ตอนที่ 8
หวงอาเจิน
“แฮ่ก…”
เสียงหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนดังขึ้นทั่วห้องหลังจากเสร็จกิจกรรมดังกล่าว ดวงตากลมปรือปรอยมองภาพคนอายุมากกว่าที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลงยามอีกฝ่ายโน้มตัวลงมาป้อนจูบให้อีกครั้งด้วยจังหวะที่นุ่มนวลลง คล้ายกับกำลังปลอบโยนกันอยู่ในที ััถูกมอบให้อยู่เนิ่นนานก่อนที่าาจะยอมเป็ฝ่ายผละออกมาเสียเอง
กางเกงที่เคยถูกจับถกร่นลงไปถูกาาใส่ให้เป็เหมือนเดิม อาเจินจับชายเสื้อไหมพรมตัวใหญ่แล้วดึงลงปิดหน้าท้องขาวของตัวเอง ไม่รู้ตัวเลยด้วยด้วยซ้ำว่ามันถูกถกขึ้นไปั้แ่เมื่อไร บรรยากาศภายในห้องตกอยู่ในความเงียบสงบ เป็จังหวะเดียวกันที่อาเจินหลุบสายตาลงมองเห็น่กลางลำตัวของอีกฝ่าย พลันใบหน้ารู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาในทันที
“…จะปล่อยไว้แบบนั้นเหรอ”
น้ำเสียงที่เอ่ยพูดฟังดูตะกุกตะกัก ทั้งยังแฝงไปด้วยความประหม่าอยู่ในนั้นเมื่อเห็นว่าส่วนนั้นของาายังคงชูชันดันกางเกงเนื้อหนาขึ้นมาเป็ลำอย่างเห็นได้ชัด กลุ่มเส้นผมสีเทาชื้นเหงื่อถูกเสยขึ้นไปอย่างลวก ๆ ทั้งร่างสูงที่เอ่ยตอบอย่างไม่ค่อยใส่ใจเท่าไรนัก แม้ว่าจังหวะการหายใจจะเริ่มถี่กระชั้นขึ้นกว่าปกติด้วยแรงอารมณ์
“เดี๋ยวไปทำในห้องน้ำ”
“…” อาเจินทำท่าคล้ายอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา ก่อนจะขบเม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างลังเลแล้วก็ยกเลิกความตั้งใจไป เป็อย่างนี้อยู่หลายครั้งจนคนที่มองอยู่เลิกคิ้วขึ้นถามเสียงเนิบนาบ
“หรือจะช่วย?”
“มะ ไม่ใช่!”
ร่างเล็กลนลานตอบทันทีเสียงดัง ยิ่งเห็นส่วนนั้นของอีกฝ่ายขยายตัวแข็งเต็มที่เสียขนาดนั้น ใบหน้าก็ยิ่งขึ้นสีแดงก่ำเมื่อสาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากเขา พอช้อนตาขึ้นมองเห็นว่าาามองมาที่ตนอยู่ก่อนแล้วก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก ได้แต่นั่งนิ่งอยู่แบบนั้น…รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังตกลงไปสู่ห้วงภวังค์ยามได้สบกับดวงตาที่คุ้นเคยคู่นั้น
เสี้ยวหนึ่งในความคิดกำลังส่งเสียงร้องเตือนว่า หากยังคงนั่งนิ่งมองกันแบบนี้ต่อไปคงแย่แน่ ๆ ทุกอย่างอาจจะเลยเถิดไปไกลมากกว่านี้เมื่ออยู่กันเพียงลำพัง ท่ามกลางบรรยากาศระหว่างกันที่เริ่มแฝงไปด้วยกลิ่นอายของความรู้สึกและความทรงจำเก่า ๆ แต่ถึงกระนั้นอาเจินก็ยังคงนั่งนิ่ง ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ากำลังมีสายตาออดอ้อนมากเพียงใด
“ถ้ายังมองอยู่อีก มันจะไม่จบแค่นั้นนะหมวย”
“เจินยังไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด---อ้ะ!!”
ดวงตาสีน้ำตาลสวยเบิกกว้างอย่างใเมื่อร่างทั้งร่างถูกจับพลิกให้นอนคว่ำอย่างกะทันหันพร้อมกับคนอายุมากกว่าที่ทาบทับตามลงมา วงแขนแข็งแรงโอบกอดรอบเอวพันธนาการตัวเขาไว้แน่น พลันร่างเล็กที่ยังคงตกอยู่ในอาการใรีบขยับตัวดิ้นหนีทันที แม้ว่าโอกาสที่จะหลุดออกไปทั้งที่โดนกอดอยู่แบบนี้จะมีน้อยมากกว่าก็ตามที
“ทำอะไร---”
“นิ่ง ๆ ดิ๊”
ประโยคถูกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ทั้งสั้นและห้วนคล้ายกับรำคาญกัน อาเจินพอได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นแล้วรีบหันไปเอ่ยถามทันทีอย่างเอาเื่เอาราวพอกัน
“รำคาญหรือไง”
“เออ”
“รำคาญนักก็ออกไป เจินอนุญาตให้เฮียมากอดเหรอ เป็บ้าอะไร---อื้อ!!”
คล้ายว่าคนหนึ่งเป็ไฟ อีกคนหนึ่งก็ทำตัวเป็น้ำมันที่ราดใส่เข้าไปในกองเพลิงให้มันลุกลามโหมกระหน่ำเสียยิ่งกว่าเก่า ก่อนที่วงแขนจะกระชับกอดเอาไว้แน่นขึ้น พร้อมกับใบหน้าหล่อเหลาที่ซุกลงบริเวณซอกคอขาวแล้วแช่นิ่งค้างไว้อย่างนั้นอยู่เนิ่นนาน เนิ่นนานมากเสียจนผิดวิสัยคนนิสัยอย่างาา น้ำเสียงทุ้มแหบดังอู้อี้
“อยู่นิ่ง ๆ สักนาทีสองนาทีทำไม่ได้หรือไง หรือมึงเริ่มสมาธิสั้น?”
“ออกไปเลย!”
พอถูกยั่วโมโหขึ้นมาอีกครั้ง คนที่มีนิสัยยุขึ้นง่ายอย่างอาเจินก็แสดงท่าทีพยศออกมาในทันที ร่างน้อย ๆ เริ่มพยายามขยับตัวดิ้นอีกครั้งเช่นเดียวกันกับวงแขนของคนอายุมากกว่าที่ออกแรงกอดกระชับให้แน่นขึ้น ริมฝีปากกดจุมพิตลงบนลาดไหล่มนแ่เบา พลันคนถูกััเริ่มหัวใจเต้นกระหน่ำทั้งใบหน้าขึ้นสีแดงเรื่อ เมื่อทำอะไรไม่ได้ก็คว้าหมอนใบใหญ่มากอดไว้แล้วส่งเสียงฟึดฟัดอย่างขัดใจ
อาเจินตัวเล็กเสียขนาดนี้ สวนทางกันกับาาที่มีทั้งส่วนสูงและรูปร่างแข็งแรงสมกับวัยผู้ใหญ่ ครั้นเมื่อถูกกอดในท่วงท่าแบบนี้ ยิ่งทำให้รู้สึกคล้ายกับกำลังจมเข้าไปในอกของอีกฝ่ายอย่างไรอย่างนั้น
เสียงถกเถียงกันเริ่มหายไป ถูกแทนที่ด้วยความเงียบสงบและเสียงลมหายใจที่ดังประสานเป็จังหวะเดียวกัน อาเจินยังคงใบหน้างอง้ำทว่าข้างแก้มกลับขึ้นสีแดงเรื่อ เอ่ยพูดออกมาเสียงอุบอิบในขณะที่ร่างเบื้องบนกดริมฝีปากจุมพิตลงที่ข้างใบหูและลาดไหล่มนอย่างอ่อนโยน
“ตัวหนักอย่างกับช้าง”
“กอดไม่ได้หรือไง”
“…อือ” เอ่ยตอบเสียงแ่เบาในลำคอ ในขณะที่ร่างสูงซบใบหน้าลงกับลาดไหล่ เป็จังหวะเดียวกันที่อาเจินกอดหมอนใบใหญ่แน่นขึ้น
RRRRRRRRRRRRR
เสียงโทรศัพท์ของาาดังขึ้นดึงความสนใจจากพวกเขาไปได้อีกครั้ง อาเจินสะดุ้งเล็กน้อยแล้วหันไปมองต้นทางของเสียง เริ่มลนลานมองโทรศัพท์สลับกับอดีตคนรักที่ยังไม่ยอมขยับตัว มีแต่เขาที่เป็กังวลนำไปก่อนว่าหากคนที่โทรมามีธุระด่วนกลางดึกแบบนี้จะทำอย่างไร ตัดสินใจเอ่ยเรียกอีกฝ่ายเสียงแ่เบา
“โทรศัพท์”
“…”
“เฮีย…โทรศัพท์”
“ช่างมัน”
“แต่ว่า---”
“บอกว่าช่างหัวมันไง”
น้ำเสียงที่เอ่ยพูดฟังดูราบเรียบทว่าก็ยังแฝงไปด้วยความเด็ดขาดในการตัดสินใจอยู่ในนั้น ปลายจมูกโด่งกดลงสูดดมความหอมจากกลุ่มเส้นผมนุ่ม ก่อนจะจูบที่ข้างใบหูอีกครั้งจนร่างเล็กเผลอออกแรงกอดหมอนแน่นขึ้นทั้งใบหน้าที่เริ่มรู้สึกร้อนผ่าว
ไม่เข้าใจเลยสักนิด…แทนที่จะไปทำธุระในห้องน้ำจะมากอดเขาทรมานตัวเองแบบนี้เพื่ออะไร ใบหน้าหวานซุกลงกับหมอนนุ่มแล้วออกแรงกระชับกอดมันแน่นขึ้น เช่นเดียวกันกับร่างเบื้องบนที่ยังคงกอดเขาเอาไว้แน่น…ไม่ยอมปล่อยให้หนีไปที่ใดเลยเช่นกัน
.
.
.
01.00 น.
แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยไปจนถึง่วันใหม่แล้ว ทว่าเสียงฝนและเสียงฟ้าร้องจากภายนอกก็ยังคงไม่หยุดลง อาเจินกระชับมือดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มจนมิดคอ เท้าที่สวมใส่ถุงเท้าอยู่ซุกเข้าหาผ้าห่มเพื่อเพิ่มความอบอุ่น เมื่อหันไปเห็นคนข้างกายที่ถอดเสื้อนอนทั้งยังหลับสนิทก็ขมวดคิ้วทันที
“ไม่หนาวบ้างหรือไง”
เอ่ยพูดอุบอิบกับตัวเองในขณะที่เริ่มเอาผ้าห่มพันตัวเองให้หนาขึ้น เขาไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด อาจจะเป็เพราะไม่คุ้นชินกับสถานที่ เสียงฟ้าร้องดังที่ทำให้ใสะดุ้งอยู่เป็ระยะ…ทว่าที่หนักกว่านั้นคือทุกครั้งที่ตระหนักได้ว่าคนที่นอนกรนเบา ๆ อยู่ข้างกันเป็ใครสมองก็ตื่นตัวพาตาสว่างทันทีจนน่าหงุดหงิด
เปรี้ยง!!
“เฮือก!!”
ท้องฟ้าสว่างวาบกว่าปกติก่อนจะได้ยินเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน พลันร่างเล็กสะดุ้งเฮือกใหญ่แล้วหอบหายใจถี่อย่างใ รู้สึกได้ว่าคนข้างกายสะดุ้งน้อย ๆ เช่นกัน ทว่าพอหันกลับไปก็เห็นอีกฝ่ายกลับไปนอนต่อได้อย่างรวดเร็วตามประสาคนนอนหลับง่าย คราวนี้ในดวงตาสีน้ำตาลสวยเริ่มฉายแววหวาดกลัวขึ้นมาเมื่อเสียงฟ้าร้องเริ่มดังขึ้นและไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลง
“…”
อาเจินเป็คนขี้หนาว ผิดกับาาที่เกิดและเติบโตอยู่ที่อเมริกาก่อนจะย้ายกลับมาเรียนที่ไทย่เข้ามัธยมต้น จึงติดนิสัยชอบอากาศหนาวมาแต่ไหนแต่ไร
แต่มาเปิดแอร์อุณหภูมิต่ำให้เขานอนหนาวอยู่ในผ้าห่มแบบนี้มันอดคิดไม่ได้จริง ๆ ว่ากำลังแกล้งกันอยู่หรือยังไง
ร่างขาวที่ถูกห่อพันไปด้วยผ้าห่มค่อย ๆ ขยับตัวไปอีกฟากหนึ่งของเตียงเมื่อเสียงฟ้าร้องและพายุเริ่มทำให้รู้สึกกลัว ทั้งอุณหภูมิภายในห้องที่ขัดกับนิสัยขี้หนาวเข้าอย่างจัง แอบหันไปมองคนข้างกายเป็ระยะเมื่อเห็นว่าเ้าตัวยังคงหลับสนิทก็ค่อย ๆ ขยับตัวเข้าไปใกล้อีก เป็จังหวะเดียวกันที่าาพลิกตัวนอนตะแคงมาทางนี้ อาเจินแอบซุกตัวเข้าหาความอบอุ่นทันที โดยพยายามไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว
“อยากให้นอนกอดก็พูด” แอบสะดุ้งเล็กน้อยอย่างใเมื่อคนที่ควรจะนอนหลับไปแล้วกลับลืมตาขึ้นมองกันเสียอย่างนั้น รีบลนลานเอ่ยเถียงกลับไปทันที
“มะ ไม่ใช่!”
“แล้วที่นอนซุกอยู่นี่คือ?”
คำถามดังกล่าวเป็ผลให้อาเจินหยุดชะงักนิ่งไป เมื่อลองสังเกตดูให้ดีตัวเขาก็ขยับเข้ามาเบียดกับอีกฝ่ายอยู่แค่ฟากเดียวของเตียง ความรู้สึกอับอายเมื่อถูกจับได้ทำให้นึกอยากจะมุดพื้นหนีไปเสียั้แ่ตอนนี้ ทว่าสุดท้ายแล้วก็ทำได้เพียงแค่เอ่ยหาข้อแก้ตัวอื่นไปข้าง ๆ คู ๆ ก็แค่นั้น
“เจินแค่นอนดิ้น..!!”
น้ำเสียงในท้ายประโยคถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอเมื่อร่างที่ถูกห่อไปด้วยผ้าห่มถูกวงแขนแข็งแรงดึงเข้าไปหาแล้วโอบกอดไว้แน่น กระทั่งใบหน้าซุกอยู่กับแผงอกกว้างเปลือยเปล่า แม้จะรู้สึกใอยู่บ้าง แต่ความอบอุ่นและความรู้สึกปลอดภัยที่ได้รับกลับทำให้ตัวเขาไม่อยากที่จะปฏิเสธ…แถมยังตาสว่างกว่าเดิมอีกด้วยซ้ำ
“นอนดิ หรือต้องร้องเพลงกล่อมเด็กให้ฟัง?”
“เจินไม่ใช่เด็ก…”
ร่างสูงแค่นหัวเราะออกมาหนึ่งคำพานให้รู้สึกหงุดหงิดก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง ผ่านไปไม่นานก็ได้ยินเสียงกรนดังขึ้นเบา ๆ บ่งบอกว่าเ้าตัวนอนหลับสนิทไปแล้วทั้งที่มีเขาอยู่ในอ้อมกอด เหลือไว้เพียงอาเจินที่ยังคงตาสว่าง ทว่าไร้ซึ่งความรู้สึกกลัวอีกต่อไป…ตัดสินใจซุกใบหน้าเข้าหาความอบอุ่นตรงหน้าด้วยท่าทีติดจะออดอ้อนโดยไม่รู้ตัว
ยังนอนกรนเหมือนเดิม…ยังคงเป็าาที่ชอบนอนกอดด้วยท่าเดิม ๆ
เป็อ้อมกอดที่เขาโหยหา และคิดถึงอยู่ตลอด...ไม่เคยเว้นเลยสักวัน
…
ปัจจุบัน
สองวันต่อมา
แสงสียามค่ำคืนขับส่งให้บรรยากาศภายในร้านดูคึกคักขึ้นเป็เท่าตัวแม้ว่าจะเป็วันธรรมดา แต่ถึงอย่างนั้นภายในคลับก็ยังคงอัดแน่นไปด้วยผู้คนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ อาเจินมองตามแผ่นหลังกว้างของาาที่กำลังยืนคุยกับผู้ชายตัวเล็กคนหนึ่งซึ่งเป็เ้าของคลับบาร์แห่งนี้ ท่าทีที่พูดคุยกันอย่างสนิทสนมเริ่มทำให้อาเจินเริ่มรับรู้ได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นในจิตใจ
“ไม่ได้เจอกันนานเลย…สนใจเด็กไปนั่งด้วยสักคนไหม ที่นี่มีแต่ตัวท็อปนะ”
ร่างเล็กกัดปากเบา ๆ เมื่อได้ยิน ไม่อยากรอฟังว่าคนอย่างาาที่ไม่มีพันธะติดตัวแล้วจะตอบว่าอย่างไร แม้เ้าตัวจะบอกว่าวันนี้จะมาคุยงานกับคนที่เป็เ้าของธุรกิจเหมือนกัน แต่ความตั้งใจของคนเราก็มักจะเปลี่ยนได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว ตัดสินใจปลีกตัวเดินออกมานั่งบริเวณเคาน์เตอร์บาร์เงียบ ๆ …ที่ตรงนี้สงบมากกว่าตรงอื่น ไม่ค่อยแออัดเหมือนด้านใน
“ไง”
“…คุณภพ?”
เรียวคิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างแปลกใจเมื่อหันไปตามที่มาของเสียง ก่อนจะพบกับร่างสูงของใครบางคนในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำกำลังหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้บาร์ข้าง ๆ กัน
ธีรภพเป็ดาราที่กำลังเป็ที่นิยมอยู่ในขณะนี้ เนื่องจากเคยร่วมงานกันอยู่เพียงไม่กี่ครั้ง จึงไม่ค่อยรู้สึกสนิทชิดเชื้อมากมายนัก แต่ถึงอย่างนั้นอาเจินก็เคยพอจับสังเกตได้ว่าอีกฝ่ายทอดมองมาที่เขาอยู่บ่อยครั้ง นึกแปลกใจที่เห็นเ้าตัวอยู่ที่นี่
“่นี้ถ่ายละครเื่ใหม่ กองถ่ายละครมาตั้งที่นี่”
อาเจินส่งเสียงตอบรับในลำคอแ่เบาพลางพยักหน้ารับเป็เชิงรับรู้ แม้ว่าเสี้ยวหนึ่งในจิตใจจะเริ่มรู้สึกเป็กังวลตื่นตระหนกเมื่อคิดว่ามีกองถ่ายอยู่แถวนี้ นั่นหมายความว่าย่อมต้องมีนักข่าวอยู่เช่นกัน แต่ก็ยังพยายามทำท่าทีให้เป็ปกติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อไม่รู้ว่าจะพูดอะไรด้วยต่อก็หันหน้ากวาดสายตามองสิ่งรอบตัวไปเรื่อย ๆ ในขณะที่ธีรภพยังคงทอดมองอดีตเพื่อนร่วมวงการอยู่ตลอด
“ั้แ่เป็ข่าวก็หายไปเลยนะ”
“…”
“ไม่นึกว่าจะมาเจอที่นี่”
คราวนี้อาเจินนิ่งไปครู่หนึ่ง เห็นอีกฝ่ายยังคงหันหน้ามองกันอยู่ตลอดั้แ่หัวจดเท้าก็ขยับตัวเล็กน้อยเพื่อคลายความอึดอัดก่อนจะเอ่ยตอบ
“พอดีเ้านายมาดูงานที่นี่ เขาก็เลยพาเจินมาด้วย”
“คุณคิงน่ะเหรอ”
สิ้นประโยคดังกล่าว พลันร่างขาวหยุดชะงักนิ่งไปทันทีทั้งดวงตาที่เบิกกว้างเล็กน้อยอย่างใและด้วยความรู้สึกเป็กังวล รีบหันหน้ากลับไปมองสบกับคู่สนทนาแล้วเอ่ยถามทันที ในขณะที่ธีรภพเริ่มเท้าคางมองทั้งมุมปากที่ยกขึ้นคล้ายกับกำลังดูเื่สนุก
“ทะ ทำไมถึงรู้”
“วงในเขาลือกันว่าอาเจินไปทำงานในบาร์ของลูกชายนักการเมืองคนหนึ่ง…ที่นึกออกก็มีแค่คุณคิงไม่ใช่เหรอ”
“…”
“แถมยังลือกันอีกว่าสนิทกันกว่าปกติ ทั้ง ๆ ที่ข่าวลือของอาเจินก็เพิ่งจะซาไปไม่นาน”
สิ้นประโยค ดวงตาสีน้ำตาลสวยที่เคยเจือไปด้วยความสดใสอยู่เล็กน้อยกลับเริ่มทอแสงหม่นลง แม้จะพูดสื่อนัย ทว่าอาเจินกลับสามารถเข้าใจความหมายที่แอบแฝงของมันอยู่ได้อยู่ดี หากมีข่าวลือดังกล่าวออกมาได้ นั่นหมายความว่าคงมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าตัวเขาอาจจะใช้ร่างกายของตนไปยั่วคนนั้นทีคนนี้ทีให้หลงเสน่ห์เพื่อผลประโยชน์หรือไม่
กับาาก็ใช้ร่างกายเข้าแลกกับการทำงานด้วยใช่หรือไม่…ร่างเล็กก้มหน้าลงทั้งใบหน้าไม่สู้ดี ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าแม้แต่คู่สนทนาที่กำลังนั่งอยู่ด้วยกันในตอนนี้กำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาและความคิดแบบไหน
กำลังมองว่าเขาเป็อย่างที่กลุ่มคนพวกนั้นพูดถึงหรือเปล่า
แล้วาาล่ะ ถ้ารู้ว่ากำลังตกเป็ข่าวเพราะมาพัวพันกับเขาแบบนี้จะมองกันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปหรือไม่…จะถึงขั้นรังเกียจคนที่มีแต่ข่าวแย่ ๆ แบบเขาหรือเปล่า
“เขาเป็เ้านาย เจินเป็ลูกน้อง ไม่มีอะไรมากกว่านั้น”
“…”
“แล้วเขาก็คงไม่มีวันมาเอาคนที่มีแต่ข่าวแย่ ๆ อย่างเจินหรอก”
น้ำเสียงที่เคยเอ่ยพูดอย่างมั่นคงในคราวแรก ในยามนี้กลับเริ่มแ่เบาลงเสียจนแทบไม่ได้ยิน เช่นเดียวกันกับดวงตาที่ฉายแววหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าจะพยายามปกปิดมันไว้มากแค่ไหนก็ตามที เป็เื่น่าแปลกที่เขากลับเป็กังวลว่าหากาารู้เื่ข่าวลือของเขาแล้วจะเกลียดกันหรือไม่ มากกว่ามานั่งคิดว่าคนภายนอกจะมองตนเป็อย่างไร
!!!
“ทำงานแบบนั้นคงลำบากแย่ ถ้าขัดสนเื่เงินก็บอกผมได้นะ”
ร่างเล็กสะดุ้งสุดตัวทันทีอย่างใ เมื่อบริเวณต้นขาที่โผล่พ้นกางเกงขาสั้นออกมาถูกฝ่ามือใหญ่วางลงแล้วออกแรงบีบนวดคลึงแ่เบาทั้งดวงตาคมของอีกฝ่ายที่ทอดมองกันไม่ละไปหาสิ่งอื่นใด ใบหน้าหล่อเหลาของธีรภพโน้มลงเข้าใกล้จนได้กลิ่นน้ำหอมที่ติดตัวพลางเอ่ยกระซิบพูดเสียงแ่เบา เป็จังหวะเดียวกันที่มือข้างนั้นค่อย ๆ เลื่อนขึ้นมาใกล้ขอบชายกางเกง ในขณะที่อาเจินตัวเกร็งอย่างใและตื่นตระหนก ตั้งท่าจะลุกหนีทันที
“แต่อาจจะต้องมีของมาแลกกันนิดหน่อย”
!!!
ก่อนที่มือข้างนั้นจะถูกสอดเข้ามาผ่านขากางเกง ข้อมือเล็กกลับถูกใครอีกคนกระชากดึงออกไปพร้อมกับร่างของอาเจินที่ถูกดึงไปให้อยู่หลังแผ่นหลังกว้างของผู้มาใหม่ ใบหน้าหวานเริ่มเบ้ลงเล็กน้อยด้วยความเจ็บยามข้อมือถูกบีบเอาไว้แน่นจนผิวเนื้อขึ้นรอยแดง ในขณะที่าายังคงทอดมองธีรภพทั้งสายตาแข็งกร้าวดุดันกว่าครั้งไหน เช่นเดียวกับฝ่ายนั้นที่ทำหน้าไม่พอใจเช่นกัน
“ก็แค่ลูกน้องไม่ใช่เหรอครับคุณคิง”
“แล้วคุณมีสิทธิ์อะไรมาแตะตัวลูกน้องผม?”
น้ำเสียงและสายตาดุดันจากาาที่เห็นได้ไม่บ่อยนักเป็ผลให้อาเจินเริ่มห่อไหล่เข้าหากันทันทีด้วยความกลัว ใบหน้าก้มลงหนีมองพื้นในขณะที่บรรยากาศระหว่างชายหนุ่มทั้งสองกลับเริ่มน่าอึดอัดขึ้นเรื่อย ๆ จนคนที่อยู่ในบริเวณนั้นเริ่มหาทางปลีกตัวหนีไปทางอื่น ครั้นเมื่อรู้ตัวอีกทีข้อมือเล็กก็ถูกกระตุกดึงอีกครั้งให้เดินตามกันไป
“เจ็บ…เฮีย เจินเจ็บ”
ร่างเล็กถูกจูงมาถึงลานจอดรถ ก่อนจะเอ่ยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เริ่มงอแงเมื่อข้อมือถูกกอบกุมเอาไว้แน่น ไม่ได้รับอิสระเสียที าาเมื่อได้ฟังทั้งเห็นสีหน้าคนตัวเล็กที่เริ่มงอง้ำจึงยอมปล่อยมือแต่โดยดี ถึงอย่างนั้นเรียวคิ้วก็ยังคงขมวดเข้าหากันแน่นอย่างหงุดหงิด
“ให้มันจับทำไมวะหมวย”
“แล้วทำไมต้องหงุดหงิดใส่เจินด้วย”
อายุน้อยกว่าเอ่ยเถียงกลับด้วยน้ำเสียงที่แ่เบาลงเมื่อไม่ค่อยเคยเห็นาาโกรธจัดถึงขนาดนี้มานานมาก พลันดวงตาสีรัตติกาลทอแสงอ่อนลง หยิบกุญแจมากดปลดล็อกรถก่อนจะเอ่ย
“ขึ้นรถ”
“คุณคิงครับ จะกลับไปคุยธุระต่อหรือเปล่าครับ”
ทว่ายังไม่ทันจะได้ขึ้นรถให้ดี เสียงเรียกพร้อมกับร่างของพนักงานที่วิ่งกระหืดกระหอบตามมากลับฉุดดึงความสนใจจากคนทั้งสองไปได้เสียก่อน อาเจินทำท่าจะลงจากรถอีกครั้งเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายคงจะกลับไปคุยธุระต่อ ทว่ากลับถูกดันให้นั่งที่เดิมพร้อมกับร่างสูงที่หันไปเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสั้นห้วน
“ยกเลิกไปให้หมด”
บรรยากาศั้แ่ภายในรถจนถึงโรงแรมถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบชวนอึดอัด อาเจินกำมือขยุ้มกับชายเสื้อของตัวเองตลอดทาง ในขณะที่าาในตอนนี้เงียบผิดวิสัยมาตลอดทางกระทั่งถึงโรงแรม อาเจินเดินตามร่างสูงของอีกฝ่ายไปอย่างเงียบ ๆ ทั้งภายในหัวที่มีความคิดหลายอย่างตีกันอยู่แทบจะตลอดเวลา ริมฝีปากขบเม้มเข้าหากันอย่างลังเลในการตัดสินใจของตัวเอง
“วงในเขาลือกันว่าอาเจินไปทำงานในบาร์ของลูกชายนักการเมืองคนหนึ่ง…ที่นึกออกก็มีแค่คุณคิงไม่ใช่เหรอ”
“…”
“แถมยังลือกันอีกว่าสนิทกันกว่าปกติ ทั้ง ๆ ที่ข่าวลือของอาเจินก็เพิ่งจะซาไปไม่นาน”
คำพูดของธีรภพวิ่งกลับเข้ามาในหัวอีกครั้งให้รู้สึกแย่ ตัวเขาเคยคิดอยู่ก่อนแล้วว่าหากตัวเองทำให้ใครก็ตามในคิงบาร์เริ่มเดือดร้อนหรือเสียชื่อเสียงก็จะลาออกทันที แต่ใครจะไปคิดว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นเร็วถึงขนาดนี้ หากคิดอีกแง่ตัวเขาก็ไม่เหมาะสมที่จะทำงานที่ไหนนาน ๆ อยู่แล้ว อาจเป็เพราะคนที่กำลังเสียหายไปด้วยคือาา อาเจินจึงได้คิดหนักกว่าปกติ ทั้งที่ไม่จำเป็เลยสักนิด
“เฮีย…”
มือน้อย ๆ เอื้อมออกไปจับที่ชายเสื้อเชิ้ตสีดำของอีกฝ่ายแล้วออกแรงกระตุกดึงแ่เบา าาหันกลับมามองกันทว่ายังไม่เอ่ยพูดสิ่งใด อาเจินกัดปากเบา ๆ แล้วสูดหายใจเข้าลึกสุดปอดก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมองพลางตัดสินใจเอ่ยพูดสิ่งที่อยู่ในใจตนออกมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“ถ้าเจินจะลาออก…”
“…”
ประโยคถูกหยุดลงเพียงเท่านั้น ในขณะที่าายังคงยืนนิ่งเงียบไม่เอ่ยพูดสิ่งใด กระนั้นภายในดวงตาสีรัตติกาลกลับเริ่มฉายแววดุดันขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มหย่อนกายลงนั่งบนโซฟาตัวยาวก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองสบกับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าแล้วจึงเอ่ย
“พูดเหตุผลมา”
คราวนี้อาเจินปิดปากเงียบแล้วหลุบสายตามองไปทางอื่นคล้ายกับกำลังเฉไฉที่จะตอบคำถาม ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยเรียกทวงอีกครั้งทั้งน้ำเสียงที่ฟังดูจริงจังขึ้นมาอีกหนึ่งระดับ
“เฮียบอกให้พูดไงเจิน”
ร่างเล็กอ้ำอึ้งอยู่นาน ดวงตาสีน้ำตาลสวยที่หลุบลงมองพื้นค่อย ๆ ช้อนขึ้นมองสบกับคนที่นั่งอยู่ เพราะอีกฝ่ายมีท่าทีดุดันกว่าปกติจึงทำให้เขารู้สึกเกร็งและกลัวขึ้นมา เมื่อทนความอึดอัดระหว่างกันไม่ไหวจึงตัดสินใจยอมเอ่ยพูดออกไปในที่สุดด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้เป็ปกติ ทว่าแท้จริงแล้วกลับเริ่มแกว่งไปมาอยู่ไม่นิ่ง
“คนเริ่มรู้กันแล้วว่าเจินมาทำงานที่บาร์ของเฮีย…แล้วก็ยังมีข่าวลือที่ว่าอาจจะเป็เพราะเจินใช้ร่างกายเข้าแลก เฮียเลยรับเข้าทำงาน…”
“…”
“ขืนปล่อยไว้นานเฮียคงโดนลากมาเป็ข่าวกับเจินด้วย เพราะงั้นเจินจะลาออกแล้วก็ไม่กลับมายุ่งกับเฮียอีก เพราะเฮียก็คงไม่อยากมาเป็ข่าวกับคนที่มีแต่ชื่อเสียงแย่ ๆ อย่างเจินหรอก---”
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่ามาคิดแทนกัน”
น้ำเสียงถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอเมื่อคนอายุมากกว่าเอ่ยแทรกขึ้นมาอย่างกะทันหัน คราวนี้อาเจินเงียบไปทั้งยังเริ่มทำตัวไม่ถูกเมื่อคู่สนทนาในตอนนี้เงียบมากเสียจนน่ากลัว ครั้นเมื่อทนความรู้สึกอึดอัดที่จะต้องยืนอยู่ตรงนี้ไม่ไหวจึงตัดสินใจจะเดินหนีกันไปเสียดื้อ ๆ แต่ทว่า…
!!!
“อะ! ปล่อยเจินลง!”
ดวงตาเบิกกว้างอย่างใเมื่อถูกอีกฝ่ายลุกตามขึ้นมาจับอุ้มพาดบ่าจนร่างทั้งร่างลอยหวือ มือน้อย ๆ จิกขยุ้มบริเวณหลังเสื้อของคนอายุมากกว่าแล้วขยับตัวดิ้นไปมาแม้ว่าจะไม่เป็ผล าาอุ้มอดีตคนรักเปิดประตูเดินเข้าห้องนอนไปอย่างไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะโยนร่างเล็กลงบนเตียงอย่างไม่ถนอมนัก อาเจินที่เตรียมจะลุกหนีกลับถูกอีกคนคร่อมทับเอาไว้ กักกันไม่ให้หนีไปที่ใด
...เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองสบ จึงได้รู้ว่าไม่ได้มีเพียงความรู้สึกหงุดหงิดที่อยู่ในดวงตาคู่นั้น…หากแต่เป็ความรู้สึกอื่นด้วย
“อีกแล้วเหรอ”
“…”
“จะหนีกูไปอีกแล้วเหรอวะเจิน”
“…”
“มึงหนีกูไปเป็ปี กลับมาคราวนี้คิดว่ากูจะปล่อยมึงไปไหม”
...
“มึงหนีกูไปเป็ปี กลับมาคราวนี้คิดว่ากูจะปล่อยมึงไปไหม”
- าา -
...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้