กลับมายังปัจจุบัน
ตอนนี้ในห้องประชุมถกเถียงกันเสียงดัง ทุกคนล้วนโกรธเกรี้ยว อยากจะลากเ้าพวกตระกูลเฉินนั่นมาตีให้หัวร้างข้างแตกเสีย
ตระกูลจิ่งมีกิจการใหญ่โต สมาชิกในตระกูลมีมาก หากไม่รวมพวกหญิงรับใช้และคนรับใช้ แค่เหล่าเ้านายก็มีมากกว่าร้อยคนแล้ว ถึงแม้จะบอกว่าูเาที่อาศัยอยู่นี้จะกว้างใหญ่และมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ แต่ต่อให้จะกว้างใหญ่เท่าใดก็ไม่เพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตอยู่ของคนจำนวนมากขนาดนี้อยู่ดี เสื้อผ้าและอาหารการกินต่างๆ ส่วนใหญ่แล้วตระกูลจิ่งไม่ได้เป็คนผลิตเอง สิ่งเหล่านี้เป็ของที่จำเป็สำหรับการใช้ชีวิตจึงต้องมีแผนจัดเตรียมไว้
เมื่อก่อนเื่พวกนี้จะมีกลุ่มพ่อค้าจัดการหามาให้ตามกำหนด พวกเสื้อผ้าอย่างมากก็จะเข้ามาครึ่งเดือนต่อครั้ง แต่พวกวัตถุดิบประกอบอาหารนั้นต้องเรียกให้พวกพ่อค้ามาส่งทุกสามถึงห้าวัน หากเป็ในฤดูร้อนก็จะบ่อยครั้งกว่านี้
แต่่นี้เป็เพราะเฉินหวางทั้งสองตระกูลยึดพื้นที่ด้านล่างูเาไว้ โดยเฉพาะตระกูลเฉินที่ทั้งกดดันและฉกชิงวิ่งราวในที่ลับ ทำให้พวกพ่อค้าพากันไม่กล้าขึ้นเขามา
พวกตระกูลเฉินนั้นใช้ความหน้าด้านหน้าทนของตัวเองอย่างเต็มที่ เป็นิสัยเลวทรามหยาบคายที่สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นอย่างแท้จริง พอส่งคนไปตรวจดูก็หลบหนี พอไม่ส่งคนมาก็ลงมืออีก แถมทำแล้วก็ยังไม่ยอมรับ พอจับได้คาหนังคาเขาก็เอาแต่อ้างไร้สาระอย่างหน้าด้านหน้าทน คนที่ทำล้วนเป็พวกคนรับใช้ตัวเล็กๆ ส่วนพวกเ้านายนั้นไม่ออกหน้ามาทำ คนตระกูลจิ่งมีนิสัยเมตตารักสงบเฉกเช่นคนเป็หมอ ทุกครั้งที่ถูกพวกนี้อ้างไร้สาระจนหมดคำจะตอบโต้และรู้ทั้งรู้ว่าพวกเ้านายในตระกูลเฉินเป็คนสั่ง แต่กลับทำได้เพียงอดทนไว้เท่านั้น
ครั้งสองครั้งยังพอทน แต่พอหลายครั้งเข้าคนตระกูลจิ่งก็เริ่มทนไม่ไหว รู้สึกอัดอั้นอยู่ในใจ อย่างไรเสียก็เป็ตระกูลที่มีประวัติความเป็มายาวนานนับพันปี เคยต้องได้รับความอัปยศขนาดนี้เมื่อไรกัน วันนี้มาถูกพวกอันธพาลพวกนี้ปั่นหัว...เป็ผู้ใดก็คงทนไม่ได้ทั้งนั้น
หลังจากประชุมกัน แรกเริ่มคนตระกูลจิ่งก็แก้ปัญหาด้วยการเรียกพ่อค้ามาให้น้อยครั้งลงจะได้ลดการปะทะให้มากที่สุด แล้วก็ส่งลูกหลานตระกูลจิ่งไปคุ้มกันสินค้าขึ้นเขา ถ้าหากคนตระกูลเฉินไม่ยอมรับว่าเป็ตัวเอง เช่นนั้นเราก็ถือเสียว่าพวกนั้นเป็แค่อันธพาลทั่วไป อัดไปสักรอบไม่ต้องยั้งมือจะได้เป็การระบายความแค้นด้วย เช่นนี้พวกตระกูลเฉินถึงได้ยอมอ่อนข้อลง
เพราะบางเื่นั้นกระทำในที่ลับได้ แต่หากนำมาทำในที่แจ้งก็จะกลายเป็การตัดสัมพันธ์ขาดสะบั้นจนถึงขั้นเปิดศึกได้เลยทีเดียว ตอนนี้เฉินหวางจิ่งสามตระกูลล้วนเป็ตระกูลใหญ่ต่างก็ถ่วงสมดุลกันไปมา สำหรับความสมดุลในตอนนี้ยังไม่อาจทำลายได้ แล้วก็ไม่มีผู้ใดกล้าทำลายอีกด้วย
แต่ว่าครั้งนี้ชัดเจนว่า้าทำให้เป็เื่ใหญ่แล้ว
ตอนนี้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ตระกูลจิ่งพยายามลดการซื้อหาของต่างๆ ลง เสื้อผ้าและวัตถุดิบต่างๆ ล้วนเริ่มไม่พอใช้จึงได้จัดคาราวานขนาดใหญ่ไปซื้อหาข้าวของจำนวนมากเพื่อให้คนตระกูลจิ่งพอใช้ไปอีกเกือบๆ สองถึงสามเดือน มีทั้งฟืน เสื้อผ้าอาภรณ์ เกลือและวัตถุดิบประกอบอาหาร มีทุกอย่างโดยไม่ขาดตกบกพร่อง และเพื่อป้องกันการถูกลักขโมยจึงได้ส่งผู้คุ้มกันที่ค่อนข้างมีฝีมือร่วมขบวนไปด้วยหลายคน เห็นได้ว่าค่อนข้างให้ความสำคัญเป็อย่างมาก
เดิมทีคิดว่าพอเห็นคาราวานใหญ่ขนาดนี้ ตระกูลเฉินจะอย่างไรก็คงจะเพลาๆ ลงบ้าง กลับไม่คิดว่าพวกนั้นจะพุ่งเข้าใส่ตรงๆ
พวกเฉินเค่อพักอยู่ที่ตระกูลจิ่งเกือบครึ่งเดือน แต่กลับไม่เห็นความคืบหน้าใดๆ ในบรรดาสามตระกูลนี้ก็เห็นจะมีแต่ตระกูลจิ่งที่ตั้งใจตัวฆาตกรจริงๆ ส่วนผู้อื่นล้วนคิดแต่จะจับปลาในน้ำขุ่น1 ทุกอย่างยืดเยื้อไปมาจนทำให้ทุกคนเริ่มหมดความอดทน แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มลงมืออย่างไร อย่างไรเสียเฉินเค่อกับหวางชวนก็เป็ถึงผู้นำตระกูล เื่ราวที่ต้องจัดการในตระกูลยังมีอีกมาก คงไม่สามารถรั้งอยู่ในตระกูลจิ่งได้ตลอด จึงทำได้เพียงกลับตระกูลตัวเองไปก่อนแล้วค่อยวางแผนใหม่
แน่นอนถึงแม้ว่าเฉินเค่อกับหวางชวนจะจากไปแล้ว แต่ก็ยังเหลือกองกำลังขนาดใหญ่และพวกหัวหน้าที่พอจะมีฝีมือเอาไว้ นิ่งรอดูการเปลี่ยนแปลงเพื่อหาจังหวะลงมือ
ทั้งสามตระกูลมีการโต้ตอบกันไปมา วุ่นวายอยู่ตลอด ตระกูลจิ่งถึงแม้จะอยู่ในเขตอิทธิพลของตัวเองก็ยังต้องยอมทน รู้สึกอัดอั้นตันใจเป็ที่สุด
เดิมทีไม่รู้ว่าเื่นี้จะจบลงเมื่อไร คิดว่าจะหยอกล้อกันไปมาถึงปีหน้าเลยหรือไม่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเริ่มเอาจริงขึ้นมาแล้ว!
ไม่รู้ว่าเ้าเฉินเปิ่นหวานั่นถูกกระตุ้นอะไรเข้าถึงได้บุกตะลุยอย่างเปิดเผยจนรู้กันไปทั่วเช่นนี้ หรือนี่จะเป็ความตั้งใจของเฉินเค่อ?
จิ่งเฟิงกั๋วะเิอารมณ์ คิดอยากจะตบโต๊ะอีก แต่กลับถูกจิ่งเว่ยหวาส่งสายตาห้ามไว้ สำหรับดาวปัญญา2 ของตระกูลนั้น...จิ่งเฟิงกั๋วก็ไม่กล้าทำตัวเหิมเกริมใส่เขาจึงเก็บอารมณ์แล้วนั่งลงไปเช่นเดิม จิ่งเว่ยหวาแสดงออกว่าให้จิ่งหงหาที่นั่งก่อน แล้วจึงค่อยเริ่มพูดอย่างช้าๆ ว่า “เฉินเปิ่นหว่าลงมือด้วยตัวเองใช่หรือไม่?”
จิ่งหงรีบตอบว่า “ขอรับ เขานำคนมาด้วยตัวเอง อีกทั้งจำนวนคนยังไม่น้อยอีกด้วย ไม่เช่นนั้นลูกหลานในตระกูลก็คงไม่าเ็”
จิ่งเว่ยหวาขมวดคิ้ว คนที่ถกเถียงกันอยู่ในห้องประชุมก็เริ่มเงียบเสียงลง ไม่พูดอะไรอีก
“จิ่งฝาน เ้าคิดเห็นอย่างไร?”
เมื่อถูกจิ่งเว่ยหวาเรียกชื่อกะทันหัน สีหน้าของจิ่งฝานก็ไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย อารมณ์ในแววตาเรียบเฉยเสียยิ่งกว่าจิ่งเว่ยหวาเสียอีก ราวกับเป็คนนอก แต่ไม่ว่าสีหน้าจะเ็าสักเพียงใดก็ยังคงตอบคำถาม “มีบางคนรอไม่ไหวจึงอยากจะยื่นมือเข้ามาสอด”
คิ้วหนาของจิ่งเฟิงกั๋วเคร่งเครียดขึ้น สีหน้าหนักอึ้งยิ่งกว่าเดิม
จิ่งเหวินซานถามอย่างสงสัย “มีคนยุยงตระกูลเฉินหรือ? เป็ผู้ใด?”
จิ่งฝานไม่มองเขา มือกุมหยกประดับข้างเอวเล่นไปมาอยู่ในมือ ท่าทางสบายๆ เชื่องช้า ชัดเจนว่าไม่อยากต่อคำ ราวกับเยาะหยันความโง่งมของเขา ท่าทางเช่นนี้ทำให้จิ่งเหวินซานโกรธจัด แล้วจิ่งเว่ยหวากลับพูดขึ้นว่า “เฉินเค่อเป็คนแข็งนอกอ่อนใน ภายนอกอาจจะพูดจาเกรี้ยวกราด แต่พอจะทำอะไรขึ้นมาจริงๆ เขายังต้องคิดหน้าคิดหลังก่อนอยู่ดี คนที่สามารถยุยงให้เขาบ้าคลั่งขึ้นมาโดยไม่เกรงกลัวสิ่งใดเช่นนี้เกรงว่าคงมีเื้ัที่แข็งแกร่งมากแน่”
จิ่งเฟิงกั๋วยังคงขมวดคิ้วอยู่ “ตามที่พวกเราได้สืบมา คนที่อยู่เื้ัเื่นี้คงเป็ตระกูลทางไม่ผิดแน่ แต่คนที่จะไปติดต่อกับตระกูลเฉินอย่างเปิดเผยนั้นน่าจะเป็ตระกูลสวี”
ตระกูลทางแอบซ่อนตัวอย่างลึกลับ แต่่ก่อนหน้านี้กลับปรากฏตัวออกมา ตระกูลทั้งหลายต่างก็เริ่มรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขาจึงส่งคนเข้าไปสืบนับไม่ถ้วน คิดหาทางทำทุกวิถีทางเพื่อแฝงตัวเข้าไปยังภาคกลาง...เข้าไปยังทางสวีสองตระกูลนี้เพื่อจะได้สืบให้รู้ชัดกันไปเลย เมื่อพยายามอย่างหนักทุกวิถีทาง สุดท้ายก็สืบรู้ได้เพียงว่าตระกูลทางนั้นไม่ธรรมดา แม้แต่ตระกูลสวียังต้องเคารพนบนอบต่อพวกเขา ถึงขนาดถือว่าพวกเขาเป็นายตนเป็บ่าว แต่เื่ที่ว่าเขาไม่ธรรมดาตรงไหนนั้นทุกคนก็ยังงุนงงอยู่
แต่ความงุนงงนี้ก็ทำให้ผู้คนสับสนได้ไม่นาน ตลอดเดือนสองเดือนมานี้ตระกูลทางดึงตระกูลต่างๆ บนแผ่นดินใหญ่ไปเป็พวกอย่างบ้าคลั่ง ถึงแม้จะบอกว่าเป็แค่ตระกูลเล็กๆ ไร้ชื่อเสียง แต่ถ้ามีจำนวนมากขึ้นก็น่ากลัวเหมือนกัน ตอนนี้เครือข่ายยิ่งใหญ่จนปกคลุมไปถึงครึ่งแผ่นดินใหญ่แล้ว ถึงแม้เื่พวกนี้จะไม่ได้ทำอย่างเปิดเผย แต่บรรดาพวกตระกูลใหญ่ๆ ที่มองเื่ต่างๆ ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ในใจก็รู้แล้วว่าไม่ธรรมดา
อีกอย่างถ้าตระกูลทาง้าจะดึงคนมาเป็พวกก็ต้องให้ประโยชน์แก่พวกเขา พอถึงจุดนี้แน่นอนว่าต้องเปิดเผยวรยุทธ์ของตระกูลทางออกมาแน่ แต่ว่านี่ก็แค่เหลี่ยมมุมเดียวจากูเาน้ำแข็งทั้งก้อนเท่านั้น ตระกูลทางหาได้สนใจสักนิดไม่
ตอนนี้ทั้งแผ่นดินใหญ่มีคลื่นมหึมาซัดอยู่ใต้น้ำแล้ว มีทั้งคนที่รอดูการปะทะของผู้อื่นและคนที่กำหมัดถูมือรอคอย
จิ่งเฟิงกั๋วถอนหายใจ “ไม่ควรจัดงานประลองยุทธ์ขึ้นมาแต่แรกเลยจริงๆ ตระกูลทางนี่ชัดเจนแล้วว่า้าจัดการกับตระกูลจิ่งของเราเพื่อเป็การเปิดฉาก ถือเป็หินก้อนแรกเพื่อเป็ฐานให้พวกเขาเหยียบขึ้นไปเพื่อทั้งแผ่นดินใหญ่”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จิ่งเหวินซานก็หดคอ พยายามลดความมีตัวตนอยู่ของตนเอง
แต่จิ่งเว่ยหวานั้นกลับมีสีหน้าเรียบเฉย “เื่มันเกิดขึ้นแล้วจะโอดครวญเสียใจก็ไม่ได้อะไร แผ่นดินใหญ่นี้แบ่งแยกมานานขนาดนี้ อย่างไรเสียก็ต้องมีคนที่มีความทะเยอะทะยานและความสามารถมารวบรวมให้เป็หนึ่งเดียว แต่จะเป็ตระกูลทางหรือไม่ก็ยังไม่แน่หรอกกระมัง”
“แต่ตอนนี้สถานการณ์อันตรายมาก ตระกูลทางคิดจะลงดาบกับตระกูลเราเป็แห่งแรก และตอนนี้เราก็อยู่ที่ปลายดาบนั้นแล้ว คนน้อยย่อมแพ้คนมากอยู่ดี!” คนที่นั่งอยู่ในห้องประชุมต่างมีสีหน้าเป็ทุกข์
จิ่งเว่ยหวาหัวเราะ “ตระกูลทางอยากเป็ใหญ่เพียงหนึ่งเดียว ไปหลอกพวกตระกูลเล็กๆ มาเป็พวกก็คงได้ แต่พวกตระกูลหวาง หลัว เซี่ย หลี่เหล่านี้มีตระกูลใดไม่ใช่ปีศาจร้ายบ้าง ตระกูลทางมีความทะเยอทะยานได้ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้อื่นจะมีบ้างไม่ได้”
อย่างไรเสียจิ่งเฟิงกั๋วก็เป็คนที่มีความรู้และประสบการณ์มาก ตอนนี้เขาเองก็คลายหัวคิ้วลงแล้ว “หวางชวนเป็คนมีสมอง ทั้งยังมีความทะเยอทะยานอยากด้วย เก่งกว่าตระกูลเฉินที่ทำได้แค่แสดงความเป็อันธพาลนั่นอยู่มากโข”
“นั่นสิ ผู้ใดจะไม่อยากได้ตำแหน่งที่เป็ที่เคารพสูงสุดกัน? ในเมื่อจะเกิดความวุ่นวายแล้วก็ให้มันใหญ่โตกันไปเลยเป็ไร ตระกูลจิ่งเราเองก็หลบเร้นจากโลกภายนอกมานานพอดูจนแทบจะไม่มีใจใฝ่หาความก้าวหน้าใดๆ แล้ว ในตระกูลมีเด็กๆ มากถึงเพียงนี้ก็ถึงเวลาให้ออกไปฝึกฝน เผชิญหน้ากับโลกภายนอกบ้างแล้ว”
จิ่งเว่ยหวาพูดจบ ทุกคนก็เงียบไปนาน ถึงแม้พวกที่อายุมากแล้วจะอึ้งไปเล็กน้อย แต่พวกที่อายุยังน้อยต่างแววตาเปล่งประกาย ท่าทางฮึกเหิมยิ่ง
หาได้สนใจแต่ละคนที่มีสีหน้าแตกต่างกันไปไม่ จิ่งเว่ยหวาพูดช้าๆ ว่า “พวกเราไม่ได้อ่อนแอ ตระกูลเฉินชิงอะไรไป เช่นนั้นก็ไปชิงกลับมาอย่าให้ขาดแม้แต่อย่างเดียว เื่นี้...จิ่งฝาน เ้าไปจัดการ”
จิ่งฝานเงยหน้า ส่งเสียงดังอืมออกมาทีหนึ่ง
จิ่งเหวินซานพ่อลูกมีท่าทางอยากจะพูดอะไรแต่ก็พูดไม่ออก เื่ที่ได้ออกหน้าเช่นนี้ถึงแม้จะค่อนข้างอันตราย แต่ก็เป็โอกาสอันดี หากทำได้ก็จะสามารถสร้างชื่อเสียงและความน่าเกรงขามได้
“ท่านผู้าุโเฒ่า เื่นี้จะอย่างไรให้จิ่งเคอไปทำดีกว่า อย่างไรเสียจิ่งฝานก็เป็นายน้อย ดูแลสั่งการก็พอแล้ว เื่เล็กๆ เช่นนี้ไม่ต้องไปลำบากเขาหรอก” จิ่งเหวินซานยื่นหน้าเข้าไปแล้วยิ้มอย่างประจบประแจง
จิ่งเว่ยหวาเหล่ตาไปทางเขาทีหนึ่งแล้วไม่สนใจอีก “สองสามวันมานี้ทุกคนจะปล่อยตัวตามสบายอีกไม่ได้แล้ว หลังจากนี้ข้าจะลองไปคุยกับตระกูลหวางดู ตระกูลหวางและเฉินทั้งสองตระกูลทำราวกับภาคตะวันออกของเรานี้ไม่มีคนถือครองอยู่ คิดว่า่นี้พวกเ้าเองก็คงจะคิดทบทวนเกี่ยวกับเื่นี้แล้ว คืนนี้ข้ากับจิ่งฝานจะปรึกษาหารือกันเื่แบ่งเขตให้ทุกคน แต่ละคนดูแลจัดการเขตที่ตัวเองได้ไปให้ดี หากที่ใดมีช่องโหว่ ข้าก็จะไปขอคำอธิบายจากผู้นั้น!”
ประโยคสุดท้ายพูดด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก แต่บรรยากาศรอบตัวนั้นกดดันจนทุกคนหายใจไม่ออก จิ่งเหวินซานหน้าแดงแล้วซีด ซีดแล้วแดงอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าพูดเื่ให้จิ่งเคอไปเอาของกลับมาแทนจิ่งฝานอีก
——
ทุกคนถูกเรียกมาประชุมั้แ่เช้า ตอนเลิกประชุมนั้นก็เลยเวลามื้อเที่ยงไปแล้ว ทุกคนจึงรู้สึกหิวโซ ต่างคนต่างก็รีบกลับเรือนพักไปเพื่อเติมเต็มความ้าของกระเพาะ
จิ่งเว่ยหวาผู้นี้บางทีอาจเป็เพราะตัวเขามีพร์และเฉลียวฉลาดมาแต่เด็ก ดังนั้นเขาจึงไม่เคยใช้อายุมากะเกณฑ์ใคร ั้แ่เขากลับมา ขอแค่มีเื่ให้ต้องอภิปรายกัน ลูกหลานในตระกูลทุกคนที่มีความสามารถโดดเด่นล้วนสามารถมาฟังและเสนอความเห็นได้
ตอนนี้เมื่องานประชุมจบลง จิ่งจื่อก็ยื่นหน้ามาข้างหน้าจิ่งฝานด้วยสีหน้าตื่นเต้น “พี่ฝาน ข้าวเที่ยงข้าขอไปกินที่เรือนท่านได้หรือไม่”
จิ่งฝานรู้จุดประสงค์ของเขาก็ไม่ปฏิเสธ จิ่งจื่อรู้สึกฮึกเหิมเป็อย่างมาก เขาเป็คนที่ไม่เคยยอมอ่อนข้อให้ผู้ใด ถึงตายก็จะไม่ยอมก้มหัวอย่างเด็ดขาด ่นี้ถูกเฉินหวางทั้งสองตระกูลกดหัวจนเกินจะรับไหว วันนี้พวกผู้าุโจึงตัดสินใจให้พวกเขาเอาคืนได้ แล้วจะมีเหตุผลอันใดให้ต้องฝืนทนกันอีก หากไม่จัดการซัดพวกนั้นให้น่วมไปข้าง เขาก็จะเขียนชื่อตัวเองกลับหัวให้ดู!
จับปลาในน้ำขุ่น1 (浑水摸鱼)หมายถึงฉวยโอกาสจากเหตุชุลมุน
ดาวปัญญา2 (智多星)คือฉายาของอู๋ย่ง หนึ่งในตัวละครจากเื่ ‘108 ผู้กล้าเขาเหลียงซาน’ ซึ่งเป็คนที่มีไหวพริบฉลาดหลักแหลมมาก
