บทที่ 5:เทพโอสถแห่งต้าชิง
“เร็วเข้าเถอะพ่อหนุ่ม! เวลาของเ้ามีจำกัดนะ!” เสียงะโกวนประสาทของชายโบราณดังมาจากบนหลังม้า
สิ้นเสียงนั้น พลันเกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นในร่างของกงเฉินจื่อ ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวันมลายหายไปสิ้น ถูกแทนที่ด้วยพลังงานอันเปี่ยมล้น ร่างกายของเขารู้สึกเบาสบายและกระปรี้กระเปร่าอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน เขามองบังเหียนม้าสีดำทมิฬตรงหน้า ก่อนจะตัดสินใจ... เอาก็เอาวะ!
เขาะโเพียงครั้งเดียว ร่างของเขาก็ลอยขึ้นไปนั่งบนหลังม้าได้อย่างสง่างามและมั่นคงราวกับทำเช่นนี้มาทั้งชีวิต!
ม้าสีนิลคำรามในลำคอราวกับรอคอยสัญญาณนี้อยู่แล้ว มันทะยานตามม้าของชายโบราณไปข้างหน้าด้วยความเร็วราวกับพายุ แรงกระโจนมหาศาลน่าจะทำให้คนที่ไม่เคยขี่ม้าอย่างเขาเสียหลักได้ง่ายๆ แต่ร่างกายของกงเฉินจื่อกลับปรับสมดุลได้อย่างเป็ธรรมชาติ เขากับม้าเคลื่อนไหวเป็หนึ่งเดียวกัน
‘นี่มัน... เหลือเชื่อเกินไปแล้ว!’ เขาคิดในใจพลางหัวเราะออกมาอย่างตื่นเต้น ‘พรข้อแรกนี่มัน... แถมคอร์สสอนขี่ม้าขั้นเทพมาให้ด้วยรึไง!’
ม้าสองตัวควบตะบึงลงจากเนินเขาสูงอย่างคล่องแคล่วว่องไว ไม่นานนักก็เข้าสู่เขตตัวเมืองหลวงแห่งราชวงศ์ต้าชิง แสงสีและชีวิตยามค่ำคืนของโลกเมื่อหลายร้อยปีก่อนปรากฏขึ้นตรงหน้า ทำให้ทั้งคู่ต้องชะลอความเร็วลง
ภาพที่เห็นราวกับหลุดออกมาจากภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ฟอร์มั์ สองข้างทางประดับประดาด้วยโคมไฟกระดาษสีแดงที่ส่องแสงนวลตา ผู้คนในชุดโบราณเดินกันขวักไขว่ กลิ่นอาหารที่ปรุงจากเตาถ่าน กลิ่นเครื่องเทศหอมกรุ่น ลอยปะปนมากับกลิ่นสุราและกลิ่นอับชื้นอันเป็เอกลักษณ์ของเมืองเก่า เสียงพูดคุยจอแจ เสียงดนตรีจากโรงเตี๊ยม และเสียงหัวเราะของเหล่าสตรีจากหอคณิกาที่อยู่ถัดไปดังประสานกันเป็เสียงแห่งชีวิตชีวาที่เขาไม่เคยััมาก่อน
“ที่นี่คือย่านการค้าที่รุ่งเรืองที่สุดในเมืองหลวง” ชายโบราณ หรือ ‘หยางเฟยหลง’ ตามที่เขาเพิ่งล่วงรู้มา กล่าวพลางชี้มือไปตามถนนที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา
กงเฉินจื่อกวาดสายตามองทุกสิ่งอย่างละเอียดราวกับเครื่องสแกน เขาสังเกตเห็นชายคนหนึ่งจ่ายเงินด้วยแท่งเงินขนาดใหญ่เพื่อซื้อสุราในโรงเตี๊ยม ขณะที่อีกมุมหนึ่งของถนน มีเด็กน้อยในเสื้อผ้าขาดๆ นั่งไอโขลกๆ อยู่ข้างกองขยะโดยไม่มีใครสนใจ... ภาพนั้นทำให้ข้อสรุปหนึ่งผุดขึ้นในใจเขาอย่างชัดเจน
‘ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน... เงิน ก็ยังเป็สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ดี’
ม้าของเขาเดินผ่านหอนางโลมที่รู้จักกันในนาม ‘สำนักโคมเขียว’ เหล่าหญิงสาวในอาภรณ์งดงามกำลังยืนส่งยิ้มหวานหยด เชื้อเชิญบุรุษที่เดินผ่านไปมาให้เข้าไปใช้บริการ บ้างก็เรียกชื่อบุรุษที่เพิ่งเดินออกมาให้กลับมาเที่ยวหาอีกในวันหน้า
พอเห็นพวกเขาขี่ม้าผ่านมา หญิงสาวกลุ่มหนึ่งก็ส่งเสียงเรียกอย่างหยอกเย้า โชคดีที่หมวกปีกกว้างที่เฟยหลงโยนให้ช่วยบดบังใบหน้าของเขาไว้ได้พอสมควร ทำให้พอจะกลมกลืนไปกับผู้คนในยุคนี้ได้บ้าง
“ข้าว่า... ถ้าจะอยู่ที่นี่ให้รอด ข้าต้องมีเงิน” กงเฉินจื่อเอ่ยขึ้น “ท่านพอจะมีลู่ทางให้ข้าบ้างไหม”
ผู้คนหลายคนเริ่มหันมามองเขาด้วยความแปลกใจ ไม่ใช่เพราะม้า แต่เป็เพราะเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ที่เขาใส่อยู่ มันช่างดูแปลกประหลาดราวกับหลุดมาจากต่างแคว้นแดนไกล
หยางเฟยหลงหัวเราะในลำคอ “เ้าเป็ถึงหมออัจฉริยะ จะคิดอะไรให้มากความ? ที่นี่มีคนป่วยมากมายที่รอการรักษาจากเ้าอยู่”
“นั่นสินะ!” กงเฉินจื่อนึกขึ้นได้ “แต่ข้าเป็ศัลยแพทย์จากโลกอนาคตนะ ที่นี่ไม่มีทั้งห้องผ่าตัดปลอดเชื้อ ไม่มีเครื่องเอ็กซเรย์ ไม่มีแม้แต่ยาปฏิชีวนะ ข้าจะรักษาใครได้อย่างไร”
“เ้าลืมไปแล้วรึ... ว่ายังมีพรเหลืออีกสองข้อ” เฟยหลงเตือนสติ “อีกอย่าง ตระกูลหยางมีตำแหน่ง ‘แพทย์หลวง’ มีหน้าที่ต้องส่งคนเข้าวังหลวงนับร้อยตำแหน่ง ด้วยความสามารถของเ้า การจะแทรกตัวเข้าไปไม่ใช่เื่ยากเลย... เมื่อถึงเวลา เ้าจะรู้เองว่าต้องทำอย่างไร”
คำพูดของเฟยหลงทำให้กงเฉินจื่อรู้สึกว่านี่ไม่ใช่แค่การผจญภัยเล่นๆ เสียแล้ว มันมีภารกิจบางอย่างรอเขาอยู่
“ทำไมต้องเป็ข้า?” เขาถามออกมาตรงๆ สายตายังคงจับจ้องไปยังแสงโคมไฟที่ส่องสว่างเป็หย่อมๆ บนถนนเบื้องหน้า
เฟยหลงหยุดม้าแล้วหันมาเผชิญหน้ากับเขา แววตาที่เคยขี้เล่นดูจริงจังขึ้นมา “ทุกสิ่งล้วนมีเหตุผลของมัน... คำตอบของคำถามนั้น มีเพียงตระกูลหยางในยุคของเ้าเท่านั้นที่จะให้ได้ เอาล่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว คงได้เวลากลับกันเสียที” พูดจบทั้งคู่ควบม้ากลับมาทางเดิม ไม่นานก็มาหยุดอยู่ที่หน้ากระท่อมซอมซ่อหลังเดิมที่เขาจากมา
“บ้านออกใหญ่โต แต่ทำไมถึงให้ท่าน... หมอเทวดาในตำนาน มาอยู่ในกระท่อมที่ดูเหมือนจะพังแหล่มิพังแหล่แบบนี้ล่ะ ท่านไม่ได้ถูกไล่ออกจากตระกูลแน่ใช่มั้ย” กงเฉินจื่ออดที่จะแขวะไม่ได้
“ที่นี่ก็มีตำนานของมันน่า!” เฟยหลงโบกมือปัดๆ “เอาล่ะ ท่านมีเวลาอีก 8 วัน จงกลับไปเตรียมตัวซะ และตอนนี้... จงขอพรข้อที่สองของท่านได้ ณ บัดนี้!”
กงเฉินจื่อหลับตาลง ภาพของผู้คนในเมืองหลวงผุดขึ้นมาในความคิด ทั้งความรุ่งเรือง ความยากไร้ และความเป็ไปได้ในการช่วยเหลือผู้คน เขาหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะลืมตาขึ้น แววตาของเขามุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว
“ถ้าภารกิจของข้าคือการช่วยเหลือผู้คน... เช่นนั้น พรข้อที่สอง ข้าขอให้ของทุกอย่างที่จำเป็ต่อการรักษาและการดำรงชีวิตในโลกใบนี้... ทั้งเครื่องมือแพทย์ ยารักษาโรค เสื้อผ้า อาหาร และทุกสิ่งทุกอย่าง... ให้มารวมกันอยู่ในกระท่อมหลังนี้! และขอให้มีใช้ได้อย่างไม่มีวันหมดสิ้น เพื่อที่ข้าจะได้ช่วยเหลือผู้คนในโลกแห่งนี้ได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด!”
เสียงประกาศิตอันทรงพลังของเขาทำให้หยางเฟยหลงถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะแสยะยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
“เป็พรที่ยอดเยี่ยมและ... โลภมากดีจริงๆ! ได้! พรของท่านจะเป็จริง!”
สิ้นคำ ก็เกิดแสงสว่างวาบไปทั่วบริเวณจนเขาต้องหลับตาลง ขณะที่เสียงหนึ่งดังก้องเข้ามาในโสตประสาท... “ท่านเป็ผู้ที่... คนสมัยนั้นเลื่อมใสและศรัทธาเป็อย่างมาก”
กงเฉินจื่อค่อยๆ ลืมตาขึ้น... เขากลับมายืนอยู่ในหอสมุดของตระกูลหยางอีกครั้ง! ตรงหน้าเขาคืออาจารย์หยางหลิงฟางที่กำลังอธิบายภาพวาดด้วยท่าทีปกติ ราวกับว่า่เวลาหลายชั่วโมงที่ผ่านมาไม่เคยเกิดขึ้นจริง
“...ด้วยเหตุการณ์ในครั้งนั้น ผู้คนจึงพร้อมใจกันตั้งฉายาให้ท่านว่า ‘หมอเทวดาแห่งต้าชิง’ ” หยางหลิงฟางกล่าวจบประโยคที่ค้างไว้ ก่อนจะหันมามองเขาที่กำลังยืนตะลึงตาค้างอยู่หน้าภาพวาด
“ท่านผู้เสียสละคนนี้... เป็อะไรกับอาจารย์หยางครับ” เขาถามออกไปเป็คำแรก สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ภาพชายหนุ่มในชุดโบราณ
“ท่านผู้นี้คือ หยางเฟยหลง หมอเทวดาแห่งต้าชิง” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ “เขาคือต้นตระกูลของฉัน เป็ผู้บุกเบิกศาสตร์การแพทย์แผนโบราณ และตำราส่วนใหญ่ในห้องนี้ก็เป็ผลงานของท่าน... สิ่งที่ฉันนำไปสอนพวกคุณ เป็เพียงเศษเสี้ยวความรู้ของท่านเท่านั้น”
เธอหันมามองกงเฉินจื่อที่ยังคงยืนนิ่ง “คุณหมอมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างคะ”
“มหัศจรรย์... น่ามหัศจรรย์มากครับ” เขากล่าวเสียงเบา “ท่านช่างเป็ผู้ที่ยิ่งใหญ่... สมคำร่ำลือจริงๆ”
เขายังคงจ้องมองภาพของ ‘หยางเฟยหลง’ ชายผู้ที่เขาเพิ่งจะขี่ม้าท่องราตรีด้วยกันเมื่อครู่นี้... หรือเมื่อหลายร้อยปีก่อน... กันแน่
“คุณหนูขอรับ เชิญที่ห้องรับรองก่อนเถอะขอรับ เชิญครับคุณหมอกงเฉินจื่อ” เสียงของลุงหวังดังขึ้นขัดจังหวะ ดึงสติของทั้งสองให้กลับมาสู่ปัจจุบัน.!