หูเฉวียนฝูถูกนางถามจนคิ้วขมวด จึงหันศีรษะไปมองหวังซื่อ
หวังซื่อจัดการสีหน้านิดหน่อย แล้วมองไปที่สายตาของอู้จูด้วยความซับซ้อนเล็กน้อย
หูอู้จูหลานสาวคนโตเป็หลานคนแรก ตอนเป็เด็กจึงได้รับความรักใคร่เอ็นดูอยู่มากอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อก่อนแม้ความเป็อยู่ที่บ้านจะอัตคัดขัดสน แต่ก็ไม่เคยปฏิบัติต่อนางอย่างไม่ยุติธรรม แค่เหลียงซื่อมักจะถือหางให้ท้ายั้แ่เด็กอยู่บ้าง มักชอบคิดแต่ผลประโยชน์ให้ตนเอง เข้ากันไม่ได้กับบุตรของครอบครัวหูฉางกุ้ย เป็ผู้ที่มีนิสัยชอบคิดเล็กคิดน้อย
“ที่บ้านพึ่งพาการขายเห็ดและเลี้ยงกระต่ายหาเงินเล็กน้อยเท่านั้น ข้ามปีไปแล้ว บ้านหลังนี้กับบ้านของอารองเ้าจะต้องซ่อมใหม่หนึ่งรอบ เมื่อถึงเวลานั้นก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องใช้จ่ายเงินไม่น้อย” หวังซื่อครุ่นคิดแล้วกล่าวช้าๆ
“ท่านย่า ท่านดูนะเ้าคะ ขณะนี้ต้าเฉิงยังไม่ได้ทำงานอะไรเป็จริงเป็จัง ที่นาของครอบครัวเขาก็น้อย ตอนนี้ว่างอย่างมาก รายได้ของที่บ้านก็ยกให้แม่สามีเก็บไว้ทั้งหมด เงินติดตัวข้ามีไม่เท่าไรเอง” อู้จูกลอกตาคิดคำนวณเพื่อผลประโยชน์ให้ตนเองขึ้น ขมวดคิ้วบางระบายความทุกข์ ทันทีหลังจากนั้นก็กล่าวหยั่งเชิง “ถ้า... ให้ต้าเฉิงเรียนรู้การเลี้ยงกระต่ายกับท่านพ่อเสียหน่อย ได้รับประสบการณ์ ต่อไปข้าอยู่บ้านก็สามารถช่วยเลี้ยงได้อีก ดีเลวอย่างไรก็สามารถรวบรวมเงินส่วนตัวเล็กน้อยได้บ้าง ได้หรือไม่เ้าคะ?”
“ใช่แล้ว ท่านแม่ อู้จูใช้ชีวิตที่บ้านสกุลหวงได้ไม่ค่อยดีนัก สามพี่น้องสกุลหวงต่างไม่ได้แยกบ้านกัน จึงเบียดเสียดอยู่ด้วยกัน แม่สามีของนางก็ลำเอียงไปทางบุตรชายคนเล็ก ต้าเฉิงผู้นี้เป็บุตรคนรองจึงถูกประกบอยู่ตรงกลาง แล้วยังไม่สามารถรับ่ต่อในการทำเครื่องปรุงรสของครอบครัวเขาได้อีกด้วย ต่อไปความเป็อยู่ของอู้จูจะผ่านไปได้อย่างไรเ้าคะ!” เหลียงซื่อควักผ้าเช็ดหน้าออกมาจากหน้าอก เจตนาแสร้งเช็ดหางตาเพื่อซับน้ำตา “แบ่งกระต่ายครึ่งหนึ่งจากบ้านหูฉางกุ้ยมา แล้วให้หูฉางหลินนำพาต้าเฉิงเลี้ยงด้วยกัน ต่อไปเมื่อกระต่ายมีมากขึ้น ค่อยแบ่งให้พวกนางเลี้ยงอีก เช่นนี้คู่สามีภรรยาก็สามารถเก็บสะสมเงินตราได้บ้าง ครั้นถึงเวลาแยกบ้านจะได้ใช้ชีวิตสบายขึ้นหน่อยนะเ้าคะ”
หวังซื่อยิ่งฟังใบหน้ายิ่งจมดิ่ง สายตาเ็ามองมายังสองแม่ลูกผู้นี้
“ลูกสะใภ้คนโต เมื่อก่อนเ้าไม่ได้กล่าวเช่นนี้ ก่อนที่ยังไม่แต่งงาน เ้าพึงพอใจต่อครอบครัวเขาอย่างมากเหลือล้น ที่หมู่บ้านต้าวันผู้คนสกุลหวงก็นับเป็ครอบครัวร่ำรวยเงินทอง บ้านอิฐสีฟ้ามุงหลังคากระเบื้องยังใหญ่โตกว่าหัวหน้าหมู่บ้านของพวกเราเลย นาข้าวดีมีมากกว่าสิบหมู่ สกุลหูของเรามีกี่หมู่เอง? หืม? ตอนนี้พวกเ้าไม่กระดากใจที่กล่าวสิ่งเหล่านี้ออกมาเชียวหรือ” หวังซื่อสายตาอึมครึม จ้องมองเหลียงซื่อกับอู้จูด้วยความไม่พอใจ กล่าวเสียงเ็าขึ้นอีก “อู้จู เ้าเป็ลูกสะใภ้ใหม่ก็ช่วยทำงานอยู่บ้านดีๆ อย่าเอาแต่ว่างงานก็วิ่งกลับมาบ้านท่านพ่อท่านแม่ของเ้า แม้แม่สามีผู้นั้นของเ้าจะเป็คนมีเหตุผล เ้าก็ไม่สามารถเอาแต่ใจและโกรธสะบัดสะบิ้งได้”
เมื่อเหลียงซื่อเห็นท่าทางจริงจังของหวังซื่อที่พูดทำนองจิกกัดตนเองแล้ว ทำให้ร่างกายเหมือนจะหดเล็กลง แล้วเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่านาลุ่มบ้านตนเองมีแค่สามหมู่ ธัญพืชที่เพาะปลูกทุกปีแทบจะแบ่งทั้งปีสำหรับหนึ่งครอบครัวไม่พอ เงินที่หามาได้ในบ้านเป็ธรรมดาที่อยากจะซื้อนาดีสองสามหมู่ไว้ ส่วนนางกลับถูกอู้จูปลุกปั่นเช่นนี้ นางกลับคิดจะเอาลู่ทางการหาเงินของครอบครัวตนเองแพร่ขยายออกไปข้างนอกแล้ว ไอ๊หยา ไม่ใช่ว่านางทำเื่โง่เขลาไปแล้วหรือ บุตรสาวที่แต่งออกก็เหมือนเป็น้ำที่สาดออกไป จะกล่าวอย่างไรบุตรสาวก็ล้วนเป็คนของผู้อื่นแล้ว อดไม่ได้ที่เหลียงซื่อจะมองอู้จูอย่างไม่พอใจแวบหนึ่ง
“ท่านย่า ข้ากลับมาบ้านทั้งวันเสียที่ไหนเล่า อีกอย่างหนึ่ง หรือข้าแต่งออกไปแล้ว แม้แต่บ้านก็กลับมาไม่ได้เ้าคะ?” อู้จูมุ่ยปากขึ้นอย่างไม่ยินดี แต่ไหนแต่ไรมาท่านย่าก็ลำเอียงอยู่แล้ว ที่บ้านมีช่องทางหารายได้ ไม่นึกเลยว่าจะไม่ย่อมช่วยนางเสียหน่อย
“เด็กสาวที่แต่งออกก็เหมือนเป็น้ำที่สาดออกไป เ้าเห็นว่าลูกสะใภ้ครอบครัวผู้ใดว่างงานแล้วกลับมาบ้านทั้งวันกัน พี่สะใภ้และน้องสะใภ้เ้าจะไม่พอใจเอาได้ เอาล่ะ หากไม่มีธุระอันใดอีกก็รีบกลับไปเถิด สกุลหวงมีที่มีนามีการงานทำ ไม่จำเป็ต้องให้ลูกสะใภ้ใหม่เช่นเ้าต้องทุกข์ใจ กลับไปเชื่อฟังแม่สามีเ้าดีๆ อย่าหลบหน้าี้เีไม่ทำงาน” หวังซื่อโบกไม้โบกมือมาทางนางอย่างว้าวุ่นใจ
เดิมทีหวังซื่อดีใจอยู่มากที่เห็นอู้จูกลับมา ยังเรียกสองพี่น้องเจินจูกับผิงอันมาเป็พิเศษ ผู้ใดจะรู้ว่ากำลังวางแผนสอบถามวิธีหาเงินของที่บ้านอยู่ นี่เพิ่งจะผ่านมานานเท่าไรเอง หนึ่งคนสองคนล้วนเป็เช่นนี้ ทำให้นางว้าวุ่นใจไม่หยุดเลยจริงๆ “ท่านย่า ข้าเพิ่งกลับมาถึงบ้านไม่นานเอง ทำไมท่านก็ไล่ให้ไปแล้วล่ะเ้าคะ ท่านไม่ยินดีให้ต้าเฉิงเรียนรู้การเลี้ยงกระต่ายก็ช่างเถอะ ข้าก็ไม่หน้าด้านอยากเรียนอีก” หูอู้จูเบะปากกล่าวกระซิบกระซาบ อารมณ์กรุ่นโกรธขึ้นมา
“ต้าเฉิงเป็คนมีความรู้ที่เคยเรียนโรงเรียนส่วนตัวมาก่อน เ้าเคยปรึกษาหารือกับเขาแล้วหรือ ถึงได้วิ่งเนิบๆ กลับมา ครั้งก่อนไม่ใช่กล่าวว่าจะเข้าเมืองไปเสาะหางานทำหรือ? ทำไม ไม่สำเร็จหรือ?” หวังซื่อกดอารมณ์ร้อนลงไปแล้วถาม
“เื่นั้น ยังไม่มีข่าวคราวที่แน่นอน บอกว่าผ่านสิ้นปีไปค่อยว่ากัน” งานนี้เป็เส้นสายที่พ่อสามีฝากคนช่วยเหลือ ยังไม่สามารถกำหนดแน่ชัดได้
“เช่นนั้นเ้ารอคอยก็พอ งานของต้าเฉิงครอบครัวเขาจะเป็ทุกข์ใจเอง เ้าอย่าเอาแต่คิดเื่อื่น เ้าแต่งออกไปจะหนึ่งปีแล้ว ทำไมยังไม่มีข่าวคราวตั้งครรภ์เลยเล่า?” หวังซื่อมองไปที่ท้องของนาง
อู้จูลูบท้องอย่างไม่สบายใจ กล่าวด้วยความโมโห “แม่สามีกล่าวว่า ข้ายังเด็กนัก จึงไม่รีบร้อนเ้าค่ะ ผ่านไปอีกสองปีค่อยตั้งครรภ์ก็ยังได้”
“เหลวไหล! ผ่านปีไปเ้าก็สิบเจ็ดแล้ว เ้าดูสิว่าลูกสะใภ้ใหม่ครอบครัวผู้ใดที่อายุเช่นนี้แล้วไม่คลอดลูกบ้าง เ้ามีเวลาว่างก็ไปให้ท่านหมอช่วยตรวจดูสักนิด ดื่มยาบำรุงกำลังหน่อย หากยืดเวลาออกไปสามปีห้าปีค่อยคลอดลูก หยดน้ำลายของผู้อื่นล้วนจะท่วมตัวเ้าได้” หวังซื่อตักเตือนด้วยความเป็ห่วง
เจินจูนั่งฟังอย่างเงียบๆ ไม่เปล่งเสียงมาโดยตลอด ทันใดนั้นกลับถูกประเด็นหัวข้อนี้ทำให้ตื่นตระหนกจนเส้นดำเต็มศีรษะ
นี่มันประเพณีอะไรกันเนี่ย อายุสิบห้าสิบหกยังไม่แต่งงานไม่ได้ อายุสิบเจ็ดสิบแปดแล้วยังไม่คลอดบุตรไม่ได้ หากคลอดได้บุตรสาวก็ต้องเตรียมตั้งครรภ์ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้เด็กผู้ชายจึงจะพอ
พระเ้าช่วย เดิมทีนางยังรู้สึกว่าเื่นี้ห่างไกลจากตัวนางนัก แต่ปีนี้ผ่านไป นางก็นับว่าอายุสิบเอ็ด ซึ่งห่างจากอายุสิบห้าแค่สี่ปีเอง เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกอยากจะเป็บ้าอยู่แล้ว
“เฮ้อ... ข้าทราบแล้วเ้าค่ะ” เสียงกลัดกลุ้มตอบรับด้วยความไม่เต็มใจ ปัญหาใหญ่ที่สุดของภรรยาหมาดๆ ที่เพิ่งแต่งงาน ก็คือต้องมีลูกชายสืบสกุล ฟู่เหรินหมู่บ้านเดียวกันที่แต่งงานห่างจากนางไม่นาน ล้วนตั้งครรภ์กันแล้ว ในใจอู้จูก็มีความกดดันอยู่ไม่น้อย
“เอาล่ะ รีบกลับไปเถิด ลูกสะใภ้คนโต เ้าจับไก่สักตัวให้อู้จูเอากลับไปด้วย” หวังซื่อกล่าวสั่งงาน
“เอ๋… ท่านแม่ ที่บ้านมีไก่แค่สิบสองตัว ครั้งก่อนเชือดไปแล้วหนึ่งตัว ตอนนี้จะให้อู้จูไปอีกหนึ่งตัว ก็เหลือเพียงสิบตัวเท่านั้นแล้ว ตอนข้ามปียังต้องฉลองปีใหม่อีก ถึงเวลาไก่ที่สามารถออกไข่ได้ก็ไม่มีแล้วนะเ้าคะ” เหลียงซื่อคำนวณอย่างละเอียด ไข่ไก่เหล่านี้ล้วนใช้บำรุงร่างกายให้นาง ฉลองปีใหม่อย่างน้อยต้องเชือดไก่ห้าหกตัว หากเลี้ยงใหม่ล่ะก็ ต้องเปลืองเวลาอีกระยะหนึ่ง เช่นนั้นก็ไม่ใช่หมายความว่าไข่ไก่ของนางจะไม่มีแล้วหรือ
“ท่านแม่ ทำไมท่านขี้งกเช่นนี้เ้าคะ ไก่ไม่มีแล้วก็ซื้อลูกไก่มาเลี้ยงอีกได้นี่” อู้จูออดอ้อนด้วยอารมณ์ตำหนิแล้วดึงมือเหลียงซื่อมากุมไว้
“มิใช่ว่าแม่ขี้งก นี่เป็น้องชายเ้าต้องทาน เ้าดู ตอนนี้ก็โตเช่นนี้แล้ว ไม่เสริมสร้างบำรุงให้มากหน่อยจะได้อย่างไร” เหลียงซื่อลูบท้องที่นูนขึ้นมาแล้วกล่าวอย่างมีเหตุผล
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเป็น้องชาย? หากว่าเป็น้องสาวเล่า?” อู้จูอิจฉาท้องของเหลียงซื่อที่นูนขึ้นมาอย่างมาก เอื้อมมือออกไปลูบด้วยความระมัดระวัง
“เพียะๆ” มือของอู้จูถูกเหลียงซื่อตีอย่างหนักหน่วงสองที “ยัยเด็กน่าตายนี่ ทำไมกล่าวเช่นนี้เล่า ในนี้ต้องเป็น้องชายแน่ๆ เ้าไม่เห็นท้องที่เรียบแหลมหรืออย่างไร”
คำพูดของคนทั่วไปโดยไม่เป็ลายลักษณ์อักษร ว่ากันว่าท้องเรียบแหลมจะคลอดลูกชาย ท้องกลมจะคลอดลูกสาว
“นั่นไม่ถูกต้องนัก ครั้งก่อนท่านมิใช่กล่าวว่า ตอนตั้งท้องชุ่ยจู ท้องก็เรียบแหลมเหมือนกันหรือเ้าคะ ต่อมาก็เป็ลูกสาว” อู้จูกล่าวพร้อมกับหัวเราะและกวาดสายตาผ่านชุ่ยจูที่นั่งอยู่ข้างๆ เงียบเชียบไม่ออกเสียง
“แหม เมื่อก่อนก็เป็เมื่อก่อน ตอนนี้ท้องนี้แหลมอย่างเห็นได้ชัดเจนมากนัก เ้าลูบดู ต้องเป็เด็กผู้ชายอย่างแน่นอน” เหลียงซื่อถลึงตาใส่อู้จู ยัยเด็กน่าตายนี่ รู้อยู่ชัดๆ ว่านางจดจ่อและเฝ้าหวังที่จะมีบุตรชายอีกสักคนให้สกุลหู ยังจะกล่าวเช่นนี้ให้นางโมโหได้
“ชุ่ยจู เ้าไปจับไก่หนึ่งตัวมัดเชือกให้เรียบร้อย อีกเดี๋ยวให้พี่สาวเ้าเอากลับไป” หวังซื่อมองเหลียงซื่อที่ไม่เต็มใจแวบหนึ่ง แล้วหันมาสั่งชุ่ยจู
“ได้เ้าค่ะ จะไปเดี๋ยวนี้เลย” ชุ่ยจูไม่มากความ ยืนขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอก
“นี่ ชุ่ยจู จับไก่ซานหวง [1] ตัวนั้นที่ไม่ค่อยออกไข่นะ อย่าจับผิดเล่า” เหลียงซื่อทำได้เพียงหยัดกายขึ้น พยุงท้องแล้วเดินตามออกไปอย่างเชื่องช้า “ข้าต้องไปดูหน่อย จะได้ไม่จับผิดตัว”
“ท่านแม่นี่จริงๆ เลย” อู้จูมุ่ยปากมุบมิบมองบนไปทางเหลียงซื่อที่เดินออกไปไกลแล้ว หลังจากนั้นเบนสายตามองไปทางเจินจู และยิ้มขึ้น “เจินจู ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ทำไมเ้าเปลี่ยนไปกลับมีผิวขาวนวลเช่นนี้ อาสะใภ้รองตุ๋นเนื้อกระต่ายให้พวกเ้าทานกันทุกวันหรือไม่ ดูสีหน้าพวกเ้าสองคนล้วนเปล่งปลั่งกันเช่นนี้ บำรุงเนื้อไปไม่น้อยเลยกระมัง”
“พี่ใหญ่ กระต่ายเลี้ยงไว้ขาย มิใช่เอาไว้ทาน หากอยากทานเนื้อก็ต้องซื้อเองจึงจะถูก เชือดกระต่ายมาทานไม่ได้หรอก” เจินจูกล่าวด้วยความสุขุม
“ซื้อเนื้อทาน? กล่าวเช่นนี้ พวกเ้าสามารถซื้อเนื้อทานทุกวันได้หรือ? เช่นนั้นมิใช่ว่าที่บ้านหาเงินได้มากหรอกหรือ?” อู้จูดวงตาเป็ประกาย ครอบครัวชาวนาบ้านไหนจะสามารถทานเนื้อได้ทุกวัน เมื่อก่อนตอนอู้จูยังอยู่ที่บ้านเก่า หนึ่งเดือนสามารถทานเนื้อได้ครั้งหรือสองครั้งก็นับว่าไม่เลวแล้ว
“มิได้ซื้อทุกวัน ห่างสองหรือสามวันจึงจะซื้อหนึ่งครั้ง ขายกระต่ายหาเงินได้เพียงเล็กน้อย ต้องเก็บไว้ใช้ให้ผิงอันเข้าโรงเรียน” เจินจูตอบกลับ
“เช่นนั้นก็ไม่เลวเลย พอข้าแต่งงานออกไปแล้ว ความเป็อยู่ของที่บ้านก็ดีขึ้นทันที กระต่ายก็เลี้ยงได้ วัวก็ซื้อได้” อู้จูมีสีหน้าวุ่นวายใจ รู้สึกสุขทุกข์ปะปนกันเล็กน้อย
หลังจากนั้นอู้จูจึงพูดคุยถามไถ่มากมายอย่างไม่เรียงลำดับ เจินจูเลือกกล่าวเพียงสิ่งที่ไม่สลักสำคัญ ผ่านไปพักหนึ่ง อู้จูก็หิ้วไก่ซานหวงแล้วกลับไปอย่างไม่เต็มใจ
“เฮ้อ... อู้จูผู้นี้ฟังความที่เล่าลือกันมา แล้วรีบกลับบ้านด้วยความตื่นเต้นดีใจ ไม่คิดสักนิดเลยว่าความเป็อยู่ของสกุลหวงดีกว่าสกุลหูของพวกเราอีก ครอบครัวปลูกบ้านใหม่เพิ่มขึ้นหนึ่งหลังเป็พิเศษ ทั้งใหญ่ทั้งกว้างขวาง อยู่กันเองสองสามีภรรยา ใช้ชีวิตกันดีมากกว่าคนส่วนใหญ่ แล้วยังจะชอบคิดเล็กคิดน้อยอีก ส่วนต้าเฉิงผู้นั้นเข้าโรงเรียนส่วนตัวอยู่หลายปี จะสามารถเลี้ยงกระต่ายได้ที่ไหนกัน สติปัญญาไม่เติบโตเลยจริงๆ” หวังซื่อจูงเจินจูมาหลบอยู่ด้านข้างกล่าวไม่หยุด หวงถิงเฉิงเซียงกง [2] ของอู้จูเคยเรียนโรงเรียนส่วนตัวอยู่หลายปี แม้สองสามครั้งล้วนสอบบัณฑิตเด็กไม่ผ่าน แต่ก็ไม่ได้เล่าเรียนเสียเปล่า
“แห่ะๆ…” เจินจูจำสภาพของสกุลหวงไม่ค่อยได้แล้ว จึงทำได้เพียงหัวเราะและยิ้มแสดงการขอโทษ
หวังซื้อลูบศีรษะของนาง ยิ้มแล้วกล่าว “วันนี้พระอาทิตย์ส่องแสงจ้า ได้เอาอาหารหมักออกมาตากแดดเสียหน่อยหรือไม่?”
“เ้าค่ะ ข้าตากแดดไว้แล้ว” เจินจูหยุดไปพักหนึ่ง “ท่านย่า พรุ่งนี้หากว่าอากาศดี ให้ท่านลุงไปซื้อเนื้อกลับมาอีกห้าสิบชั่งนะเ้าคะ กุนเชียงของบ้านเราเองยังไม่ได้กรอกเลย ต้องทำเตรียมไว้ให้เรียบร้อย ตอนฉลองปีใหม่จึงจะสามารถทานได้”
“ห้าสิบชั่ง? ได้ ย่ารู้แล้ว” หวังซื่อเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งมีเมฆเล็กน้อย “พรุ่งนี้น่าจะอากาศดี รออีกเดี๋ยวให้พ่อเ้ากับลุงเ้าตัดไม้ไผ่กลับมาก่อน ข้าจะบอกพวกเขา”
ตอกไผ่ที่บ้านล้วนใช้จนเกลี้ยงแล้ว หูฉางหลินกับหูฉางกุ้ยเลยถือโอกาสที่ยังมีแสงอาทิตย์และอากาศปลอดโปร่ง เข้าไปในป่าลึกเพื่อตัดไม้ไผ่กันแต่เช้า
เชิงอรรถ
[1] ไก่ซานหวง หรือไก่สามเหลือง เป็ไก่ขนาดเล็กมีขนสีเหลือง กรงเล็บสีเหลือง และจะงอยปากสีเหลือง ซึ่งเป็หนึ่งในไก่พื้นเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุดในจีน
[2] เซียงกง เป็คำที่ภรรยาใช้เรียกสามีด้วยความเคารพ (สมัยก่อน) และยังเป็คำที่ใช้เรียกลูกหลานของผู้มีเงิน (ในสมัยเก่า) อีกด้วย