เหลียงหู่แอบใ มองหน้าผากที่มีเืผุดออกมาอีกครั้งหนึ่ง เวร... ซวยจริงๆ สตรีผู้นี้กล้าจริงด้วย แรงที่ใช้ไม่น้อยเลย ท่าทางเช่นนี้ถึงรักษาอาการาเ็หาย ใบหน้าก็คงเสียโฉมไปแล้ว
คิดถึงตรงนี้แววตาของเหลียงหู่คลุมเครือไม่ชัดเจนนิดหน่อย เดิมทีเขาค่อนข้างชอบใบหน้าเรียวรูปไข่ที่สวยงดงามนั้นของจ้าวหงยู่มาก แต่ด้วยนิสัยแข็งทื่อไม่ยินดียินร้ายของสตรีผู้นี้ รวมกับความไม่สนิทใกล้ชิดกับเขา ตอนแรกเขายังสามารถทนนิสัยนี้แล้วโอนอ่อนผ่อนตามนางได้ แต่พอผ่านไปสามเดือนห้าเดือนนางยังทำท่าทางหวาดกลัวและขี้ขลาดอยู่ เื่บนเตียงยิ่งเหมือนปลาตายก็ไม่ปานไม่สนุกสนานเลยสักนิด น่าเสียดายร่างกายดีๆ ของนางนัก นานวันเข้าการอยู่ร่วมกันระหว่างพวกเขาก็เปลี่ยนไปจนกลายเป็อย่างที่เห็น ขณะนี้นางเสียโฉมแล้ว เขา… ครึ่งชีวิตต่อจากนี้ไม่อยากอยู่กับใบหน้าเช่นนี้ตลอดไป
ในบ้านส่งเสียงเอะอะโวยวาย จ้าวสี่เหวินรีบส่งบุตรชายไปตามท่านหมอ ส่วนเขาก็ช่วยพานซื่อประคองจ้าวหงยู่ให้นอนบนเตียงดีๆ ด้วยความระมัดระวัง
เหลียงหู่ขมวดคิ้ว อยากจะเดินออกไปนอกบ้านกลับเห็นแม่นางน้อยอายุสิบสองสิบสามผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างหลังติงซื่อ ปากแดงฟันขาวงดงามบริสุทธิ์ แม้มีลักษณะเป็เด็กอยู่สองสามส่วนแต่ปรากฏความงามอยู่มากนัก
ใบหน้าเหลียงหู่แสดงออกอย่างตะลึงงันในความงาม อดพิจารณาขึ้นลงสองสามทีไม่ได้ ภายใต้สายตาแวววาวของเขา แม่นางน้อยก็หลบอยู่หลังติงซื่อด้วยความตื่นตระหนก เพื่อหลีกเลี่ยงสายตานั้น
“พี่สาวชุ่ยจู” ตงเซิ่งเห็นเหลียงหู่จดจ้องสายตามาทิศทางนี้ อดใกลัวจนต้องดึงมือชุ่ยจูไม่ได้
“ตงเซิ่ง ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว…” ชุ่ยจูตบมือของเขาปลอบใจ เงยหน้าขึ้นมองเหลียงหู่แวบหนึ่ง พบว่าสายตาของเขายังคงไม่ละสายตาจากกายของนาง จึงใจนสะดุ้งโหยง หมุนตัวไปหลบอยู่หลังติงซื่อทันทีทันใด
สายตาของเหลียงหู่คุกคามเกินไป ติงซื่อที่โอบกอดเด็กสาวตัวน้อยก็กลัวจนตัวสั่นเช่นกัน
ชุ่ยจู? ชื่อธรรมดาแต่หน้าตากลับไม่เลว ตอนนี้ยังเด็ก รอนางปักปิ่น [1] ไปแล้วเวลานั้นคงจะงดงามพอดี ไม่รู้ว่าจะมีบุรุษมากมายเพียงใดที่หลงใหล
ชิ น่าเสียดายตอนนี้ยังเด็กเกินไป เขาไม่ได้มีใจอดทนจะรอให้แม่นางน้อยคนหนึ่งเติบโตได้ เหลียงหู่กระตุกมุมปากขึ้นและถอนหายใจข้างในด้วยความเสียดายอีกครั้ง
ชุ่ยจูที่อยู่ด้านหลังเหงื่อชุ่มกาย สายตาที่เหลียงหู่พินิจพิเคราะห์นาง ทำเอานางรู้สึกว่ามีเข็มแทงอยู่ที่หลัง
เหลียงหู่มองเงากายอรชรอ้อนแอ้นนั่นอีกครั้งอย่างเสียดาย หลังจากนั้นก็ออกจากบ้านไป กล่าวต่อจ้าวเหวินเฉียงที่เฝ้าอยู่ประตูบ้านอย่างดูแคลน “ในเมื่อนางอยากพักอยู่บ้านบิดามารดาของนางเพียงนั้นก็อยู่ไปเถิด ข้ายังมีความเห็นเช่นนั้นอยู่ หากสกุลจ้าวของพวกเขา้าหย่าร้างก็รับเงื่อนไขของข้า ไม่เช่นนั้นก็อย่าได้คิดเพ้อฝัน! หัวหน้าหมู่บ้านจ้าว ขอบคุณสำหรับการต้อนรับอย่างดีของพวกท่าน ข้าจะจำไว้ในใจ หวังว่าพวกเราจะมีโอกาสได้พบกันอีก”
กล่าวจบกวาดสายตามองจ้าวเหวินเฉียงแวบหนึ่งอย่างเ็า แล้วจึงหมุนกายไปโบกมือ “พวกเราไป!”
“ไป!” หนึ่งกลุ่มทยอยเดินออกไป
ชาวไร่ชาวนาที่มุงดูรีบเร่งแบ่งไปเป็สองฝั่งทันที เปิดทางถนนให้กว้างเส้นหนึ่ง
จนกระทั่งพวกเขาเดินออกไปจากสายตาฝูงชนแล้ว ทุกคนจึงพากันถอนหายใจ
“โอ๊ย มารดาเถอะ ในที่สุดเ้าวายร้ายนี่ก็ไปเสียที”
“เมื่อครู่ข้าใจนขาสั่นเลย ชายโฉดนั่นน่ากลัวจริงๆ”
“จ้าวหงยู่พบชายผู้หนึ่งเช่นนี้ช่างซวยไปแปดชั่วโคตรจริงๆ”
เหล่าชาวไร่ชาวนาพากันกระซิบกระซาบ มีคนที่กล้าหาญวิ่งไปชะโงกศีรษะดูเหตุการณ์ในบ้านด้วยความอยากรู้อยากเห็นไม่น้อย
จ้าวเหวินเฉียงสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย คำพูดเ่าั้ของเ้าเหลียงหู่หมายความว่าอย่างไร? ดูท่าจะต้องเตือนคนในครอบครัวเสียหน่อยแล้ว ว่า่นี้ให้ออกจากบ้านน้อยๆ หน่อย โดยเฉพาะห้ามเดินทางไปข้างนอกคนเดียวเพื่อป้องกันระมัดระวังไว้ก่อน
ถือโอกาสที่คนมากและดูวุ่นวาย เจินจูแอบย่องเข้ามาในห้องของจ้าวหงยู่อย่างคล่องแคล่ว
พอเห็นคราบเืของจ้าวหงยู่ที่อยู่เต็มศีรษะและใบหน้านั่น มุมปากเจินจูก็กระตุกยกขึ้นแล้วสูดอากาศเย็นๆ เข้าหนึ่งเฮือก ตัดสินใจได้เด็ดเดี่ยวเลยนี่ าแแตกใหญ่เพียงนั้น ต้องใช้แรงอย่างมากถึงจะโขกจนเป็เช่นนี้ได้
เจินจูจูงชุ่ยจูที่ใบหน้าขาวซีดมา พานางวิ่งเหยาะๆ หนีไปห้องครัวของบ้านตงเซิ่ง แล้วก่อไฟต้มน้ำด้วยลูกไม้เดิม
เดิมทีนางใส่น้ำแร่จิติญญาลงในยาสมุนไพรต้มของจ้าวหงยู่เพียงสองครั้ง ถึงอย่างไรเสียก็ได้รับาเ็ร้ายแรง อาการดีขึ้นเร็วเกินไปจะทำให้คนสงสัยได้ นางจึงไม่กล้าใส่มาก เพียงรักษาชีวิตจ้าวหงยู่ไว้ได้ก่อนก็พอ คิดไว้ว่าภายหลังค่อยบำรุงให้นางอีกที
เหลียงหู่เห็นด้วยที่จะหย่า แต่เงื่อนไขคือให้เงินเขาห้าสิบเหลียง เจินจูรู้สึกว่าเงื่อนไขนี้สามารถรับไว้ได้ อย่างไรเสียเงินไม่มีก็สามารถหาได้ แต่ชีวิตไม่มีแล้วอะไรก็ไม่มีทั้งนั้น จากนิสัยของเหลียงหู่ที่โเี้เพียงนี้ ครั้งนี้จ้าวหงยู่เคราะห์ดีที่ไม่ถูกตีแต่ครั้งต่อไปอาจไม่แน่ การใช้ความรุนแรงอะไรก็ตามในครอบครัว มีครั้งที่หนึ่งก็ต้องมีครั้งที่สอง หากไม่รีบหย่า ไม่แน่ว่าแม่นางผู้นี้จะเหมือนหยกที่หล่นแตกเหมือนบุปผาที่ร่วงโรยไปสักวันหนึ่ง
ถือโอกาสที่บนใบหน้าของจ้าวหงยู่มีาแทำให้เหลียงหู่รังเกียจ หลุดพ้นจากชายผู้นี้แล้ว อาศัยน้ำแร่จิติญญาของนาง าแเ่าั้จะไม่เหลือรอยแผลที่ชัดเจนอย่างแน่นอน
แต่ห้าสิบเหลียงสำหรับชาวบ้านทั่วไปแล้ว เป็เงินหนึ่งจำนวนที่มากจริงๆ สินสอดของหมู่บ้านละแวกนี้ ส่วนใหญ่อยู่ระหว่างสิบเหลียงถึงยี่สิบเหลียง สินสอดสามสิบเหลียงของเหลียงหู่ในตอนแรก กลับนับได้ว่าเป็จำนวนที่เยอะมากเลยทีเดียว
เจินจูก่อไฟพร้อมกับคิดเื่ราวของจ้าวหงยู่ เงยหน้าขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับพบว่าสีหน้าของชุ่ยจูยังคงซีดขาวอยู่เล็กน้อย หยัดกายยืนขึ้นแล้วอดถามอย่างเป็ห่วงไม่ได้ “พี่รอง ท่านเป็อะไร? ใหรือว่าไม่สบาย? ทำไมสีหน้าแย่เพียงนั้น?”
ชุ่ยจูส่ายศีรษะ ฝืนยิ้มออกมา “ข้าไม่เป็ไร แค่ยังกลัวนิดหน่อย”
รอยยิ้มที่เค้นขึ้นมาอย่างฝืนใจ สายตาตื่นตระหนก เจินจูขมวดคิ้วขึ้น “ตอนเหลียงหู่ผู้นั้นเข้าไปเขาทำอะไรหรือไม่?”
“ไม่ ไม่ได้ทำอะไร แค่เข้ามาดูท่านอาหงยู่นิดหน่อย” ชุ่ยจูรีบโบกไม้โบกมือทันที
เจินจูมองนางครู่หนึ่งแต่ไม่ได้เอ่ยอะไร
“ไม่ได้ทำอะไรจริงๆ” ชุ่ยจูบิดปลายแขนเสื้อตึงเครียดเล็กน้อย เห็นเจินจูจ้องนางไม่ไหวติง เลยทำได้เพียงอธิบายตะกุกตะกัก “ก็ แค่ เขามองข้าอยู่นาน ข้า ข้าหวาดกลัวเท่านั้นเอง”
มองอยู่นาน? เจินจูได้ยินดังนั้นเลยมองไปทางเด็กสาวตรงหน้า อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ เสื้อหนาวแบบมีซับในตัวบางสีม่วงอ่อนที่สวมอยู่ขับให้ร่างชุ่ยจูอรชรอ้อนแอ้นบอบบางสง่างาม ั้แ่สภาพความเป็อยู่ของที่บ้านเปลี่ยนมาดีขึ้น ทานอาหารประเภทเนื้อทุกสามวันห้าวัน บำรุงอยู่ไม่กี่เดือน ร่างกายผ่ายผอมและอ่อนแอแรงน้อยแต่เดิมก็ค่อยๆ มีเสน่ห์ของความเป็หญิงสาว รวมกับเจินจูใช้น้ำแร่จิติญญาบำรุงอยู่บ่อยครั้ง ชุ่ยจูในตอนนี้เส้นผมวาววับไม่แห้งกรอบและผิวก็ชุ่มชื้นขาวดั่งหยก มีเค้าลางรูปลักษณ์ของคนงามตัวน้อยอยู่ในนั้น
เหลียงหู่ไอ้เดรัจฉานผู้นั้น นี่คิดจะวางแผนอะไรต่อพี่รองของนาง?
บัดซบ... บิดาเ้าสิ ไม่คิดเลยว่าสวะชั้นต่ำผู้นี้ยังจะกล้ามีความคิดสกปรกโสมมเช่นนี้ เจินจูกัดฟันกรอดด้วยความแค้นเคือง
เหลียงหู่ใช่ไหม? ดูสิว่าเจ้จะจัดการเ้าอย่างไร เชอะ
เหลียงหู่ไปแล้ว ชาวไร่ชาวนาที่มามุงดูส่วนใหญ่ก็กระจัดกระจายกันไป อย่างไรก็เป็ฤดูกาลปรับปรุงดินก่อนหว่านข้าวในฤดูใบไม้ผลิ อะไรก็ล้วนไม่สำคัญเท่าที่นาของตนเอง งานไถนาของบ้านจ้าวเหวินเฉียงยังจัดการไม่เสร็จ กล่าวแนะนำจ้าวสี่เหวินสองสามประโยค จนครอบครัวจ้าวสี่เหวินขอบคุณเขาแล้วขอบคุณอีก จ้าวเหวินเฉียงจึงกลับบ้านไป
จ้าวหงซานที่รีบเร่งไปเชิญท่านหมอชราหลินมา ท่านหมอชราตรวจเสร็จก็ส่ายหน้าไปพักหนึ่ง เดิมทีก็ร้ายแรงอยู่แล้ว การทำตนเองให้าเ็เช่นนี้ยิ่งเป็การเพิ่มาแขึ้นไปอีก เท่านี้ก็มากแล้ว สมุนไพรก่อนหน้านี้ดื่มไปก็เสียเปล่า ผู้ป่วยเปลี่ยนกลับมาอยู่ในอาการขั้นอันตรายอีกครั้ง
พอคำพูดออกจากปาก พานซื่อร้องไห้โฮหนักอยู่หลายทีแล้วก็เป็ลมไป สกุลจ้าวก็วุ่นวายโกลาหลขึ้นอีกพักหนึ่ง เจินจูถือโอกาสป้อนน้ำอุ่นที่ผสมน้ำแร่จิติญญาเล็กน้อยให้จ้าวหงยู่
รอจนท่านหมอชราหลินสั่งยาแล้วเคี่ยวจนเสร็จก็ป้อนยาให้จ้าวหงยู่อีกครั้ง สีของท้องฟ้ายามนี้จวนจะพลบค่ำลง
หวังซื่อและชายชราหูพอได้ยินข่าวก็มาเยี่ยม ตอนนั้นพานซื่อได้ฟื้นสติขึ้นมาแล้ว
“แม่หงซาน เ้าต้องทนไว้ จ้าวหงยู่ของเ้ายัง้าให้เ้าดูแลอยู่นะ” หวังซื่อตบมือพานซื่อ กล่าวปลอบโยนเสียงเบา
“…ข้ารู้” พานซื่อนอนอยู่บนเตียงตอบรับเสียงแหบแห้ง ดวงตากลับกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ นางเวทนาบุตรสาว ทำไมชีวิตช่างขมขื่นเช่นนี้
เฮ้อ! เป็ความจริงที่ว่าทุกครอบครัวล้วนมีความยากลำบากของตนเอง ก่อนที่จ้าวหงยู่ยังไม่แต่งออกไป ความเป็อยู่ของครอบครัวพวกเขาผ่านไปไม่ได้แย่ ผู้ใดจะคาดคิดว่า ณ ตอนนี้จะเป็สภาพเช่นนี้ได้ มิน่าที่คนเฒ่าคนแก่มักกล่าวกันอยู่เสมอว่า บุรุษกลัวเดินผิดทาง สตรีกลัวแต่งผิดสามี [2]
นี่ไม่ใช่ว่าเป็ตัวอย่างที่มีให้เห็นหรอกหรือ
ั้แ่ออกจากบ้านสกุลจ้าวมา เจินจูไม่ได้รีบกลับบ้านแต่จูงหวังซื่อเข้าบ้านเก่าไป
“เป็อะไรหรือ?” หวังซื่อมองเจินจูอย่างกลุ้มใจเล็กน้อย เด็กสาวผู้นี้พอเข้ามาในบ้านก็ดึงเขาเข้ามาในห้อง
“ท่านย่า วันนี้เหลียงหู่ผู้นั้นกล่าวแล้วว่า ให้เขาห้าสิบเหลียงจะหย่ากับท่านอาหงยู่เ้าค่ะ” นางจูงหวังซื่อให้นั่งลงบนเตียง
“ห้าสิบเหลียง? เ้าชายโฉดนั่นยังจะกล้าเอ่ยปาก ตีคนแล้วยังเรียกร้อง้าเงิน ช่างไร้คุณธรรมจริงๆ หงยู่ชีวิตขมขื่นนักที่พบเข้ากับสิ่งของ [3] ที่จิตใจโเี้เยี่ยงหมาป่าผู้หนึ่งเช่นนี้” หวังซื่อถอนหายใจแล้วส่ายหน้า “หย่าร้างได้ก็ดี จะได้ไม่ต้องรับความทุกข์ตรมอีก หญิงสาวคนหนึ่งที่ดีเพียงนั้น โดนทุบตีจนกลายเป็เช่นนี้ เหลียงหู่ไม่ใช่สิ่งของจริงๆ [4] แต่เกรงว่าครอบครัวหงซานจะไม่มีเงินมากมายเพียงนั้นหรอก”
เงินห้าสิบเหลียง สำหรับสกุลหูเมื่อก่อนนั้นเป็จำนวนเงินมากมายที่ไม่กล้าจะคิดเลยจริงๆ ครอบครัวจ้าวสี่เหวินเหนือกว่าสกุลหูของพวกเขานิดเดียว จะให้เอาเงินออกมาห้าสิบเหลียงในครั้งเดียวเป็ไปไม่ได้แน่
“ท่านย่า เงินนี่ไม่มีแล้วสามารถหาได้ แต่คนไม่มีแล้วก็ไม่มีเลย ท่านอาหงยู่สุขภาพร่างกายเช่นนี้หากถูกคนผู้นั้นตีอีกทีหนึ่ง คาดว่าชีวิตก็รักษาไว้ได้ยากแล้ว อีกอย่างเดิมทีเหลียงหู่นั่นไม่ใช่ว่าให้สินสอดมาสามสิบเหลียงหรือเ้าคะ หากครอบครัวพวกเขายืมอีกนิด น่าจะรวบรวมได้เพียงพอ เอาแต่มองดูท่านอาหงยู่ถูกคนทรมานไม่ได้หรอกกระมังเ้าคะ” สตรียุคสมัยนี้น่าสงสาร การแต่งงานทั้งหมดเป็ผู้หลักผู้ใหญ่บิดามารดาตัดสินใจให้ อยู่บ้านเชื่อฟังบิดาแต่ออกไปแล้วต้องเชื่อฟังสามี สามีจากไปให้เชื่อฟังบุตร ความคิดประเพณีที่ล้าสมัยพันธนาการและลิดรอนสิทธิทั้งชีวิตของพวกนาง สตรีทำได้เพียงเหมือนดอกทู่ซือ [5] ที่ต้องพึ่งพาบุรุษจึงจะมีชีวิตอยู่ได้ เจินจูเม้มปาก สีหน้าท่าทางกลัดกลุ้มเล็กน้อย
“เฮ้อ สินสอดสามสิบเหลียงดูเหมือนจะมาก แต่เ้าคิดดูนะ สินเดิมของหงยู่ต้องเตรียมไม่น้อย อีกอย่างผ่านปีเหล่านี้ไป ยังมีค่ายาสมุนไพรต้มสองครั้ง จะเหลือได้มากแค่ไหนก็ยังไม่แน่เลย” หวังซื่อยังคงส่ายหน้ากล่าวอย่างคนมองโลกในแง่ร้าย
“เช่นนั้นก็ยืมสักหน่อย ขอเพียงสามารถสะบัดเหลียงหู่ชายโฉดผู้นั้นหลุดไปได้ พวกเขาก็จะสามารถมีวันเวลาที่สงบสุขได้ ท่านย่า ท่านน่ะไม่รู้ ท่านอาหงยู่หวาดกลัวไอ้คนสารเลวนั่นมาก พอได้ยินว่าจะพานางกลับไป ท่านอาหงยู่ก็เอาหัวโขกกำแพงทันที นี่เป็การยอมตายอยู่บ้านเกิดดีกว่ายอมตามไอ้สารเลวนั่นกลับไปอีกนะเ้าคะ” คิดถึงเืแดงฉานที่แสบตาภาพนั้น เจินจูอดถอนหายใจออกมาหนึ่งทีไม่ได้
“เฮ้อ จะไม่หวาดกลัวได้อย่างไร ชีวิตเกือบจะรักษาไว้ไม่ได้แล้ว าแทั่วร่างนั่น ดูแล้วล้วนเจ็บจนทนไม่ไหวเลย” หวังซื่อดึงมือของเจินจูไว้ มองนางเขม็งครู่หนึ่งแล้วตบเบาๆ “ความหมายของเ้าคือ้าให้ครอบครัวพวกเขายืมเงิน?”
เจินจูยิ้ม “ก็ไม่นับว่าใช่ บ้านใหม่ของครอบครัวเราไม่ใช่ว่าเตรียมจะทำเสร็จสิ้นแล้วหรือ ถึงเวลาย้ายบ้านแล้วแต่กระท่อมกระต่ายของบ้านเดิมยังไม่มีคนเฝ้า ดังนั้นคิดว่าจะจ้างคนเลี้ยงกระต่ายโดยเฉพาะระยะยาวน่ะเ้าค่ะ”
“ทำไมยังต้องว่าจ้างคนอีก? ให้ท่านลุงของเ้าไปเฝ้าก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ” หวังซื่อขมวดคิ้วขึ้น ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้วทำให้อาหารหมักทำไม่ได้ งานของที่บ้านจึงน้อยลง กระต่ายเลี้ยงเองก็พอ หากว่าจ้างคนตอนนี้ไม่ใช่ว่าสิ้นเปลืองเงินหรือ
“เช่นนั้นไม่ได้” เจินจูส่ายหน้า
เชิงอรรถ
[1] ปักปิ่น คือ หญิงอายุครบ 15 ปี ในสมัยโบราณ เป็การแสดงว่าเด็กหญิงเข้าสู่วัยสาวโดยสมบูรณ์ จากนี้เป็ต้นไปหญิงสาวจะต้องปฏิบัติตัวและได้รับการปฏิบัติจากผู้อื่นในแบบผู้ใหญ่
[2] บุรุษกลัวเดินผิดทาง สตรีกลัวแต่งผิดสามี เป็การเปรียบเปรยว่า ผู้ชายกลัวที่จะเดินไปทางที่ผิด หรือก้าวไปในอาชีพที่ผิด หรือทำเื่ผิดพลาด แม้จะสามารถแก้ไขได้แต่จะทำให้ตัวเขาเสียเวลาล่าช้าในการประสบความสำเร็จในอนาคต ส่วนผู้หญิง การแต่งงานเป็เื่ที่สำคัญที่สุดในชีวิต เพราะต้องอยู่กับชายคู่ชีวิตไปตลอด จึงต้องให้ความระมัดระวังในการเลือกคู่ชีวิตอย่างมาก
[3] สิ่งของ ในที่นี้คือคำด่า หมายถึง ขยะสังคม หรือคนที่แทบไม่มีความเป็คนอยู่เลย
[4] ไม่ใช่สิ่งของ หมายถึง แม้แต่ขยะสังคมก็เรียกไม่ได้ เพราะเป็ยิ่งกว่านั้น
[5] ดอกทู่ซือ จัดเป็พืชกาฝาก มักเจริญเติบโตโดยการพาดพันไปกับต้นไม้อื่นและดูดน้ำจากต้นไม้นั้น ลักษณะของเมล็ดค่อนข้างกลมรี เมล็ดเป็สีเหลืองอมเทามีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cuscuta chinensis Lam. จัดอยู่ในวงศ์ผักบุ้ง มีชื่อสามัญเรียกว่า Dodder และมีชื่อท้องถิ่นหลายชื่อ เนื่องจากสามารถกระจายอยู่ได้ในหลายพื้นที่ เช่น ฝอยไหม (นครราชสีมา) ผักไหม (อุดรธานี) ซิกคิบ่อ ทูโพเคาะกี่ (กะเหรี่ยงเชียงใหม่) เครือคำ (ไทใหญ่ ขมุ) บ่ะเครือคำ (ลั้วะ) กิมซีเช่า โท้วซี (จีนแต้จิ๋ว) ทู่ซือ ทู่ซือจื่อ (จีนกลาง)