หลีเทียนเฟิงพยักหน้ารับรู้กับพนักงานที่จัดงานจากนั้นเดินตรงไปที่เวทีเพื่อพูดสุนทรพจน์ที่ตนเตรียมมา
จ้าวเถี่ยจู้เดินช้าๆ เข้าไปใกล้หลีเทียนเฟิง บอดี้การ์ดที่อยู่รอบตัวของอีกฝ่ายอดทำให้เขารู้สึกกดดันไม่ได้คนพวกนี้อยู่ทีมเดียวกับอันฉีเอ่อร์ ย่อมต้องแข็งแกร่งกว่าคนปกติเขาจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด จิตใจของจ้าวเถี่ยจู้ในตอนนี้เต็มไปด้วยความแค้นแววตาจึงมีแต่ความเ็า แต่ด้วยความที่เขาเป็นักฆ่า เขาย่อมไม่มีทางแสดงอาการออกมาให้เห็น
หลีเทียนเฟิงรู้สึกไม่สบายใจยิ่งกว่าเดิมราวกับตอนนี้มีคนกำลังจ้องมองเขาอยู่ ทำให้มีเหงื่อไหลออกมาเยอะขึ้นชายหนุ่มปลดเนคไทที่คอออกเล็กน้อยทันใดนั้นเขาก็รู้สึกไม่สบายใจจนถึงขีดสุดและรู้สึกใกับบางสิ่งบางอย่างจนต้องหันกายหลบรอยแผลโดนกรีดพร้อมกับเืที่ไหลออกมาปรากฎอยู่บนหน้าเขาโดยไม่รู้สาเหตุ
จ้าวเถี่ยจู้รู้สึกใเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายมีััที่หกทีแรกเขาคิดจะใช้มีดปาดคอ แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะหลบทันจนโดนเข้าที่ใบหน้าแทน
เพียงแค่หลีเทียนเฟิงร้องออกมาบอดี้การ์ดของชายหนุ่มก็เข้ามารุมล้อมทันทีจนไม่เหลือช่องว่างใดๆพวกนี้ไม่ใช่แค่บอดี้การ์ดธรรมดาแต่เป็คนที่ได้รับการฝึกออกมาจากโลกมืดดังนั้นพอเจอเหตุการณ์แบบนี้ ประโยคแรกที่พูดออกมาก็คือ โม่วอิ่งปรากฏตัวแล้ว
สำหรับชื่อโม่วอิ่ง พวกเขาได้ยินจนคุ้นแล้ว ฆ่าคนโดยไม่เห็นตัว นี่เป็ลักษณะเฉพาะตัวของโม่วอิ่งถึงแม้ว่าในใจของพวกเขาจะรู้สึกกลัวมากแค่ไหนแต่ด้วยหน้าที่พวกเขาจึงต้องยังอยู่คุ้มครองหลีเทียนเฟิง พวกบอดี้การ์ดคุ้มครองหลีเทียนเฟิงอย่างแ่าระหว่างพาวิ่งออกนอกห้องประชุม พนักงานรักษาความปลอดภัยภายในงานต่างก็ชักปืนออกมาพร้อมกับมองไปรอบๆ ห้องส่วนผู้เข้าร่วมงานคนอื่นๆรู้ว่านักฆ่าที่มาลงมือแค่หลีเทียนเฟิงคนเดียวเท่านั้นจึงไม่แสดงสีหน้าใออกมา
“หลีเทียนเฟิง แกวิ่งหนีไปเถอะ ในเมื่อโผล่หน้าออกมาให้เจอแล้ว ยังไงข้าก็ต้องฆ่าแกด้วยมือของข้าเองให้ได้ให้แกได้ลิ้มรสความเ็ปที่ไม่มีวันสิ้นสุด” แววตาของจ้าวเถี่ยจู้เต็มไปด้วยความเกลียดชังขณะมองไปที่บรรดาบอดี้การ์ดที่กำลังพาหลีเทียนเฟิงออกไป
ไม่นานก่อนหน้านี้ อันฉีเอ่อร์แนะนำเขาว่าให้หาที่เหมาะๆแล้วใช้ปืนซุ่มยิงเอา เป็วิธีที่ง่ายแล้วก็ปลอดภัยแต่เขาปฏิเสธความเกลียดที่เขามีต่อหลีเทียนเฟิง มันต้องใช้มือฆ่าให้ตายเท่านั้นความเกลียดนี้ถึงจะหายไปได้ ใช้แค่ปืน มันไม่สะใจหรอก
จ้าวเถี่ยจู้ล่องหนตามหลีเทียนเฟิงออกจากห้องประชุมตอนนี้อีกฝ่ายมีบอดี้การ์ดล้อมหน้าล้อมหลังอย่างแ่าทำให้เขาไม่คิดที่จะลงมืออีก ถึงยังไงเขาก็รู้ที่อยู่ของหลีเทียนเฟิงแล้วเหลือก็แค่เวลาและวิธีการเท่านั้น
หลีเทียนเฟิงกลับลงมาที่ชั้นล่างแล้วขึ้นไปนั่งบนรถรถเบนซ์ที่อยู่หน้าขบวนรายงานความพร้อมแล้วขบวนรถก็เคลื่อนตัวออกไป
จ้าวเถี่ยจู้ออกจากการล่องหนอย่างเงียบๆ อยู่ที่มุมหนึ่งเขาเดินไม่กี่ก้าวก็สามารถมาหยุดยืนไม่ไกลจากขบวนรถได้แล้วจากนั้นเขาก็เดินตามขบวนรถของหลีเทียนเฟิงไปช้าๆ ถนนที่เขาใช้เป็ถนนสายเล็กๆฉะนั้นพวกบอดี้การ์ดที่อยู่บนรถจึงไม่มีใครทราบ
หลีเทียนเฟิงเช็ดเืที่อยู่บนหน้าออกอย่างตระหนก ชื่อโม่วอิ่งเขาก็เคยได้ยิน เพียงแต่ตอนที่โม่วอิ่งปรากฏตัวเขาไปจัดการธุระอยู่ที่สำนักงานใหญ่ของครอบครัวที่ต่างประเทศสำหรับชื่อนี้เขารู้เพียงแค่ว่าจะฆ่าเฉพาะคนที่สมควรถูกฆ่าเท่านั้นไม่คิดเลยว่าวันนี้โม่วอิ่งจะลงมือมาที่เขา เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าโม่วอิ่งใช้อะไรตัดสินว่าเขาคือคนที่สมควรถูกฆ่าหรือว่าจะมีใครจ้างให้มาฆ่าเขา!
“ติดต่อพ่อที” เพียงไม่นานชายหนุ่มก็กลับมาเป็ปกติสมกับที่เป็ผู้สืบทอดของสกุลหลีในปัจจุบัน
“พ่อ ผมถูกลอบฆ่า” เขาบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“....” ปลายสายเงียบอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบกลัมมา “ใคร”
“โม่วอิ่ง”
“แกให้คนขับรถขับไปที่สนามบินส่วนตัวของบ้านเรา แล้วรีบนั่งเครื่องกลับมา”
“ครับ” เขาวางสาย จากนั้นจึงสั่งงานกับคนขับรถเขาหยิบบุหรี่จากช่องด้านข้างขึ้นมาจุดสูบ แล้วพ่นควันออกมาด้วยสีหน้าโเี้ “ไม่ว่าแกจะเป็ใคร ฉันจะต้องฆ่าแกให้ได้”
ที่สำนักงานของสกุลหลีที่ยุโรป ชายวัยห้าสิบคนหนึ่งหลังจากวางสายก็หันไปสั่งงานกับชายแก่ในชุดพ่อบ้านที่อยู่ด้านข้าง “ให้เทียนเต้าไปดูแลเฟิงเอ่อร์”
“ครับ” ชายแก่รับคำด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจากนั้นก็เดินออกจากห้องหนังสือไปแต่ขณะที่ฟ้าผ่าลงมาทำให้เห็นสีหน้าที่โเี้ของชายแก่
ในบ้านซอมซ่อหลังหนึ่งในเมืองฝูเจี้ยนชายวัยรุ่นคนหนึ่งนั่งดูหนังรักของญี่ปุ่นอยู่ในหนังชายหญิงกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดจนทำให้ชายที่ดูอยู่อดตื่นเต้นไม่ได้ทันใดนั้นเสียงมือถือของชายหนุ่มก็ดังขึ้น ชายหนุ่มกดตัดสายโดยไม่มองเลยสักนิดผ่านไปไม่กี่นาทีเสียงมือถือก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็กดตัดสายเช่นเดิมเป็แบบนี้อยู่หลายรอบจนในที่สุดชายวัยรุ่นก็ยอมกดรับสาย
“นายท่านให้นายไปดูแลคุณชายเฟิง” เสียงชราพูดสั่งมาตามสาย
“เฮ้อ คนแก่คนนั้นอีกแล้วเหรอ ผมกำลังดูหนังอย่างสนุกอยู่แท้ๆ ได้ๆ ที่ไหนล่ะไปเดี๋ยวนี้แหละ” ชายวัยรุ่นพูดกับปลายสายอย่างขุ่นเคือง
“สนามบินส่วนตัวสกุลหลี”
“ได้”
ชายวัยรุ่นกดวางสายแล้วหยิบเสื้อแจ็คเก็ตขึ้นมาสวม พร้อมทั้งหยิบดาบโบราณจากใต้เตียงมาเหน็บไว้ที่เอวเขาปิดประตูบ้านแล้วเดินหายไปในความมืด
จ้าวเถี่ยจู้เดินตามขบวนรถของหลีเทียนเฟิงมาถึงที่เปิดโล่งแห่งหนึ่งซึ่งมีเฮลิคอปเตอร์กำลังจอดรออยู่ ที่นี่แหละจะกลายเป็ที่ฝังศพแกเขาคิดก่อนจะะโขึ้นไปอยู่บนรถออดี้
ปึง หลังคารถถูกเขาะโใส่อย่างแรงจนยุบตัวลงล้อที่ไม่สามารถทนรับแรงกดได้กระเด็นหลุดหายไปและรถทั้งคันก็จมลงไปในพื้นปูนซีเมนต์
เขาเตรียมจะะโอีกรอบโดยมีเป้าหมายอยู่ที่รถโรลส์ รอยซ์
ขบวนรถหยุดอย่างกะทันหันบอดี้การ์ดที่นั่งอยู่ด้านข้างคนขับเปิดประตูลงมาจากรถแล้วเดินไปเปิดประตูฝั่งของหลีเทียนเฟิงบอดี้การ์ดดึงหลีเทียนเฟิงให้ลงมาจากรถแล้วพาวิ่งหนีขณะที่เขาเพิ่งจะะโลงมายืนบนหน้ารถของรถโรลส์ รอยซ์
รถโรลส์ รอยซ์เป็รถที่สามารถกันะุได้ แต่ตอนนี้กลับโดนเขาะโลงมาใส่จนฝากระโปรงหน้ารถแทบจะพังยับเยินเขาเดินตามบอดี้การ์ดและหลีเทียนเฟิงไปอย่างรวดเร็วจนสามารถไปดักไว้ที่ด้านหน้าได้ทันบอดี้การ์ดที่อยู่กับหลีเทียนเฟิงเมื่อเห็นเขาก็รู้สึกใสุดขีดคนตรงหน้าเป็คนไม่มีหัว! !
จ้าวเถี่ยจู้แสยะยิ้มให้อีกฝ่าย ตอนนี้มีเพียงหัวของเขาเท่านั้นที่ล่องหนหนึ่งคือคนตรงหน้าจะได้ไม่เห็นหน้าตาของเขา สองคือศัตรูจะได้รู้สึกกลัวและสามก็คือทำแบบนี้จะช่วยเขาประหยัดแรงได้ ถ้าเลือกล่องหนแค่ส่วนใดส่วนหนึ่งระบบในร่างกายเขาจะกลับมาสมดุล แรงของเขาจะไม่ลดต่ำลง
บอดี้การ์ดตรงหน้าเดาได้ถึงแผนการของเขาจึงหยิบปืนสั้นขึ้นมาจากเอวแล้วจ่อมาตรงหน้าเขาอีกทั้งรอบตัวเขายังมีบอดี้การ์ดห้าคนยืนล้อมเอาไว้อีกด้วยทำให้เขาไม่มีทางจะหลบออกไปได้เลยคนทั้งห้าคนนั้นต่างก็ส่งรังสีคุกคามอย่างรุนแรงมาที่เขา ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็เคร่งขรึมในทันที
คนทั้งห้าคนเหล่านี้เป็บอดี้การ์ดชั้นหนึ่ง มีแรงพอๆกับเล่ยจื่อเลยทีเดียว ถ้าเกิดว่ามีแค่คนเดียว เขาสามารถจัดการได้สบายมาก แต่นี่มีถึงห้าคนมันจะกลายเป็ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดที่เขาเคยเจอมาเลย
ห้าคนแล้วยังไง สู้ก็สู้สิ เขาตัดสินใจ