ตอนที่จ้าวเถี่ยจู้และหลีหลิงเอ่อร์กลับมาถึงบ้านท้องฟ้าก็กลายเป็สีดำแล้ว
“พวกนายสบายดีไหม่นี้” ซูเหยียนหนีในมือถือไอศกรีมส่วนตาดูทีวีพร้อมกับถามขึ้น
หลีหลิงเอ่อร์เดินไปหยิบไอศกรีมที่อยู่ในตู้เย็นมานั่งกินพร้อมทั้งเล่าเื่ในวันนี้ให้ซูเหยียนหนีฟังส่วนจ้าวเถี่ยจู้ขึ้นห้องตัวเองไปโดยไม่บอกไม่กล่าวอะไร
จ้าวเถี่ยจู้เดินเข้ามาในห้องและล็อคประตูทันใดนั้นในมือเขาก็ปรากฏกำไลหินเส้นหนึ่ง สีหน้าของเขาเ็าขึ้นเรื่อยๆขณะลูบกำไลเส้นนั้น ทันใดนั้นแววตาก็เปลี่ยนเป็อ่อนโยนแล้วพูดเบาๆ กับตัวเอง “ซือหรู วันที่ผมจะแก้แค้นให้คุณมาถึงแล้ว” แล้วเขาก็ล่องหนหายไปในความมืด
ความเร็วของเขาอยู่ในจุดสูงสุดเลยก็ว่าได้เขาล่องหนในความมืดราวกับิญญาก็ไม่ปาน ขณะที่แววตามีแต่ความเ็าใบหน้าก็คล้ายกับไม่มีความรู้สึกใดๆ
ตึกสูงตรงหน้าไม่สามารถขวางเขาไว้ได้เขาะโเพียงแค่ครั้งเดียวก็สามารถขึ้นมายืนอยู่บนชั้นดาดฟ้าได้แล้วจากนั้นเขาก็ะโอีกครั้งเพื่อข้ามไปอีกตึกหนึ่ง
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เขาก็มาถึงยังใจกลางเมืองของเมืองฝูเจี้ยน คืนนี้ ที่นี่จะมีการจัดการประชุมสุดยอดทางเศรษฐกิจและหลีเทียนเฟิงจะมาเป็แขกรวมถึงเป็ตัวแทนสกุลหลีเข้าร่วมงานนี้ด้วย
ตอนนี้เขายืนอยู่บนดาดฟ้าของตึกที่อยู่ตรงข้ามกับตึกโรงแรมห้าดาวซึ่งเป็ตึกที่สูงที่สุดในเมืองนี้การประชุมจะจัดขึ้นภายในห้องประชุมบนชั้นดาดฟ้าของโรงแรมแห่งนี้ผู้นำด้านธุรกิจหลายคนจะมาร่วมงานแม้แต่คนของรัฐบาลยังมาร่วมงานด้วย
ทุกมุมภายในห้องประชุมเต็มไปด้วยบอดี้การ์ดที่พกปืนถ้าหากเกิดเหตุการณ์ไม่ดีขึ้นล่ะก็ มันจะกลายเป็เหมือนแผ่นดินไหวเลยทีเดียวดังนั้นผู้จัดงานจึงต้องวางแผนรักษาความปลอดภัยอย่างหนาแน่น
ที่หน้าประตูทางเข้าของโรงแรมผู้ช่วยเลขาธิการของรัฐบาลเมืองฝูเจี้ยนคนหนึ่งซึ่งเป็หนึ่งในผู้จัดงานกำลังมองไปที่จุดๆหนึ่งอย่างใจจดใจจ่อ ขบวนรถขบวนหนึ่งค่อยๆ แล่นเข้ามาจอดรถที่นำหน้าขบวนคือรถเบนซ์ S600 หนึ่งคันตามมาด้วยรถตู้หนึ่งคัน และยังตามมาด้วยรถโรลส์ รอยซ์อีกหนึ่งคันและด้านหลังสุดยังปิดท้ายด้วยรถออดี้ A6 ซึ่งทุกคันล้วนแล้วแต่เป็สีดำแลดูลึกลับและเคร่งขรึม
ขบวนรถหยุดอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าโรงแรม ชายตัวใหญ่คนหนึ่งลงมาจากที่นั่งด้านข้างคนขับของรถโรลส์รอยซ์ แล้วเดินไปเปิดประตูที่ด้านหลังรถพร้อมทั้งกวาดสายตามองไปรอบๆ ขณะที่รถตู้ด้านหน้ามีชายตัวใหญ่สี่ห้าคนเปิดประตูออกมาแล้วเดินไปล้อมรถโรลส์รอยซ์เอาไว้ แต่ละคนมองไปคนละมุมโดยหนึ่งในนั้นมีคนหนึ่งที่สวมแว่นตาดำเอาไว้ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็แว่นตาที่สามารถจับคลื่นความร้อนได้
ชายใบหน้าซีดขาวคนหนึ่งเดินลงมาจากรถ เขาเป็ชายหน้าตาหล่อเหลาดวงตามีแววอ่อนโยน แต่ก็แฝงด้วยความร้ายกาจและถือดีไม่น่าเชื่อเลยว่าแววตาทั้งสามเหล่านี้จะรวมอยู่ในแววตาของคนๆ เดียวได้
“ยินดีต้อนรับเทียนเฟิง ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลยนะ” ผู้ช่วยเลขาฯเดินเข้าไปทักทายก่อนจะยกมือขึ้นเช็คแฮนด์กับอีกฝ่ายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ชายที่ชื่อหลีเทียนเฟิงยิ้มออกมาซึ่งเป็ยิ้มที่ทำให้คนที่ได้เห็นรู้สึกอยากจะเข้ามาทำความรู้จักจากนั้นผู้ช่วยเลขาฯจึงพาหลีเทียนเฟิงเข้าไปในโรงแรมโดยมีบอดี้การ์ดตามเข้าไปด้วย
เมื่อเห็นหน้าหลีเทียนเฟิง รอบตัวของจ้าวเถี่ยจู้ก็ปรากฏรังสีสังหารขึ้นมาทันทีนี่แหละหลีเทียนเฟิงที่เขารอมานาน เขาคิดก่อนจะรีบรวบรวมสติกลับมาตอนนี้เขายืนอยู่บนชั้นดาดฟ้าของตึกตรงข้ามกับโรงแรมซึ่งจากจุดนี้เขาสามารถมองเห็นบรรยากาศภายในงานได้อย่างชัดเจน และข้างๆเขามีพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ในมือถือวิทยุสื่อสารเอาไว้ด้วยคนจัดงานย่อมไม่ปล่อยให้มุมที่สามารถเห็นบรรยากาศภายในงานแบบนี้ขาดคนรักษาความปลอดภัยแน่นอนเพียงแต่ตอนนี้เขาล่องหนอยู่ พวกนี้เลยมองไม่เห็น
เขารับรู้ได้ถึงแรงที่ถดถอยของร่างกายตัวเอง เป็เพราะตอนนี้เขาล่องหนอยู่แรงที่แต่เดิมมีถึงระดับสิบ ตอนนี้ลดลงเหลือเก้าแล้วและมันก็จะค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆนี่เป็สิ่งที่เขาไม่เข้าใจหลังจากที่ได้พลังนี้มา เหมือนเขามีระบบสมดุลคอยควบคุมการเพิ่มหรือลดของแรงในร่างกายเขาเวลาที่เขาเริ่มล่องหน แรงก็จะเพิ่มขึ้นช้าๆแต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เขาล่องหนทั้งตัวแล้วล่ะก็ แรงจะค่อยๆ ลดลงทันทีเขาเคยทดลองอยู่ครั้งหนึ่ง พบว่าถ้าล่องหนมากกว่าหนึ่งชั่วโมงครึ่งแรงจะลดลงมาอยู่ระดับห้า ถ้าล่องหนั้แ่สองชั่วโมงขึ้นไปแรงจะลงมาอยู่ที่ระดับสอง และถ้ามากกว่าสองสามชั่วโมงครึ่ง เขาจะไม่มีแรงแม้แต่จะขยับตัวก็ไม่ได้และร่างกายก็จะหายล่องหน
ตอนนี้ผ่านมาสี่สิบกว่าทีแล้ว ถ้าเขาไม่รีบลงมือ รอจนแรงลดเหลือระดับห้าโอกาสที่จะสำเร็จก็จะยิ่งน้อยลง
เขาไม่รอต่อไปแล้วเขาเดินถอยไปข้างหลังก่อนจะวิ่งด้วยความเร็วแล้วะโข้ามไปที่ตึกโรงแรมพนักงานรักษาความปลอดภัยที่อยู่บนชั้นดาดฟ้ารู้สึกเหมือนมีลมพัดผ่านตัวไปแรงๆพวกเขาจึงมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เจออะไร
จ้าวเถี่ยจู้ะโข้ามราวกั้นแล้วเดินตรงไปที่ห้องประชุม ระยะทางจากนี่ถึงห้องประชุมยาวประมาณห้าสิบเมตรเขาะโครั้งเดียวก็มายืนบนสนามหญ้าของงานได้แล้ว
เขาแทรกตัวเข้ามาภายในงานแล้วยืนหลบอยู่ที่มุมๆ หนึ่ง
หลีเทียนเฟิงกำลังคุยอยู่กับผู้ช่วยเลขาฯขณะที่ขึ้นลิฟต์มาที่ชั้นจัดงานระหว่างที่ขึ้นลิฟต์เขารู้สึกเสียวสันหลังและรู้สึกเหมือนกับว่ามีอะไรกำลังรอกลืนกินเขาอยู่ที่ห้องจัดงานเขาเชื่อในลางสังหรณ์ของตัวเองเป็อย่างมากั้แ่เด็กเขามีพร์ที่ติดตัวมาอย่างหนึ่ง นั่นก็คือเขามีลางสังหรณ์รับรู้ได้ถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ตอนที่ครอบครัวบอกให้เขามาร่วมการประชุมครั้งนี้ลางสังหรณ์ก็ส่งสัญญาณบอกเขาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่แรงเท่าไหร่ดังนั้นเขาจึงจ้างบอดี้การ์ดของบริษัทรักษาความปลอดภัยชั้นหนึ่งมาเพื่อปกป้องตัวเองและยังแอบจ้างบอดี้การ์ดให้เข้ามาแทรกตัวอยู่ในงานอย่างลับๆ อีกด้วยตอนแรกเขานึกว่าจะปลอดภัยแล้วแต่พอมาถึงที่นี่ลางสังหรณ์ก็เริ่มส่งสัญญาณบอกเขาอีกครั้ง
หลีเทียนเฟิงหันไปสั่งงานบอดี้การ์ดข้างตัวบอดี้การ์ดคนนั้นก็เดินเข้าไปในงาน พูดออกไมค์สองสามประโยคบอดี้การ์ดที่อยู่ภายในงานที่ตอนแรกยืนอยู่เฉยๆก็เริ่มค้นหามุมที่สามารถให้คนใช้เป็ที่หลบได้รวมถึงมุมตรงที่จ้าวเถี่ยจู้ยืนอยู่ด้วย เพียงแต่ชายหนุ่มกำลังล่องหนบอดี้การ์ดเ่าั้เลยหาเขาไม่เจอ
บอดี้การ์ดที่รับคำสั่งมากลับมายืนข้างๆหลีเทียนเฟิงเช่นเดิมเป็สัญญาณว่าไม่มีอันตรายอะไร ผู้จัดงานที่ตอนนี้ทราบว่าตอนนี้หลีเทียนเฟิงมาถึงแล้วจึงเชิญชายหนุ่มขึ้นไปบนเวที “เรียนเชิญคุณหลีเทียนเฟิงขึ้นมากล่าวสุนทรพจน์บนเวทีค่ะ” หลีเทียนเฟิงกดความไม่สบายใจของตัวเองลงไปแล้วเดินเข้าไปในงานประชุมด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้ม
กล้ามเนื้อของจ้าวเถี่ยจู้เกร็งขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่าย “หลีเทียนเฟิง ในที่สุดแกก็โผล่มาแล้ว”