โรงเตี๊ยมเหอฟง
“โอย ข้าไม่น่ากินเยอะเลยอิ่มจนจุกไปหมดแล้ว” ซินเยว่กำลังจะทิ้งตัวลงนอนก็ต้องหยุดไว้ก่อน เพราะนึกขึ้นได้ว่ามีเื่จะถามเสี่ยวหลานกับแผนการขั้นต่อไป
“พี่เสี่ยวหลานแผนการขั้นต่อไป จัดการเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
เสี่ยวหลานรายงานภารกิจที่ตนได้รับอย่างมั่นใจ “บ่าวทำงานตามที่คุณหนูสั่งเรียบร้อยเ้าค่ะ ทั้งร้านขายยา โรงรับจำนำและแผงผักของเหล่าแม่ค้าในตลาด”
“ฮ่า ๆ ๆ มีความสุขจริง ๆ เลย”
“เ้าดีใจที่จะได้เดินทางไปเมืองเหลียงซานขนาดนั้นเลยเหรอ” ลี่หลินเดินเข้ามาเมื่อได้ยินบุตรสาวหัวเราะจึงเอ่ยถามขึ้น
“มิใช่เื่ที่เราจะเดินทางไปเมืองเหลียงซานหรอกเ้าค่ะท่านแม่ ข้ามีความสุขเพราะไปทำเื่สนุกกับพี่เสี่ยวหลานต่างหาก” ซินเยว่ตอบมารดาด้วยแววตาซุกซน
“ท่านแม่ รีบไปอาบน้ำจะได้พักผ่อนเถิดพรุ่งนี้พวกเราต้องเดินทางไกล เดี๋ยวข้ากับพี่เสี่ยวหลานขอไปทำธุระสักประเดี๋ยว หากเสร็จแล้วจะรีบกลับมาเ้าค่ะ”
“นายหญิงไม่ต้องห่วงบ่าวจะดูแลคุณหนูอย่างดีเ้าค่ะ”
“ลูกข้าตัวก็แค่นี้เหตุใดถึงมีเื่ต้องทำเยอะแยะเสียเหลือเกิน รีบไปรีบกลับไม่ต้องเป็ห่วงแม่หรอก” ทำไมนางจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ซินเยว่กำลังคิดทำคืออะไร ไม่พ้นไปสร้างปัญหาให้กับคนพวกนั้น
“ข้ารักท่านแม่ที่สุดเลยเ้าค่ะ” ซินเยว่ะโกอดมารดาแน่น ๆ ไปหนึ่งที
เมื่อออกมาจากโรงเตี้ยมเสี่ยวหลานก็พาซินเยว่เดินลัดเลาะไปตามซอกซอย เพื่อไปยังอารามร้างแห่งหนึ่งซึ่งเป็ที่อยู่ของคนไร้บ้าน
“ที่นี่เป็ที่อยู่ของพี่มู่เหวินพวกเขาเป็คนไร้บ้านเ้าค่ะ แต่ไม่ใช่ขอทานเพราะทุกคนล้วนรับจ้างทำงานได้ค่าแรงเป็รายวันเ้าค่ะ”
เพียงหนึ่งจิบชาก็มีบุรุษอายุน่าจะมากกว่าพี่เสี่ยวหลานไม่กี่ปี นับดูแล้วมีประมาณห้าคนที่เดินเข้ามาหา
“เสี่ยวหลานเ้าจะออกเดินทางเมื่อใดหรือ แล้วจะไปที่เมืองใดจากนี้พวกเราคงจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วสินะ”
“จะได้เจอหรือไม่นั้นมันขึ้นอยู่กับท่านไม่ใช่ข้าที่เป็คนกำหนด”
“เสี่ยวหลานที่เ้าพูดมาหมายความว่าอย่างไรข้าไม่เข้าใจ แล้วเด็กคนนี้คือใครรึ?” มู่เหวินหลังได้ฟังคำตอบของเสี่ยวหลานก็สังเกตว่ามีเด็กสาววัยสิบหนาวคนหนึ่ง ก้าวเท้าออกมาจากด้านหลังของนาง
“พี่มู่เหวิน นี่คือคุณหนูซูซินเยว่เ้านายของข้าเองเ้าค่ะ”
“ท่านก็คือท่านน้ามู่เหวินหรือเ้าคะ ข้าต้องขอบคุณท่านมากที่ครั้งก่อนหากบที่ตัวใหญ่คล้ายคางคกมาให้ข้าเ้าค่ะ”
“คุณหนูไม่ต้องขอบคุณหรอกขอรับ ข้ากับเสี่ยวหลานเป็สหายกันมานาน เื่นี้ถือว่าเล็กน้อยมากขอรับ” มู่เหวินตอบกลับอย่างถ่อมตัว
“แล้วท่านน้ามู่เหวินกับสหายคนอื่น ๆ จะใช้ชีวิตหาเช้ากินค่ำอยู่ในเมืองหลวงไปอีกนานแค่ไหนหรือเ้าคะ” ซินเยว่เอ่ยถามมู่เหวินอย่างจริงจังอีกครั้ง
มู่เหวินเมื่อได้ยินคำถามนี้จากปากของคุณหนูน้อยคนนี้ก็ชะงักไป เขาเป็เพียงชาวบ้านทั่วไปไม่มีความรู้ ไม่ได้ร่ำเรียน จะไปทำงานอย่างอื่นได้อย่างไร
“เอ่อ...เรียนคุณหนูตามตรงพวกเราเป็แค่คนไร้บ้าน บางคนถูกไล่ออกจากบ้าน บางคนก็หนีออกจากบ้านเพราะไม่อยากถูกขายไปเป็ทาส พวกเราได้พบกันโดยบังเอิญจึงชักชวนกันมาอาศัยที่อารามแห่งนี้ ทำงานรับจ้างหากินไปวัน ๆ ขอเพียงไม่อดตายก็พอแล้วขอรับ” เขาพูดราวกับยอมแพ้กับโชคชะตา
“เช่นนั้นข้าขอพูดกับพวกท่านอย่างไม่ปิดบัง ข้าจะเดินทางไปทำการค้าที่เมืองเหลียงซาน พวกท่านยินดีติดตามไปทำงานกับข้าหรือไม่เ้าคะ” ข้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังมิได้ล้อเล่นแต่อย่างใด
พวกเขาล้วนตกตะลึงอ้าปากค้าง เหตุใดคำพูดที่ออกมาจากปากของเด็กสาววัยเพียงสิบหนาว ทำให้คนฟังอย่างมู่เหวินรู้สึกว่าน่าเชื่อถืออยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
“ที่ข้าถามพวกท่านนั้นไม่ได้หมายความว่า จะต้องเดินทางไปพร้อมข้าในตอนนี้ ข้าถามเพื่อความมั่นใจเพราะพวกท่านเป็สหายของพี่เสี่ยวหลาน ถ้าพวกท่านตกลงข้าขอเวลาสักสองสามเดือน ในการเตรียมที่ทางการค้าให้เรียบร้อยก่อน เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางข้าจะส่งจดหมายมาแจ้งอีกครั้ง เพื่อให้พวกท่านเดินทางไปพบข้าที่เมืองเหลียงซาน” พอซินเยว่พูดจบพวกเขาก็เอาแต่มองหน้ากันไปมา
“ถ้างั้นข้าให้เวลาพวกท่านปรึกษากันก่อนในคืนนี้ หากได้คำตอบก็ไปแจ้งกับข้าได้ ข้าจะออกเดินทาง่ต้นยามเหม่าของวันพรุ่งนี้” เดิมทีซินเยว่ก็คิดเื่การหาคนงานอยู่เหมือนกัน แต่ดูท่าไม่ต้องเสียเวลาคิดเื่นี้อีกแล้ว นางไม่ต้องกังวลว่าจะได้คนไม่น่าไว้ใจมาทำงาน
“พวกข้าจะปรึกษากันให้ดี หากได้คำตอบแล้วจะรีบไปแจ้งกับคุณหนูก่อนออกเดินทางทันทีขอรับ” ตัวมู่เหวินเองตอบตกลงในใจั้แ่ได้ยินคำถามของซินเยว่แล้ว ไม่ได้การเขาจะต้องชักชวนพวกสหายคนอื่น ๆ ให้ได้ โอกาสเช่นนี้ใช่จะหากันง่าย ๆ เสียเมื่อไหร่กัน
