โม่เสวี่ยถงแววตาเย็นะเื เงยหน้าขึ้นไม่หลบตาคนแม้แต่น้อย จ้องมองอวี้ซือหรงอย่างสงบนิ่ง สีหน้าเปิดเผยตรงไปตรงมา สลัดคราบสาวน้อยเปราะบางขี้กลัวในใจของผู้คนจนหมดสิ้น
นับเป็ครั้งแรกที่นางเผยคมประกายออกมาต่อหน้าผู้คน ตั้งใจเผยความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของตนเอง
บางคนถูกลิขิตมาเพื่อเป็ศัตรู เช่นนั้นก็ไม่จำเป็ต้องหลบเลี่ยง ความแค้นของชาติปางก่อน ความชิงชังของชาตินี้ ทำให้นางกระจ่างใจในเหตุผล ไม่ใช่ว่าเ้ายอมถอย แล้วผู้อื่นจะเหลือทางรอดชีวิตให้
เมื่อคำกล่าวนี้หลุดออกมา ทุกคนต่างเงียบกริบ สายตาจับอยู่ที่โม่เสวี่ยถง แผ่นหลังของนางเหยียดตรง ดวงตาทอประกายเจิดจ้าจดจ้องอวี้ซือหรง สุขุมนุ่มลึกสง่างามดั่งคุณหนูตระกูลสูง
ทำให้ผู้คนนึกเลื่อมใสชื่นชมอยู่ในใจโดยไม่มีเหตุผล แววตาที่ฉายแววแคลงใจจึงตกไปอยู่ที่อวี้ซือหรง ทั้งดูิ่ เหยียดหยัน ยิ้มเยาะ...
แม้ว่าโม่เสวี่ยถงจะมิได้กล่าวพาดพิงโดยตรง แต่ผู้ที่อยู่ในเรือนชั้นในมานานใครบ้างจะไม่เข้าใจในความคิดแยบคายนี้ อะไรที่เรียกว่าหากไม่หลบผู้ที่จะชนกับก้อนหินก็คือโม่เสวี่ยถง เหตุผลของอวี้ซือหรงที่แค้นเคืองนาง เพราะว่านางไม่อยู่นิ่งๆ รอให้ถูกชนกระนั้นหรือ เื่นี้... ช่างน่าขันยิ่ง
อีกทั้งคำพูดของโม่เสวี่ยถงก่อนหน้า ทำให้ทุกคนต่างเข้าใจแล้วว่าเื่ราวในครานี้เป็ฝีมือของอวี้ซือหรงที่วางแผนให้เกิดขึ้น ชี้ให้เห็นว่าคนที่ใจดำอำมหิตคิดจะชนโม่เสวี่ยถงให้กระแทกกับูเาหินแท้จริงแล้วก็คือนาง อยากทำให้ผู้อื่นเสียโฉม แต่สุดท้ายกลายเป็คนเสียโฉมเสียเอง ผู้ที่มีจิตใจชั่วร้ายถูกผลกรรมตามสนองก็สมควรแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นกิริยาท่าทางของอวี้ซือหรงในยามนี้ ไหนเลยจะเหมือนกุลสตรีจากสกุลใหญ่ ดูเหมือนหญิงหยาบช้าปากคอเราะรายเสียมากกว่า จะทำให้ผู้คนรู้สึกดีด้วยได้อย่างไร
“นี่คือคุณหนูใหญ่สกุลอวี้ที่กล่าวกันว่าเป็กุลสตรีเรียบร้อยสง่างามไม่ใช่หรือ ไฉนจึงมีจิตใจโเี้ผิดมนุษย์เช่นนี้เล่า”
“ข่าวลือนี่เชื่อไม่ได้จริงๆ คุณหนูสกุลอวี้ผู้นี้เป็ที่กล่าวขวัญว่าเป็สตรีที่งดงามอ่อนหวานที่สุดในเมืองหลวงเชียวนา”
“หากแบบนี้เรียกว่าสง่างาม สุภาพเรียบร้อยแล้วล่ะก็ ข้ายอมให้บุตรสาวที่บ้านเป็ตัวของตัวเองแบบเดิมดีกว่า”
“สกุลอวี้ยังกล้าพูดอีกว่าเป็ผู้สืบทอดหลักปรัชญาความคิดของเมธีโบราณ แม้แต่ธิดาสายตรงยังอบรมเลี้ยงดูจนกลายเป็แบบนี้ บุตรธิดาที่เกิดจากอนุภรรยาก็คงไม่ต้องเอ่ยถึงแล้ว ใครแต่งบุตรสาวบ้านนี้มาเป็สะใภ้คงโชคร้าย สตรีอื่นๆ ในเรือนหลังมิอายุสั้นกันหมดหรือ”
ผู้ที่มาพักอยู่ที่นี่มิได้มีเพียงสกุลฉินและสกุลอวี้เท่านั้น เมื่อมีเหตุการณ์ทะเลาะกันเสียงดังจะไม่ดึงดูดผู้คนให้เข้ามาดูได้อย่างไร ขณะที่ทั้งสองตระกูลมิได้สังเกต ด้านนอกก็มีคนมามุงดูเต็มไปหมด ครั้นได้ยินวาจาของโม่เสวี่ยถง จึงเข้าใจกระจ่าง คำพูดดูิ่เหยียดหยามต่อสกุลอวี้จึงลอยมาเป็ระยะ ล้วนแต่มีความเห็นว่าสกุลอวี้ทำร้ายคนไม่สำเร็จกลับกลายเป็กรรมตามสนองย้อนมาทำร้ายตนเอง
เฉินซื่อและอวี้ซื่อโมโหจนเกือบเป็ลม หากชื่อเสียงทำนองนี้แพร่งพรายออกไป ต่อไปใครจะกล้าแต่งบุตรสาวสกุลอวี้
อวี้ซือหรงเข่นเขี้ยวจนกรามแทบป่น แต่นางรู้ว่าแสดงท่าทีแข็งกร้าวตามความเคยชินของตนเองไม่ได้ ยามนี้มีผู้คนมากมายกำลังจับจ้องอยู่ นางต้องแสร้งทำตัวเป็สตรีอ่อนแอเพื่อร้องขอความเห็นใจ ถึงอย่างไรทุกคนก็เห็นอยู่ว่านางเป็ผู้ได้รับาเ็ เมื่อคิดถึงจุดนี้ก็รีบเงยหน้ามองโม่เสวี่ยถงด้วยน้ำตาคลอเบ้า
“น้องหญิงถง เ้ากล่าวแบบนั้นไปได้อย่างไร เห็นอยู่ชัดๆ ว่าตอนนั้นเ้ายืนอยู่หลังข้า ข้าไปถึงที่นั่นก่อน เ้าถึงตามมา สาวใช้เ่าั้ล้วนมองเห็น แล้วไฉนเ้าจึงตลบเื่กลับจนกลายเป็เช่นนี้เล่า น้องหญิงถง แม้จะริษยาเื่ข้ากับพี่ชายเซวียนก็ไม่อาจทำเช่นนี้ พวกเราสองคนต่างรักเ้าเหมือนน้องสาวแท้ๆ ด้วยใจจริงนะ”
คำกล่าวนี้ทำให้สายตาของทุกคนย้อนกลับไปหาโม่เสวี่ยถงด้วยความแคลงใจ
ก่อนหน้านี้โม่เสวี่ยถงกล่าวว่าไม่มีความแค้นใดต่ออวี้ซือหรง จึงไม่มีเหตุผลจะทำร้ายนาง บัดนี้คำพูดของอวี้ซือหรงชี้นำว่าเพราะโม่เสวี่ยถงริษยานางจึงลงมือทำร้าย จึงมิใช่ไม่มีความแค้นดังที่นางว่าไว้
“คุณหนูของเราไปถึงก่อน แล้วจึงเรียกคุณหนูโม่เข้าไปดูไผ่ม่วงเ้าค่ะ”
“คุณหนูของเราไปถึงก่อนจริงๆ โม่หลันกับโม่เยี่ยก็เห็น ตอนนั้นพวกเรายืนอยู่ห่างจากคุณหนูสองคนไม่กี่ก้าว เห็นทุกอย่างชัดเจน” สาวใช้สองคนของอวี้ซือหรงคุกเข่าเป็พยานให้เ้านายตน คิดว่าอวี้ซือหรงาเ็หนักขนาดนั้น กลับไปคงไม่ไว้ชีวิตพวกนางแน่ ไหนเลยจะกล้าไม่ไหลตามน้ำเชื่อฟังคำพูดของอวี้ซือหรง
“โม่หลัน โม่เยี่ย พวกเ้าว่าอย่างไร คุณหนูอวี้ไปถึงก่อนใช่หรือไม่” ดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่าฉินที่มองโม่เสวี่ยถงนิ่งขรึมลงหลายส่วน มุมปากเหยียดขึ้นดูเหี้ยมเกรียม หากโม่เสวี่ยถงทำเื่ร้ายกาจเช่นนั้นจริงๆ นางก็จะไม่ละเว้นเด็ดขาด
“เรียนฮูหยินผู้เฒ่า สถานที่แห่งนั้นคุณหนูอวี้เป็คนพาพวกเราไป หากคุณหนูของเรา้าทำร้ายคุณหนูอวี้มิใช่ว่าควรเป็คนพานางไปยังที่ที่ตนเองวางแผนไว้หรอกหรือเ้าคะ หรือว่าเพิ่งเกิดความคิดขึ้นฉับพลัน หากเป็เช่นนั้นไฉนจึงได้สมบูรณ์แบบเช่นนี้เล่า ไม่มีพิรุธเลยแม้แต่น้อย” โม่หลันเป็คนรู้จักพูด ค่อยๆ เล่าั้แ่ต้นเื่อย่างชัดเจน
ผู้พาโม่เสวี่ยถงไปก็คืออวี้ซือหรง คนที่คุ้นเคยต่อสถานที่แห่งนั้นก็เป็อวี้ซือหรง หากกล่าวว่าอวี้ซือหรงมีแผนคิดร้ายต่อโม่เสวี่ยถงจะฟังดูมีเหตุผลมากกว่า
ฮูหยินผู้เฒ่าฉินเริ่มอยู่ในสถานการณ์ตัดสินใจลำบาก ฝ่ายอวี้ซือหรงก็ร่ำไห้ดูน่าเวทนาสงสาร ฝ่ายโม่เสวี่ยถงก็ดูใส่ซื่อบริสุทธิ์ไม่เหมือนคนที่จะทำร้ายใครได้ คำพูดสาวใช้สกุลอวี้ก็น่าเชื่อ สาวใช้ของสกุลโม่ก็กล่าวมีเหตุผล แล้วนางควรเชื่อผู้ใดเล่า
“ฮูหยินผู้เฒ่า ซือหรงาเ็ถึงขนาดนี้ยังไม่เพียงพออีกหรือ ถึงกับต้องทำให้ชื่อเสียงของนางด่างพร้อยไปด้วย คิดจะบีบคั้นให้ถึงตายกันเลยหรือไร คุณหนูสกุลโม่ช่างสูงส่งยิ่งนัก เื่ที่ตนเองทำแท้ๆ กลับยัดเยียดไปให้ผู้อื่น คิดจะเอาถึงชีวิต หรือคนสกุลโม่ไม่เห็นกฎหมายบ้านเมืองอยู่ในสายตา” เฉินซื่อขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ตัดสินใจจะกัดโม่เสวี่ยถงไม่ปล่อย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่มีทางจบแบบดีงามได้แล้ว ไม่โม่เสวี่ยถงก็ต้องเป็สกุลอวี้ที่เสื่อมเสียชื่อเสียง
โม่เสวี่ยถงปรายสายตามองเฉินซื่อด้วยแววตาเย็นะเื ตามด้วยอวี้ซื่อที่วางตัวเป็คนนอก และอวี้ซือหรงที่โผเข้ากอดมารดาร้องไห้อย่างสิ้นหวัง ริมฝีปากพลันผลิยิ้มเยาะหยัน
“ความหมายของเฉินฮูหยินก็คือ หากข้าไม่รับว่าผลักคุณหนูอวี้ก็ถือว่าเป็การบีบคั้นให้นางตายกระนั้นหรือ? คุณหนูอวี้ ตอนนั้นแน่ใจหรือว่าข้าอยู่หลังท่าน”
เมื่อได้ยินคำถามของโม่เสวี่ยถง อวี้ซือหรงก็เงยหน้าขึ้นทันที “ตอนนั้นข้ายืนอยู่ที่นั่นจะไม่รู้ได้อย่างไร หรือว่าข้าโง่เง่าถึงขั้นแม้แต่ถูกเ้าผลัก ตนเองก็ไม่รู้เื่ ข้ามิได้ตาบอด”
“ถงเอ๋อร์ เ้ามีหลักฐานหรือไม่” ฮูหยินผู้เฒ่าฉินเอ่ยถามสีหน้านิ่ง
โม่เสวี่ยถงหัวเราะ ริมฝีปากคลี่ยิมบางๆ แล้วกล่าวอย่างสง่าผ่าเผย “ท่านยายคิดว่าข้าไม่มีหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้หรือเ้าคะ แล้วถ้าข้ามีทั้งพยานบุคคลและพยานวัตถุเล่า” ใบหน้าของนางยังคงไม่เปลี่ยนสี ค่อยๆ กล่าวอย่างใจเย็น ดูสงบนิ่งเป็ธรรมชาติ แต่คำกล่าวของนางกลับสั่นะเืทุกสิ่ง
“เป็ไปไม่ได้ เ้าไม่มีทางมีหลักฐาน ที่นั่นไม่มีใครเลย จึงไม่อาจมีพยานบุคคล” อวี้ซือหรงหัวใจบีบรัด ร้องโวยวายออกมาอย่างลนลาน
“คุณหนูอวี้ทราบได้อย่างไรว่าไม่มี หรือว่าท่านจัดการทุกอย่างไว้เรียบร้อยหมดแล้ว เมื่อครู่คุณหนูเพิ่งกล่าวเองว่าข้าอยู่ด้านหลังของท่าน รอยเท้ายามที่ท่านลื่นล้มลงไปก็ยังอยู่ หรือว่านั่นมิใช่พยานวัตถุ คุณหนูอวี้เตรียมการไว้ทุกอย่างเสร็จสรรพ เดิมทีคิดว่ารอทำร้ายข้าเสร็จก่อนแล้วค่อยกลับไปจัดการทำลายร่องรอยที่เป็หลักฐาน แต่คิดไม่ถึงว่าตนเองจะเป็ผู้เคราะห์ร้ายเสียเอง จึงยังไม่ทันไปจัดการกับร่องรอยเ่าั้ใช่หรือไม่ แค่ทุกคนได้เห็นก็จะเข้าใจกระจ่าง แล้วจะมีสิ่งใดกล่าวอ้างได้อีกเล่า” โม่เสวี่ยถงกล่าวเน้นทีละคำอย่างชัดเจน ริมฝีปากผลิยิ้มอ่อนบางยังคงเต็มไปด้วยความใสซื่อบริสุทธิ์ แต่เมื่อมาอยู่ในสายตาของอวี้ซือหรงกลับกลายเป็ความน่ากลัวชวนขนลุกเหมือนรอยยิ้มของภูตผี
รอยเท้า... รอยเท้า... นางลืมเื่นี้ไปได้อย่างไร มือเท้าพลันเย็นเฉียบปานน้ำแข็งในชั่วพริบตา พื้นดินตรงนั้นอ่อนนุ่ม มีใบไม้ร่วงหล่นอยู่ที่พื้นมากมาย หากล้มลงไปก็ย่อมทิ้งรอยเท้าไว้ที่พื้น ยามนั้นโม่เสวี่ยถงอยู่ด้านหน้าของตนเอง รอยที่นางล้มก็ย่อมต้องมีอยู่ แน่นอนว่ากระทั่งเวลานี้ร่องรอยทุกอย่างล้วนยังอยู่ที่นั่น แล้วจะไม่อาจใช้เป็วัตถุพยานว่านางโกหกได้อย่างไร
อวี้ซือหรงสั่นสะท้านไปทั้งตัวราวกับถูกจี้ด้วยสะเก็ดไฟ
“่เวลาที่อวี้ซือหรงได้รับาเ็ก็ผ่านมาสักพักหนึ่งแล้ว หากคุณหนูโม่เป็ผู้วางแผนคิดถึงเื่เหล่านี้ได้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเวลาไปจัดการทุกอย่าง เพื่อใช้เป็หลักฐานพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง” เฉินซื่อรู้ว่าแย่แน่แล้ว ทำให้นางร้อนใจยิ่ง แต่ยามนี้ทำได้เพียงกัดฟันทน เป็ตายอย่างไรก็ไม่ยอมรับ
ฮูหยินผู้เฒ่าฉินกระแอมไอเบาๆ ขณะที่คิดจะเอ่ยวาจากลับได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งกล่าวขึ้นเรียบๆ “หากข้ายินดีเป็พยานให้ ไม่ทราบว่าพอจะนับเป็พยานบุคคลได้หรือไม่ หรือว่าพวกเ้าจะนับข้าเป็บุคคลที่คุณหนูโม่เตรียมไว้เช่นกัน”
กลุ่มคนต่างกระจายออกเป็สองฝั่ง สตรีผู้หนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าผู้คน นางสวมชุดกระโปรงแพรต่วนสีม่วงปักลายร้อยผีเสื้อล้อบุปผาอย่างประณีตงดงาม คาดเอวด้วยสายรัดหยกมรกตแขวนพู่หยกประดับชิ้นหนึ่ง คลุมไหล่ด้วยแพรโปร่งสีม่วงอ่อนปักดิ้นทอง เรือนผมสีดำมุ่นมวยงามเยี่ยงผู้สูงศักดิ์ ลำคอระหงขาวผุดผาด มองดูคราแรกเหมือนสตรีที่อายุเพียงยี่สิบกว่าปี แต่หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนกลับดูเหมือนว่าจะอายุไม่น้อยแล้ว ดวงตาวาววับเป็ประกายเจิดจ้า แผ่รังสีสูงศักดิ์จากเบื้องลึกของดวงตาออกมา ทุกอากัปกิริยาล้วนงามสง่าไร้ที่ติ
ทั้งเรือนร่างงดงามละเมียดละไมอยู่เหนือสามัญ
“ฮูหยินท่านนี้คือ...” ฮูหยินผู้เฒ่าฉินมุ่นคิ้วขมวด สายตาจับจ้องพู่หยกประดับที่สายคาดเอว ทันใดนั้นใบหน้าก็พลันเปลี่ยนสี กิริยาเปลี่ยนเป็แสดงความนอบน้อมออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
โม่เสวี่ยถงก้าวถอยห่างออกไปสองก้าว ก้มหน้าหลุบตาลง ที่แท้ก็เป็องค์หญิงพระขนิษฐาของฝ่าา
“ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ต้องใส่ใจหรอกว่าข้าคือผู้ใด ยามนั้นข้าเดินไปถึงที่นั่น เห็นอย่างชัดเจนว่าคุณหนูอวี้ผู้นี้เรียกให้คุณหนูโม่เข้าไปดูไผ่ม่วง จากนั้นคุณหนูอวี้ก็เปลี่ยนตำแหน่งมายืนด้านหลังคุณหนูโม่ แล้วพุ่งตัวชนไปด้านหน้า แต่ดูเหมือนคุณหนูโม่จะรู้สึกตัว คิดจะหลบ แต่ไม่ทราบว่าไปสะดุดอะไรเข้าจึงล้มลงก่อน คุณหนูอวี้จึงชนกับชะง่อนหินูเาจำลองเข้าพอดี เื่ราวที่อยู่เื้ั เชื่อว่าทุกคนคงกระจ่างใจแล้ว” องค์หญิงกวาดสายพระเนตรไปยังผู้คน เมื่อไปถึงโม่เสวี่ยถงก็แย้มพระสรวลอย่างอ่อนโยน
“เ้าพูดโกหก เ้าไม่เห็นอะไรสักหน่อย เป็ไปไม่ได้ที่จะมีคน ข้าให้คนไปตรวจสอบดูหมดแล้ว...” พออวี้ซือหรงได้ยินเช่นนั้นก็ร้อนใจ ลั่นวาจาออกมาอย่างเหิมเกริม โดยไม่สนใจาแบนใบหน้าอีกต่อไป นางไม่คิดว่าจะมีใครออกมาเป็พยานให้โม่เสวี่ยถงจริงๆ จึงโต้ตอบออกไปทันควัน
ยังไม่ทันกล่าวจบ ดวงตาพลันเบิกกว้าง...
ยังมีสิ่งใดไม่ชัดเจนอีกเล่า สายตาของทุกคนล้วนมองมาที่สองแม่ลูกอย่างดูิ่เหยียดหยัน
ยามนี้เฉินซื่อนึกได้แล้วว่าบุคคลผู้นี้มีสถานะเป็องค์หญิง ไหนเลยจะกล้าต่อความ คุกเข่าลงตัวสั่นงันงก
“เฉินฮูหยิน หากจะหย่อนการอบรมบุตรสาวไปบ้างก็ไม่เป็ไรหรอกนะ แต่ไม่อาจให้กลายเป็คนมีจิตใจโเี้อำมหิต คิดทำร้ายคนและทำร้ายตนเองเช่นนี้ หนำซ้ำเื่มาถึงขั้นนี้แล้วก็ยังไม่รู้สำนึก หรือว่าจะต้องรอให้เดือดร้อนไปทั้งสกุลอวี้ก่อนจึงจะยอมเลิกรา” องค์หญิงิจูปรายตามองเรียบๆ แล้วยั้งไม่ให้เฉินซื่อคุกเข่า นางแค่ออกมาเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์ ไม่คิดเผยฐานะให้ทุกคนล่วงรู้