ยามนี้งานที่สาวใช้ทั้งสี่คนของเรือนโฉวงจี๋ต้องทำเป็ประจำคือลงไปห้องใต้ดินและทำการบรรจุเหล้าองุ่นขวดละหนึ่งชั่งทีละขวดๆ เหล้าองุ่นที่บรรจุเสร็จ ถึงเวลานั้นร้านอาหารการกุศล้าใช้
สิ่งสุดท้ายที่หลี่ลั่วรอคอยคืองานฉลองพระราชสมภพของจ้าวหนิงฮ่องเต้
“คุณชาย ฉางเฉิงอยู่หรือไม่ขอรับ?” ท่าทางของหลี่จงิดูเหมือนร้อนใจเล็กน้อย เขานั้นเร่งกลับมาจากบ้าน ระยะนี้เขากำลังฝึกฝนองครักษ์ของร้านค้าการกุศล ร้านค้าทุกร้านจะมีองครักษ์สองนาย ทั้งหมดหกนาย และด้วยเหตุที่ร้านค้าทั้งสามห้องนี้อยู่ติดกันทั้งหมด ดังนั้นหากร้านค้าหนึ่งในนั้นเกิดปัญหาอันใดขึ้น องครักษ์จากอีกสองร้านจะสามารถเข้าไปช่วยเหลือได้
“กำลังช่วยงานอยู่ในห้องใต้ดิน นี่เกิดอันใดขึ้นหรือท่านอาหลี่?” ในสายตาของหลี่ลั่วนั้นหลี่จงิเป็ชายหนุ่มที่มีความหนักแน่น แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเห็นเขามาท่าทางร้อนรนเช่นนี้มาก่อน
หลี่จงิทำทีจะพูดแล้วก็หยุด สุดท้ายเรียบเรียงอยู่สักครู่จึงเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายยังจำเื่ที่องค์ชายฉวี่หลงเกี้ยวพาแม่นางเจียงที่ถนนได้หรือไม่ขอรับ?”
“แน่นอน เวลานั้นข้าก็อยู่ด้วย คำพูดของท่านอาหลี่หมายความว่าอย่างไรกัน?” หลี่ลั่วไม่เข้าใจ
หลี่จงิลังเล คำพูดเหล่านี้หากถามออกมาย่อมทำลายชื่อเสียงของครอบครัวฝ่ายหญิง แต่อย่างไรเสียก็ต้องถามให้ชัดเจน “เวลานั้นฉางเฉิงได้เอาเปรียบบุตรสาวผู้อื่นหรือไม่ขอรับ?”
หลี่ลั่วเลิกคิ้ว “ความหมายของคำว่า ‘เอาเปรียบ’ ของท่านอาหลี่คืออย่างไรเล่า?” ราวกับเขาจะนึกอะไรขึ้นได้แล้ว แต่้ารอให้หลี่จงิเป็ฝ่ายบอกกับเขาเอง
หลี่จงิไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใด เขาจึงถามออกมาอย่างวางใจว่า “วันนั้นฉางเฉิงโอบกอดบุตรสาวผู้อื่นใช่หรือไม่ขอรับ?”
“ท่านอาหลี่ไฉนจู่ๆ จึงได้ถามเื่นี้ขึ้นมาเล่า? หรือว่า...ครอบครัวฝ่ายหญิง้าให้ฉางเฉิงรับผิดชอบรึ?” หลี่ลั่วเพียงแต่คาดเดาไปเช่นนั้นเอง คิดไม่ถึงว่าสีหน้าของหลี่จงินั้นกลับอึดอัดยิ่ง หรือว่ามีเื่เช่นนี้จริงๆ?
“เื่นี้ข้าไม่รับผิดชอบ” เสียงของหลี่ฉางเฉิงลอยมา เขาเดินออกมาจากห้องใต้ดิน หลี่ลั่วกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวที่ทำมาจากไม้จริงๆ อยู่ในศาลาต้อนรับแขก
เมื่อได้ยินเสียงของหลี่ฉางเฉิง หลี่ลั่วและหลี่จงิจึงหันไปมองเขา
หลี่ฉางเฉิงมาถึงก็คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าหลี่จงิ “ท่านพ่อ ลูกไม่ได้กล้าทำไม่กล้ารับ ก่อนอื่น เื่นี้ทำเพื่อช่วยแม่นางเจียง หากบอกว่าโอบกอดนางแล้วต้องรับผิดชอบ เช่นนั้นคนแรกที่จะต้องรับผิดชอบควรจะเป็องค์ชายฉวี่หลง เมื่อยามที่พวกเราไปถึงนั้นแม่นางเจียงถูกองค์ชายฉวี่หลงโอบกอดไว้ในอ้อมกอด อีกอย่าง ยามนั้น...ข้าไม่ได้กอดนาง แต่เป็นางที่วิ่งเข้ามาหาข้า โผเข้ามาในอ้อมกอดของข้า สุดท้าย...” หลี่ฉางเฉิงหันไปโขกหัวให้หลี่จงิครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงหันมาโขกหัวให้หลี่ลั่วครั้งหนึ่ง “โหวเหฺย ท่านพ่อ ในใจของฉางเฉิงนั้นมีนางในดวงใจแล้ว ขอให้พวกท่านส่งเสริมด้วยขอรับ”
อะไรนะ? เื่นี้ะโกลับไปกลับมาเร็วไปไหม หลี่ลั่วยังไม่ทันได้ตั้งตัว ส่วนหลี่จงินั้นใจนสะดุ้ง นี่บุตรชายมีนางในดวงใจแล้วเช่นนั้นหรือ
“ั้แ่โบราณกาลมาความรักนั้นเกิดขึ้นเพราะมีวาสนาต่อกัน เ้ามีนางในดวงใจแล้วข้าย่อมต้องอวยพรและส่งเสริมเ้า แล้วเื่ของเจียงซูเอ๋อร์นั้นความผิดไม่ได้อยู่ที่เ้า หากแม่นาง้าแต่งงาน ก็สมควรจะเป็องค์ชายฉวี่หลงจึงจะถูก” หลี่ลั่วกล่าว “ท่านอาหลี่ สกุลเจียง้าอย่างไรกันแน่?”
“สกุลเจียงเพียงแต่มาหยั่งดูท่าทีขอรับ ไม่ได้พูดอะไรชัดเจนนัก มารดาของฉางเฉิงให้ข้ามาถามฉางเฉิง” หลี่จงิตอบ
“เช่นนั้นมีอันใดเล่า? ในเมื่อเป็เพียงการหยั่งท่าที ก็พูดตามตรงเท่านั้นเป็ใช้ได้” หลี่ลั่วกล่าว “อาสะใภ้ย่อมมีวิธีจัดการ”
“อืม” หลี่จงิยังอยู่ในความคิดคลุมเครือของตน “หญิงในใจเ้าคือใครกันเล่า?” บุตรชายของตนแข็งดั่งเช่นท่อนไม้ ไฉนจึงมีคนในใจแล้วเล่า?
“อย่าได้เป็รักข้างเดียวเชียว” หลี่ลั่วเอ่ยเสริมอีกประโยคหนึ่ง
“มิใช่ขอรับ” บนใบหน้าของหลี่ฉางเฉิงมีรอยยิ้ม “ในเมื่อวันนี้ข้าได้เอ่ยขึ้นแล้ว และปรารถนาให้โหวเหฺยส่งเสริม หญิงในใจข้าคือหยวนโม่ ข้าอยากแต่งนางเป็ภรรยาขอรับ”
“หยวนโม่รึ?” หลี่ลั่วตกตะลึงจริงๆ แล้ว จากนั้นจึงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่ไหว “เ้าแน่ดีนี่นา กลับไปชมชอบหยวนโม่ เริ่มขึ้นั้แ่เมื่อใดกัน?” พวกเขารู้จักกันไม่ถึงห้าเดือน กลับกลายเป็มีใจต่อกันเช่นนั้นหรือ?
“เมื่อแรกมาถึงเรือนโฉวงจี๋นั้น เพียงแต่รู้สึกว่านางเป็หญิงสาวที่อ่อนโยนและมีคุณธรรมดีงาม ต่อมาเมื่ออยู่ที่หมู่บ้านในชานเมืองทางตอนเหนือ เห็นนางไม่เคยรังเกียจความสกปรกของสัตว์ปีกทั้งหลายทุกวัน ขยันขันแข็งทำหน้าที่ที่โหวเหฺยมอบหมายให้ ข้าจึงคิดว่า หากข้าสามารถแต่งหญิงสาวเช่นนี้ ชีวิตของข้านี้ยังจะ้าอันใดอีก?” หลี่ฉางเฉิงพูดแล้วหน้าก็ค่อยๆ แดงขึ้นมา
หลี่ลั่วคิดออกแล้ว ครั้งนั้นหลี่ฉางเฉิงนั้นเอาใจใส่ต่อหยวนโม่นัก และมักจะหยอกล้อนางอยู่บ้างเป็บางครั้ง
“ไม่ได้ บางทีหยวนโม่อาจจะไม่ชอบเ้าก็ได้ ข้าต้องถามความเห็นของนางก่อน” หลี่ลั่วกล่าว
“บ่าวเต็มใจเ้าค่ะ” เสียงของหยวนโม่ลอยมา ที่จริงนางและหลี่ฉางเฉิงนั้นออกมาจากห้องใต้ดินพร้อมกัน เพียงแต่ได้ยินคำพูดอันน่าอึดอัด ดังนั้นจึงไม่ได้ออกมา นางซาบซึ้งในคำพูดของหลี่ฉางเฉิง และชมชอบชายหนุ่มที่มีความกล้าหาญเช่นนี้
ทันทีที่หยวนโม่ออกมา หน้าของหลี่ฉางเฉิงก็แดงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
หลี่จงิมองหยวนโม่ สาวน้อยผู้นี้มีลักษณะดี เป็คนดี หน้าตาดี และเป็คนข้างกายของเสี่ยวโหวเหฺย “ในเมื่อเป็เช่นนี้ เ้าก็เลือกวันแล้วพานางกลับบ้าน ให้แม่ของเ้าพบหน้าสักครั้ง สกุลเจียงนั้นต้องตอบปฏิเสธไป เื่ของพวกเ้าให้ตกลงกันให้เร็วที่สุด กำหนดวันแต่งงานได้ยิ่งดี”
“เช่นนี้ย่อมดี ให้มารดาเป็แม่สื่อให้พวกเขา” หลี่ลั่วกล่าว
หยวนโม่ซาบซึ้งยิ่งนัก “ขอบคุณโหวเหฺยเ้าค่ะ”
“หยวนโม่ยังมีครอบครัวอยู่หรือไม่?” หลี่ลั่วถามอีก
หยวนโม่ส่ายหน้า “ไม่มีแล้วเ้าค่ะ บ่าวนั้นด้วยเหตุที่ท่านแม่ป่วยจึงถูกขายตัวมาเพื่อหาเงินรักษา แต่ถูกขายมาได้สองปี ท่านแม่ก็ยังคงไร้หนทางรักษา เสียชีวิตไปแล้วเ้าค่ะ”
“ไม่ต้องกังวลไป ท่านอาหลี่และอาสะใภ้ล้วนเป็คนดี ต่อไปข้าก็เป็คนในครอบครัวของเ้าแล้ว” หลี่ลั่วมองพวกเขา รู้สึกราวกับมองเด็กๆ สำหรับความคิดของคนในวัยยี่สิบกว่าปีที่เป็ผู้ใหญ่แล้ว เด็กผู้หญิงวัยสิบกว่าปีในสายตาของเขาก็คือเด็กน้อยมิใช่หรือ?
แต่นอกจากท่านอ๋องโรคจิตของเขาแล้ว ทั้งๆ ที่เป็หนุ่มน้อยอายุสิบสามปี แต่หลี่ลั่วมักจะคิดว่าเขาเป็คนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับตนอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว กระทั่ง...ยังถูกเขาข่มขู่อยู่เสมอ เอะอะก็เอาก้นของเขามาข่มขู่เขา
หลังจากที่หลี่ฉางเฉิงกับหยวนโม่ได้บอกกล่าวเื่ราวกับหลี่จงิและหลี่ลั่วแล้ว ทางด้านหลี่ฮูหยินย่อมรู้ว่าจะทำเช่นใดต่อไป นางมาจากครอบครัวยากจน ไม่ใส่ใจว่าหลี่ฉางเฉิงจะหาหญิงสาวที่มีภูมิหลังครอบครัวเป็เช่นใด ขอเพียงเป็คนดีและตัวเขาเองชอบพอด้วยก็เพียงพอแล้ว พูดจากใจจริงหญิงสาวฐานะเช่นเจียงซูเอ๋อร์นั้น แม้ว่าตำแหน่งขุนนางของบิดานางจะไม่สูง แต่ตำแหน่งขุนนางของครอบครัวฝั่งมารดาสูงเกินไป หลี่ฮูหยินรู้สึกกดดัน
สะใภ้ฐานะสูงส่งเกินไป เมื่ออยู่กับแม่สามีแล้วแม่สามีรู้สึกอึดอัด ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ผัวลูกสะใภ้เล่าจะดำเนินต่อไปเช่นใด?
ณ จวนสกุลเจียง
“ไฉนจึงกลายเป็ปฏิเสธไปได้เล่า?” เจียงอวี๋ซื่อคาดไม่ถึงเล็กน้อย ด้วยรูปโฉมและความสามารถของบุตรสาวนาง รวมไปถึงฐานะที่เป็พี่สาวของฉีอ๋อง สกุลหลี่กลับตัดใจปฏิเสธได้ เหนือความคาดหมายจริงๆ
“เขาบอกว่าหลี่ฉางเฉิงมีหญิงในดวงใจและทาบทามเอาไว้แล้วเ้าค่ะ ต่างได้มอบสิ่งของแทนใจให้กันแล้ว” ฮูหยินใหญ่เจียงกล่าว “คนประเภทรักชอบกันเอง เป็คนธรรมดาสามัญ ยังดีที่ไม่สำเร็จนะเ้าคะ” ฮูหยินใหญ่เจียงพูดแล้วก็มองไปทางเจียงอวี๋ซื่ออย่างระมัดระวัง ในใจลึกๆ กลัวว่านางจะโมโห
เจียงอวี๋ซื่อหัวเราะออกมาครั้งหนึ่ง “หญิงสาวของอีกฝ่ายเป็คนเช่นไร?”
“น่าแปลกประหลาดนักเ้าค่ะ เป็สาวใช้ข้างกายของเสี่ยวจงหย่งโหวเ้าค่ะ” ฮูหยินใหญ่เจียงถอนใจ ชอบสาวใช้แต่กลับไม่ชอบซูเอ๋อร์ ควรจะบอกว่าอีกฝ่ายโง่เขลาดีหรือไม่? ต้องรู้ว่าหากแต่งซูเอ๋อร์ได้ อนาคตนั้นไกลเป็แน่
“สาวใช้รึ?” แววตาของเจียงอวี๋ซื่อปรากฏแววดูิ่อยู่หลายส่วน
“ข้าจะแต่งให้เขา” เสียงของเจียงซูเอ๋อร์จู่ๆ ก็ดังขึ้นมาจากหน้าประตู “หากไม่ได้แต่งให้เขา ข้ายอมไปบวชเป็แม่ชี ยอมอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิต”
“เ้า...พูดจาเหลวไหล” เจียงอวี๋ซื่อถูกทำให้โมโหแทบสิ้นสติ “มารยาทความละอายของเ้าอยู่ที่ไหน? นี่เป็คำพูดที่หญิงสาวเช่นเ้าควรพูดหรือไม่? เ้ายังจะเอาตัวใส่พานให้เขาอีกหรือไร? ผู้อื่นเขามีหญิงสาวที่ทาบทามเอาไว้แล้ว เขายินดี้าสาวใช้ ไม่ได้้าเ้า”
“ไม่ได้เป็เช่นนั้นนะเ้าคะ” ดวงตาทั้งคู่ของเจียงซูเอ๋อร์แดงเล็กน้อย แต่สีหน้านั้นทุกข์ตรมยิ่งนัก “ท่านแม่คิดว่าข้าสู้สาวใช้คนหนึ่งก็ยังไม่ได้ใช่หรือไม่เ้าคะ? แต่ท่านแม่เคยคิดหรือไม่ เขายังไม่ได้ผ่านพิธีสวมกวาน หากมีหญิงสาวที่ทาบทามไว้แล้วจริงๆ ก็ไม่ควรจะมาถึงวันนี้แล้วจึงมีข่าวออกมา ดังนั้นข้าคาดเดาว่าเขาทำเช่นนี้ก็เพราะข้า”
“ในเมื่อรู้ว่าเขาทำเพื่อปฏิเสธเ้าจนถึงกับยอมแต่งงานกับสาวใช้คนหนึ่ง เ้ายังจะคิดอันใดอีกเล่า?” เจียงอวี๋ซื่อถามกลับ
“ท่านแม่ เขายินดีที่จะอยู่กับสาวใช้คนหนึ่ง แต่ไม่ยินยอมที่จะให้คนอื่นพูดว่าเขา้าอาศัยพวกเรา นี่มิได้พิสูจน์หรือว่าเขาเป็คนมีคุณธรรมเพียงใด?” เจียงซูเอ๋อร์กล่าว
“เหลวไหลทั้งเพ” เจียงอวี๋ซื่อรู้สึกว่าบุตรสาวของนางกำลังตกอยู่ในความหลงใหล “เขามีค่าคู่ควรอันใดให้เ้าไปหลงรัก พวกเ้าเพียงมีวาสนาได้พบหน้ากันไม่กี่ครั้งที่จวนแม่ทัพ หรือว่าพวกเ้า...”
“ขอให้ท่านแม่ระวังคำพูดด้วยเ้าค่ะ” เจียงซูเอ๋อร์รีบพูด “พวกเราเพียงแต่พยักหน้าทักทายกันเท่านั้น ไม่เคยออกนอกลู่นอกทางแม้แต่น้อย เป็ข้าที่มีใจต่อเขา ท่านแม่ หรือว่าข้าเจียงซูเอ๋อร์ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับสาวใช้คนหนึ่งใช่หรือไม่? ในเมื่อผู้ชายสามภรรยาสี่อนุมีถมเถไป เขา้าสาวใช้คนหนึ่ง ก็เพียงแค่มีสาวใช้แต่งงานมาด้วยเท่านั้น ถอยให้อีกหนึ่งก้าวเป็เพียงอี๋เหนียง ท่านแม่ไม่มีความมั่นใจในตัวข้าหรือเ้าคะ?”
“เ้าพูดจาเหลวไหลอันใดกัน? ยังไม่ได้เข้าไปในบ้านของผู้ชาย ก็มาพูดเื่อนุไม่อนุเสียแล้ว?” เจียงอวี๋ซื่อโมโหแทบตาย นี่เป็บุตรสาวที่นางรักและทะนุถนอมมาโดยตลอดเช่นนั้นหรือ? หนังสือที่นางเรียนนั้นเรียนไปถึงไหนกัน?
“ท่านแม่โปรดระงับความโกรธด้วย ขนาดท่านพ่อก็ยังมีอนุเลยมิใช่หรือเ้าคะ?” เจียงซูเอ๋อร์พูดอีก
ในฐานะที่เป็ภรรยาของบุตรชายอนุ ฮูหยินใหญ่เจียงรู้สึกอึดอัดยิ่งนัก อยากขุมหลุมสักหลุมแล้วฝังตัวเองลงไปเลย
“เ้า...เ้า...” เจียงอวี๋ซื่อโมโหจนพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
“ท่านแม่ ข้า้าเพียงเขาเท่านั้น ขอให้ท่านแม่ส่งเสริมด้วยเ้าค่ะ” เจียงซูเอ๋อร์คุกเข่าลง
“แต่เขาได้ปฏิเสธมาแล้ว” เจียงอวี๋ซื่อคิดจะให้บุตรสาวยอมรับความจริง
“ท่านแม่สามารถขอให้ท่านตาออกหน้าได้เ้าค่ะ ท่านตามีบุญคุณระหว่างอาจารย์และศิษย์กับบิดาของท่านพี่ฉางเฉิง” เจียงซูเอ๋อร์เสนอความเห็น
“นี่เ้า...นี่เ้าไฉนจึงต้องทำเช่นนี้? เขาเป็คนธรรมดาที่ธรรมดาไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว” เจียงอวี๋ซื่อไม่รู้ว่าบุตรสาวผู้ฉลาดเฉลียวของนางชอบเขาที่ตรงไหน แต่จะอย่างไรก็ยังดีกว่าชาวบ้านทั่วไปอยู่เล็กน้อย เมื่อมาอยู่ในเมืองหลวงฐานะเช่นนี้ไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึงจริงๆ หากจะพูดถึงเื่หน้าตารูปโฉมหล่อเหลานั้นข้างนอกยังมีอยู่มากมาย หากจะพูดถึงความสามารถ...ก็เป็แค่เพียงองครักษ์คนหนึ่ง
“ต่อให้ผู้อื่นดีกว่านี้ ก็ไม่ใช่คนในใจของข้า ครั้งนั้นท่านแม่ฐานะสูงส่งเพียงใด ไฉนจึงมาแต่งให้ท่านพ่อเล่าเ้าคะ?” เจียงซูเอ๋อร์กล่าว
“เ้า...” เจียงอวี๋ซื่อถอนใจอย่างโมโหครั้งหนึ่ง ความรักระหว่างนางกับสามีั้แ่แต่งงานมานั้นไม่เลวเลย ต่อให้ตลอดสิบปีมานี้นางไม่สามารถให้กำเนิดบุตรให้เขาได้ สามีจะไปห้องอนุก็ยังอยู่ในขอบเขตที่คอยควบคุมเอาไว้เสมอ แต่ไหนแต่ไรมาเขาคำนึงถึงความรู้สึกของนางยิ่งนัก แต่บุตรสาวสุดที่รักของนางไฉนเลยจะรู้ได้เล่าว่า ไม่มีหญิงสาวผู้ใดชมชอบให้สามีของตนมีหญิงอื่นอยู่ในห้อง