ไม่นาน ลุงสือโถวก็สั่งให้คนทำอาหารสองสามอย่าง แล้วนั่งกินกับซ่งอวี้
ทั้งสองเหนื่อยจนใต้ตาคล้ำ แม้แต่กินอาหารก็ไม่รู้รส ทำได้เพียงรอให้ภายในท้องรู้สึกอิ่มแล้วบอกลากัน ต่างฝ่ายต่างไปพักผ่อน
ซ่งอวี้มายังห้องที่อาจารย์ในสำนักศึกษาเตรียมเอาไว้ให้ ข้าวของทุกอย่างภายในห้องล้วนใหม่เอี่ยม ทั้งยังมีคนทำสะอาดให้แล้ว นางไม่ต้องเก็บกวาดอะไรทั้งนั้น สามารถนอนพักได้เลย ภายในห้องไม่มีผู้ใด ในที่สุดซ่งอวี้ก็คลายความระมัดระวังลง ความเหนื่อยล้าปะทุขึ้นมา ทันทีที่ล้มตัวลงนอนก็ผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย
วันที่สอง ซ่งอวี้ถูกเสียงเคาะประตูด้วยความร้อนรนปลุกให้ตื่น นางรีบล้างหน้าล้างตา แล้วเปิดประตู
คนที่ยืนอยู่ด้านนอกคือพี่ชายของปัญญาชนที่หมดสติ ขอบตาของเขาดำคล้ำ ทว่าใบหน้ากลับเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
"ฟื้นแล้ว! น้องชายข้าฟื้นแล้ว! แพทย์ซ่งรีบไปดูอาการเขาเถอะ"
เมื่อคืน เขาทำตามที่ซ่งอวี้บอก เฝ้าไข้น้องชายไม่ห่าง ดังนั้นตอนที่ทุกคนนอนหลับ เขาก็ยังคงนั่งอยู่ข้างๆ เตียงน้องชาย คอยดูแลไม่ห่าง กลัวเหลือเกินว่าน้องชายจะเป็ไข้ขึ้นมาตอนกลางดึก
ยุคสมัยนี้ ปัญญาชนล้วนสุขภาพไม่ดี เพราะเอาแต่นั่งอ่านหนังสือตลอดทั้งวัน แทบไม่ได้ออกกำลังกาย เพียงไม่ได้นอนหนึ่งคืน ขอบตาของเขาก็ดำคล้ำแล้ว
ทว่าเขาไม่รู้สึกเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามเขารู้สึกมีพลังยิ่งนัก เพราะหลังจากน้องชายหมดสติไปนาน ในที่สุดก็ฟื้นแล้ว
ซ่งอวี้เคยกำชับว่าหากน้องชายฟื้นแล้วต้องต้มยาไปป้อน จะสามารถช่วยให้เขาฟื้นฟูได้ หลังจากน้องชายดื่มยาเข้าไป สีหน้าก็ดีขึ้นเล็กน้อย เวลานี้น้องชายได้สติแล้ว ทั้งยังไม่ร้องโอดครวญ อีกทั้งแผลที่เย็บเมื่อวาน เืก็หยุดไหลแล้ว
แม้ดูแล้วอาการจะดีขึ้น ทว่าหากซ่งอวี้ไม่ได้มาดูอาการให้ เขาก็ยังไม่คลายกังวล ด้วยเหตุนี้หลังจากรู้ว่านางนอนพักอยู่ที่ใด เขาจึงรีบมาเคาะประตู
ทว่าซ่งอวี้ง่วงนอนยิ่งนัก
นางรักษาคนไข้ตลอดทั้งคืน ทั้งยังท้องว่าง ในตอนหลัง หลังจากกินข้าวอิ่มแล้ว ค่อยเข้านอน ทว่าเวลานั้นก็ดึกมากแล้ว หากลองคำนวณดูเวลา นางเพิ่งนอนไปเพียงสองชั่วยามกว่าเท่านั้น ไม่มากเท่าเวลานอนปกติเสียด้วยซ้ำ
"เขาสติเลือนราง พูดจาไม่รู้เื่หรือไม่?" ซ่งอวี้หาววอดใหญ่จนน้ำตาเล็ด แล้วเอ่ยถาม ทว่าภายในใจของนางกลับกำลังคิดว่า พ่อหนุ่มน้อย ข้าเข้าใจความรู้สึกของเ้าในตอนนี้ดี แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่เ้าจะมารบกวนเวลานอนของข้า
ปัญญาชนไม่รู้ว่าเวลานี้ซ่งอวี้กำลังบ่นเขาในใจ เขาพูดด้วยความดีใจ "ไม่มี ตอนแรกสีหน้าของน้องชายข้าดูไม่ดีเท่าใดนัก คล้ายว่าจะโต้ตอบช้าเล็กน้อย ทว่าหลังจากดื่มยาที่แพทย์ซ่งจ่ายให้ เขาก็ดีขึ้นมาก ทั้งยังพูดคุยกับข้าได้หลายประโยคแล้ว"
"แพทย์ซ่งบอกว่าหลังจากเย็บาแแล้ว มีความเป็ไปได้สูงที่จะเป็ไข้ ข้าจึงคอยเฝ้าอย่างดี น้องชายของข้าไม่มีไข้ ทว่าข้าไม่ใช่แพทย์ ไม่รู้ว่าน้องชายข้าเป็อย่างไรบ้าง จึงอยากเชิญท่านไปดูอาการของเขา"
ปัญญาชนเกาศีรษะด้วยความเกรงใจ มองดูแล้วแตกต่างจากคนเมื่อวานที่เปี่ยมไปด้วยความกังวลอย่างสิ้นเชิง เขาพูดถึงขั้นนี้แล้ว แน่นอนว่าซ่งอวี้ย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ ด้วยเหตุนี้นางจึงกลับเข้าไปในห้อง หยิบกล่องยาของตนเอง แล้วเดินตามปัญญาชนไป
เพราะถึงอย่างไรก็ผ่านไปหนึ่งคืนแล้ว ได้เวลาดูอาการของปัญญาชนที่ได้รับาเ็แล้ว าแของพวกเขาปล่อยไว้นาน ก่อนนางจะมารักษา อาการก็แย่แล้ว หากเวลานี้ไม่ดูแลอย่างดี เกรงว่าจะต้องมีคนตายเพิ่มอีก
การมาของซ่งอวี้ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเหล่าปัญญาชน
เมื่อวานตอนซ่งอวี้เดินเข้ามาไม่มีใครสนใจนาง ทั้งยังไม่มีผู้ใดรู้ว่านางเป็ใคร สีหน้าของทุกคนล้วนนิ่งสงบ สิ้นหวังและใกล้ตาย คล้ายไม้แก่ที่รอคอยความตายเงียบๆ
ทว่าหลังจากผ่านไปหนึ่งคืน สีหน้าของทุกคนก็ล้วนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม โดยเฉพาะตอนที่เห็นซ่งอวี้ พวกเขาต่างพากันร้องเรียก "แพทย์ซ่งมาแล้วหรือ!”
อย่าให้พูดเลยว่าพวกเขากระตือรือร้นเพียงใด
"แพทย์ซ่ง เมื่อวานไม่ได้ต้อนรับท่าน พวกข้าเสียมารยาทยิ่งนัก หากท่านไม่รังเกียจ รอทุกคนอาการดีขึ้นแล้ว พวกเราค่อยออกไปดื่มสุราด้วยกัน ท่านว่าดีหรือไม่?"
เมื่อวานตอนซ่งอวี้เข้ามา ช่างเงียบงันยิ่งนัก มีลูกศิษย์มากมายอยู่ในสำนักศึกษา ทว่าคนที่สนใจนางกลับมีเพียงไม่กี่คน บรรดาปัญญาชนคิดขึ้นได้ว่าเมื่อวานพวกเขาเสียมารยาท ล้วนกระอักกระอ่วน ด้วยเหตุนี้จึงอยากจะชดเชย
ซ่งอวี้ยกมุมปาก หัวเราะให้กับเหล่าปัญญาชน
แท้จริงแล้วปัญญาชนเหล่านี้ช่างน่ารักยิ่งนัก คนที่มีจิตใจดีเช่นนี้ช่างหายาก ทำผิดก็ยอมรับผิด ไม่เฉไฉ ทั้งยังคิดหาวิธีชดใช้ความผิดของตน
ซ่งอวี้ส่ายหน้า "ข้าเป็เพียงสตรี จะออกไปดื่มสุรากับพวกเ้าได้อย่างไร ไม่จำเป็ต้องดื่มสุราหรอก ขอเพียงพวกเ้ารักษาตัวให้ดี รีบกลับมาะโโลดเต้นให้ได้ในเร็ววัน เช่นนั้นก็เป็การตอบแทนที่ดีที่สุดแล้ว"
เหล่าปัญญาชนฟังคำพูดของซ่งอวี้แล้วรู้สึกประทับใจยิ่งนัก ไม่มีข้อเรียกร้องใดๆ นางขอเพียงพวกเขาปลอดภัยและแข็งแรง นี่เป็เื่จริงหรือ? หรือว่าซ่งอวี้เป็พระโพธิสัตว์กวนอิม?
ซ่งอวี้ยืนอยู่ตรงนั้น พูดคุยกับเหล่าปัญญาชนครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็เริ่มตรวจาแของพวกเขา
ความจริงแล้วาแบนร่างกายของทุกคนล้วนแตกต่างกัน อีกทั้งระยะเวลาในการหายก็ต่างกันมาก แต่เมื่อเห็นว่าาแของทุกคนล้วนกำลังดีขึ้น นางก็รู้สึกว่าความเหน็ดเหนื่อยเมื่อวานไม่สูญเปล่า ด้วยเหตุนี้จึงพยักหน้าด้วยความปลื้มปลิ่ม
โดยเฉพาะคนที่าเ็สาหัส เมื่อาแของพวกเขาไม่มีเืออกแล้ว ทั้งยังไม่มีท่าทีว่าจะเป็ไข้ ดีทุกประการ เช่นนั้นก็หมายความว่าพวกเขาทุกคนล้วนพ้นขีดอันตราย ต่อจากนี้ขอเพียงตั้งใจรักษาตัวก็ไม่มีสิ่งใดน่าเป็ห่วงแล้ว
รอยยิ้มบนใบหน้าปัญญาชนแต่ละคนช่างสดใสยิ่งนัก ทว่าหลังจากนั้นครู่หนึ่งก็แปรเปลี่ยนเป็เศร้าหมอง
มีคนพูดพึมพำเสียงเบา "หากสหายคนอื่นๆ ที่ตายไปอดทนได้อีกสองสามวัน ไม่แน่อาจจะมีชีวิตรอดก็ได้"
ชั่วขณะหนึ่ง บรรยากาศก็ตึงเครียดขึ้นมาเล็กน้อย
แม้ปกติพวกเขาจะขัดแย้งกันบ้าง ในบางครั้งก็ถกเถียงกันเพราะความคิดไม่ตรงกัน ต่างฝ่ายต่างไม่ชอบกัน แต่นี่เป็เพียงเื่เล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีผู้ใดอยากจะให้อีกฝ่ายตายเพราะความขัดแย้งเพียงเล็กน้อย เวลานี้เมื่อเห็นอีกฝ่ายตายอย่างอนาถ พวกเขาต่างก็เศร้าสลด
อย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้กระทั่งซ่งอวี้ยังรู้สึกเสียดายที่ต้องสูญเสียปัญญาชนที่าเ็สาหัสเ่าั้ไป รู้สึกว่าตนมาช้าเกินไป หากมาเร็วกว่านี้สองสามวันคงจะดียิ่งนัก
พวกเขาเพิ่งตกอยู่ในห้วงความเศร้าได้ไม่นานก็มีทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วพูดขึ้น "ท่านแม่ทัพหลี่มีคำสั่ง ้าที่จะสืบหาจารชนในสำนัก ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม ประเดี๋ยวจะมีคนเข้ามาสอบปากคำ พวกท่านทุกคนไม่อาจปิดบัง"
อะไรนะ? สอบปากคำเวลานี้เนี่ยนะ?
เหล่าปัญญาชน ต่างโมโหยิ่งนัก
"พวกท่านหมายความเช่นไร? ตอนที่พวกข้าจะเชิญหมอมารักษา พวกท่านไม่ให้พวกข้าออกไป ตอนพวกข้า้าซื้อยาก็ไม่อนุญาตให้พวกข้าออกไป แต่เวลานี้กลับจะให้พวกข้าให้ความร่วมมือ มีสิทธิ์อันใด!"
ความจริงแล้วแม้ตอนแรกทุกคนจะได้รับาเ็แต่ก็ไม่ได้สาหัส ทว่าหลังจากแม่ทัพหลี่ทราบเื่ก็สั่งให้ทหารปิดล้อมสำนักศึกษา ดังนั้นทุกคนจึงเข้ามาในสำนักได้ แต่ออกไปข้างนอกสำนักไม่ได้
พวกเขาเคยจะไปเจรจากับแม่ทัพหลี่แล้ว แต่แม่ทัพหลี่ไม่ให้เข้าพบ พวกเขาไปเช่นไรก็กลับมาเช่นนั้น ไร้หนทาง
ทว่าาแของลูกศิษย์ในสำนักจะรอต่อไปได้อย่างไร? จึงทำได้เพียงไหว้วานชาวนาที่คอยส่งผักให้สำนักศึกษาในทุกวันไปเชิญหมอให้ ขอเพียงช่วยชีวิตลูกศิษย์ในสำนักได้ สำนักศึกษาย่อมตอบแทนอย่างงาม
แต่ว่าชาวนาความรู้น้อย ทั้งยังแต่งกายธรรมดา คนของโรงหมอจึงดูแคลนเขา ขับไล่เขาออกมา บอกว่ารับรักษาเพียงขุนนางที่ร่ำรวยเท่านั้น คนอื่นๆ สวดมนต์ภาวนากันเองเถอะ