
กล่าวกันว่า ในครัวหลวงจะมีพ่อครัวฝีมือประณีตเหนือธรรมชาติ อาหารที่เขาทำจึงมีความวิจิตรงดงามทำให้ผู้คนเห็นแล้วเสียดายที่จะกินเข้าไป ทั้งสองไม่รู้ว่าอาหารในวังหลวงจะมีรสชาติและหน้าตาเป็อย่างไร แต่หงส์เพลิงที่ได้เห็นส่งผลให้พวกนางตื่นเต้นกระตือรือร้น พวกนางอยากจะก้าวเท้าไปข้างหน้าและมองในระยะประชิด
“พวกเ้าไปเอาน้ำแข็งมาแช่หงส์เพลิงเถอะ ตอนแช่ก็จงระมัดระวังด้วย หลังจากกินของว่างเสร็จแล้ว พวกเราค่อยมากินแตงโมเพื่อดับกระหายกัน” มู่หรงฉิงพูดเบาๆ พลางมองสีหน้าตกตะลึงของสาวใช้ทั้งสอง
หลังจากที่มู่หรงฉิงพูดจบ ชุนรุ่ยต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะกลับมารู้สึกตัวอีกหน ในสายตาของนางเจือความประหลาดใจระคนชื่นชม นางพยักหน้าอย่างหนัก "รับทราบ บ่าวจะไปนำมาเดี๋ยวนี้"
“น้องหญิง น้องหญิงเก่งมาก หงส์ตัวนี้แกะสลักได้อย่างสวยงามมาก ข้าเสียดายที่จะกินมัน” ท่าทางของเฉินเทียนหยูดูตื่นเต้นราวกับว่าเขาเป็คนแกะสลักหงส์เพลิงด้วยตัวเอง ฝ่ายมู่หรงฉิงกำลังหยิบส้มฤดูร้อนออกมา นางหั่นมันเป็ชิ้นๆ
มีรอยยิ้มบางๆ อยู่บนใบหน้ามู่หรงฉิงขณะที่นางลอกเปลือกส้มฤดูร้อนออกอย่างระมัดระวัง "และนี่ท่านแม่ของข้าเป็คนสอนข้าด้วยเช่นกัน"
เมื่อคิดถึงท่านแม่ของนาง มู่หรงฉิงก็เศร้าใจอย่างเหลือทน ท่านแม่บอกว่าสำหรับผู้หญิงแล้ว การเรียนรู้ทักษะการทำอาหารจนมีฝีมือดีนั้นเป็ความสุขอย่างหนึ่ง
ในเวลานั้นมู่หรงฉิงยังถามท่านแม่อย่างโง่เขลาว่า ทำไมถึงเป็ความสุขล่ะ?
"เมื่อคนที่เ้ารักได้ทานอาหารที่เ้าทำ นั่นเป็ความสุขอย่างหนึ่ง"
นางได้แต่ฟังคำตอบของท่านแม่ แต่กลับไม่เข้าใจความหมายของมัน จวบจนถึงตอนนี้มู่หรงฉิงยังไม่เข้าใจว่าท่านแม่พูดถึงใคร?
ปี้เอ๋อร์เคยบอกว่า คนที่ท่านแม่รักเป็คนอื่น และความประสงค์ในการเรียนทักษะการทำอาหารของท่านแม่ก็เพื่อคนนั้นด้วยเช่นกัน
เพียงแต่ท่านแม่... อาหารที่ท่านทำ แท้ที่จริงแล้วท่าน้าทำให้ใครกินกันแน่?
ครุ่นคิดบางอย่างในใจโดยไม่ได้ใส่ใจกับมีดในมือ นางจึงเผลอถูกมีดบาดโดยไม่ตั้งใจ
“อ๊ะ” เปล่งเสียงใเบาๆ แต่ไม่ใช่เพราะนิ้วถูกมีดบาด แต่ใเนื่องจากเฉินเทียนหยูดึงนิ้วของนางเข้าปากและดูดเบาๆ
“ทำไมน้องหญิงถึงไม่ระมัดระวังเช่นนี้? เห็นหรือไม่เืออกแล้ว” เฉินเทียนหยูไม่เคยละสายตาจากมือทั้งสองของนางราวกับว่ามือของนางจะสามารถเล่นกล สิ่งธรรมดาเ่าั้จึงกลายเป็สิ่งสวยงามได้มากเมื่อผ่านมือของนาง
ในจังหวะที่กำลังชื่นชมกับความมหัศจรรย์ของมู่หรงฉิง เขาก็เห็นมีดเล่มนั้นเฉือนบนนิ้วมือของนาง ด้วยความวิตกกังวล เขาจึงดึงนิ้วของนางเข้ามาในปากของตนโดยไม่คิดอะไร
“ท่านแม่บอกว่า ถ้าเจ็บจะต้องเป่า หลังจากเป่าก็ไม่เจ็บแล้ว” หลังจากดูดนิ้วไปชั่วครู่หนึ่ง กระทั่งเห็นว่าไม่มีเืซึมออกมาแล้ว เฉินเทียนหยูจึงเป่านิ้วขาวเรียวยาวประดุจหยกเบาๆ
ใบหน้าของเฉินเทียนหยูบริสุทธิ์และปราศจากความคิดร้าย ด้วยสีหน้าที่จริงจังและใจจดใจจ่อของเขา ทำให้หัวใจของมู่หรงฉิงถึงกับสั่นไหวเมื่อมองดู และทันใดนั้นมู่หรงฉิงรู้สึกราวกับมีบางอย่างกำลังสั่นสะท้านและละลายในหัวใจของนาง เป็ความอบอุ่นที่สุดจะอธิบายเป็คำพูดออกมาได้ มันค่อยๆ เติมเต็มห้องหัวใจ
เฉินเทียนหยูเป่าแผลบนนิ้วของมู่หรงฉิงอย่างจริงจัง และมู่หรงฉิงก็เอาแต่มองหน้าเฉินเทียนหยู เดิมทีจ้าวจื่อซินนั่งอยู่ด้านข้างเพื่อรอกินขนม หลังจากเห็นฉากนั้นหัวใจของเขาจึงรู้สึกคล้ายถูกกระแทกอย่างรุนแรง คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันในทันที
"เ้านาย"
จังหวะที่จ้าวจื่อซินลุกขึ้นยืน เสียงของชิงยวี่กลับดังแทรกมาจากประตูอย่างประจวบเหมาะ ฝีเท้าของเขาจึงหยุดชะงักชั่วคราว ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงก้าวไปข้างหน้าเพื่อดึงเฉินเทียนหยูออกไปด้านข้าง “ผู้น้อยมีงานจะต้องทำ คุณชายรองจะติดตามข้าน้อยไปดูจุ๊กกรู๊และกินผลไม้? หรือจะถูกรมควันอยู่ที่นี่?”
เฉินเทียนหยูถูกจ้าวจื่อซินดึงรั้งโดยไม่ทันได้ตั้งตัว แต่ขณะที่เฉินเทียนหยูกำลังจะโมโหใส่ เขาก็ได้ยินคำพูดของจ้าวจื่อซิน เ้าตัวถึงพยักหน้าอย่างหนัก "ข้าไม่อยากรมควันที่นี่ ข้าจะไปดูจุ๊กกรู๊ ข้าจะกินผลไม้"
พูดจบ จ้าวจื่อซินยังไม่ได้จากไปแต่เฉินเทียนหยูะโออกจากห้องครัวเล็กไปเสียก่อนแล้ว ทั้งยังดึงมือชิงยวี่ให้เดินตามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างมีความสุข
“ทำเสร็จแล้วให้คนไปเรียกข้าด้วย อย่าปล่อยให้ข้าต้องรอนานเกินไปล่ะ” จ้าวจื่อซินพูดด้วยสีหน้าเ็า มู่หรงฉิงยังไม่ทันได้ตอบสนอง จ้าวจื่อซินก็สาวเท้ายาวๆ ออกจากห้องครัวเล็ก
“เ้าคนคิดว่าตัวเองถูกอยู่ตลอดเวลา” หลังจากสามคนจากไปไม่เห็นแม้กระทั่งเงา มู่หรงฉิงจึงขบฟันแน่นพร้อมก่นด่า
ชุนรุ่ยและชิวเหอยืนตัวสั่นอยู่ด้านข้างโดยไม่กล้าเปล่งเสียงออกมา เ้านายคนปัจจุบันท่าทางเป็คนดีมาก แต่อดีตเ้านายดูน่าชิงชังมาก...
ยกโทษให้พวกนางด้วยที่เปลี่ยนข้างและยึดมู่หรงฉิงเป็ที่พึ่งได้เร็วถึงเพียงนี้ สาเหตุเป็เพราะว่าจ้าวจื่อซินนั้นเ็าเกินไปจริงๆ...
ในเรือนหยางเซิง เฉินเทียนหยูแทะผลไม้ในมือข้างหนึ่ง และใช้มืออีกข้างหนึ่งรองศีรษะพลางมองดูท้องฟ้าอย่างเบื่อหน่าย
จ้าวจื่อซินนั่งบนเก้าอี้แต่ใบหน้าของเขาเ็าดุจน้ำแข็ง ชิงยวี่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยความเคารพนอบน้อมแต่กลับปรากฏสีหน้าที่เรียกว่าจนปัญญา
“ก็แค่ตัดแขนของหัวหน้าของพวกเขาไปข้างเดียวก็เท่านั้น ไม่ได้ฆ่าหัวหน้าของพวกเขาเสียหน่อย แต่ทำไมพวกเขาถึงสะกดรอยตามไม่ยอมปล่อย?”
ชิงยวี่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างจนใจ “เ้านาย ก๊กชิงสุ่ยมีชื่อเสียงในด้านความสามัคคี และพวกเขาก็นับถือหัวหน้าของพวกเขาเป็อย่างมากด้วย เ้านายเล่นตัดแขนของหัวหน้าของพวกเขาเช่นนั้น ผู้ติดตามของเขาจะไม่ติดตามท่านอย่างสุดความสามารถได้อย่างไร?"
“ก่อนการประลองก็พูดอย่างกระจ่างแล้วว่า ผลที่จะตามมาทั้งหมดต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง ทักษะการต่อสู้ของเขาสู้คนไม่ได้เอง และตอนนี้เขาก็ถูกข้าตัดแขน เสียหน้าแล้วจึงคิดจะต่อสู้กันเป็ก๊กกระนั้นหรือ?” ถ้อยคำเย้ยหยันเต็มไปด้วยความเ็า ทว่าความคิดของจ้าวจื่อซินกลับไม่ได้อยู่ที่กลุ่มชิงสุ่ยอย่างสมบูรณ์ สายตาของเขาทอดมองไปทางเฉินเทียนหยูผู้ซึ่งกำลังแทะผลไม้อย่างเบื่อหน่าย ทันใดนั้นฉากในครัวเล็กเมื่อครู่ก่อนก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาเป็สาเหตุให้ในใจเกิดความหงุดหงิดอย่างพูดไม่ถูก
"เ้านาย ท่านจะแก้ปัญหานี้อย่างไร?" สายตาแห่งความจนปัญญาเลื่อนมองไปทางจ้าวจื่อซินอีกหน ชิงยวี่หวังเป็อย่างยิ่งว่าจะได้กลับไปที่หมู่บ้านบนเนินเขา เพราะเขานึกอยากจะกอดฮูหยินและร้องไห้อย่างหนัก
ฮูหยิน ทำไมลูกชายของท่านถึงชอบที่จะก่อเื่ที่ไม่สมควรด้วย? เื่ในอดีตนับว่าไม่เป็ไร แต่เื่ที่เขาก่อในคราวนี้ผู้น้อยแก้ปัญหาไม่ได้จริงๆ
“ข้าไม่สนใจ เ้าไปคิดเอาเองก็แล้วกัน” หลังจากพูดประโยคนั้นจบ จ้าวจื่อซินก็ลุกขึ้นและเดินไปหาเฉินเทียนหยู สังเกตมองอีกฝ่ายั้แ่ศีรษะจรดปลายเท้า จากนั้นเขาได้เอ่ยคำถามที่เกือบทำให้ชิงยวี่ถึงกับจะอาเจียนออกมาเป็เืหลังจากได้ยิน
"เฉินเทียนหยู ข้าหน้าตาดีหรือว่าเ้าหน้าตาดี?"
เฉินเทียนหยูกลืนเนื้อผลไม้ชิ้นสุดท้ายและกะพริบตาปริบๆ มองจ้าวจื่อซินด้วยแววตาที่ใสสะอาด "น้องหญิงบอกว่าข้าหน้าตาดี"
"เฉินเทียนหยู ข้าหน้าตาดีกว่าเ้า ผู้หญิงคนนั้นมีตาแต่หามีแววไม่"
ได้ฟังเสียงอันเ็าซึ่งเจือความไม่พอใจของจ้าวจื่อซิน ชิงยวี่ยิ่งจนปัญญาเสียยิ่งกว่าเดิม เขารู้สึกราวกับจะหลั่งน้ำตาออกมาเป็พันสาย เขาเดินไปด้านข้างและข่วนผนังอย่างเงียบๆ
เ้านาย ท่านน่าชิงชังเกินไปแล้ว ท่านหน้าตาดี นั่นเป็สิ่งที่ไม่ต้องสงสัยอยู่แล้ว แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญไม่ใช่หรือ? ประเด็นสำคัญคือ... ตอนนี้จะจัดการกับก๊กชิงสุ่ยอย่างไร...
อ๊ะ... ฮูหยิน... ข้าอยากจะกลับไปที่หมู่บ้านบนเนินเขา... ข้าอยากจะกลับไปที่หมู่บ้านบนเนินเขา...