คนในตระกูลจูไม่ได้มีพวกข้าราชการชั้นสูงอะไรติงอ้ายเจินเป็ผู้อำนวยการในโรงงานฝ้ายแห่งชาติที่สาม บิดาจูฟ่างก็เป็เพียงหัวหน้าแผนกของสำนักงานรัฐ
แต่ความร้ายกาจคือเหล่าเครือญาติของตระกูลจูได้กระจายตัวดำรงตำแหน่งในระดับที่ไม่แตกต่างกันมากนัก
เครือญาติห่างไกลล้วนมีอำนาจไม่มากก็น้อย ดูปกติไม่สะดุดตาเหมือนกับใยแมงมุมทว่าแทรกซึมไปในองค์กรและหน่วยงานบางส่วนของซางตูได้ ถ้าเป็ธุระประเภทจัดฝากงานทางตระกูลจูต้องเปลืองเส้นสายทางสังคมมากทีเดียว ทว่าสำหรับการยับยั้งหนังสืออนุญาตประกอบการของธุรกิจอิสระมีช่องว่างให้กระทำการเื่นี้ใหญ่กว่ามาก สามารถทำได้อย่างง่ายดายยิ่งนัก!
คนดำเนินการไม่ได้พูดว่าไม่ทำให้ แต่พูดว่าคุณไม่ผ่านคุณสมบัติถามอีกรอบก็ไม่มีคำอธิบายใดๆ
สำหรับเซี่ยเสี่ยวหลานที่รีบร้อนเปิดกิจการเช่นนี้ หากเลื่อนเวลาไปอีกไม่กี่เดือนคงจะไม่ทันการเสียแล้ว...จ่ายค่าเช่าก็แล้ว จ่ายเงินจำนวนมากในการตกแต่งภายในก็แล้ว มีหน้าร้านพร้อมใช้แต่กลับไม่ได้ใช้ยังจะไปตั้งแผงลอย เซี่ยเสี่ยวหลานคงเป็พวกสมองทึบแน่!
ไม่เป็คนโง่แล้วจะทำอย่างไรได้?
กล้าดำเนินการโดยไร้ใบอนุญาตและดึงดันเปิดกิจการหรือ
ไม่เพียงแต่จะทำให้ ‘หลานเฟิ่งหวง’ เปิดร้านในสถานการณ์ที่ไร้หนังสืออนุญาตประกอบกิจการยังมีอีกหลากหลายวิธีที่ตระกูลจูจะใช้จัดการเธอ แม้แต่หน่วยตรวจการพานิชย์ก็สามารถตรวจสอบจนธุรกิจของเซี่ยเสี่ยวหลานจนพังทลายได้เช่นกันไม่แน่ว่าอาจตั้งข้อหา ‘เก็งกำไรโดยมิชอบ’ แก่เซี่ยเสี่ยวหลานอีกด้วย จะเข้าคุกหรือไม่ต้องดูอารมณ์ของพวกเขา
เซี่ยเสี่ยวหลานมิใช่วัยรุ่นที่ไร้ประสบการณ์อุบายเหล่านี้เธอรู้จักดียิ่งกว่าอะไร
เพราะรู้จักดีถึงได้รังเกียจเดียดฉันท์ เวลาคนมีอำนาจเล็กน้อยในมือแต่กลับใช้อำนาจในทางมิชอบไม่ถือว่าน่าเกรงกลัวแต่ช่าง ‘น่ารังเกียจ’ เสียจริงๆ
“บ้านจู!”
เซี่ยเสี่ยวหลานโมโหจนปวดฟัน
เธอกำลังครุ่นคิดว่าตนเองควรใช้วิธีการใดแก้ไขปัญหานี้
การกดดันด้วยอำนาจ แผนเอกคือหาคนที่ทีอำนาจมากกว่ากดดันพวกเขากลับ
แผนโทคือปลุกปั่นจูฟ่างไปโวยวายกับครอบครัว
แผนตรีคือเปลี่ยนตนเองเป็หินที่ตำเท้า ตระกูลจูเหยียบโดนเธอก็ต้องเ็ปหลีกหนีไปให้ห่างไกลั้แ่บัดนี้!
หากพิจารณาระดับความยากในการจัดการของแผนเอก โท ตรี ทั้งสาม ลำดับก็พอย้อนสลับกันได้ตัดแผนปลุกปั่นจูฟ่างกลับบ้านไปโวยวายออกอันที่จริงแผนตรีง่ายดายกว่าเผนเอกเสียอีกเซี่ยเสี่ยหลานควบคุมการกระทำของตนเองได้ง่ายกว่าแผนเอกคือการหาคนที่อำนาจสูงมากดดันตระกูลจู...ไร้ซึ่งต้นทุนมูลค่าเท่าเทียมสำหรับแลกเปลี่ยน คนมีอำนาจจะช่วยเธอไปทำไมกัน?
ตระกูลจูหยั่งรากลึกในซางตู ส่วนเธอนั้นไม่ใช่คนซางตูด้วยซ้ำ
ระยะเวลาของการเกิดใหม่สั้นเหลือเกินเซี่ยเสี่ยวหลานมีเวลาพอแค่มุ่งสู่ชีวิตชนชั้นกลาง โดยการพาครอบครัวย้ายจากชนบทเข้าเมืองมาเพื่อพัฒนาชีวิตเดิมทีการทำความรู้จักเครือข่ายต่างๆ นานาเป็แผนในขั้นตอนต่อไปหลังจากนี้
เธอรู้จักผู้มีศักยภาพคนไหนบ้าง?
คนแรกคือเฉินวั่งต๋า หัวหน้าหมู่บ้านชีจิ่งคุณสมบัติทหารผ่านศึกยุคปฏิวัติ มีอำนาจเด็ดขาดในหมู่บ้านชีจิ่งมีเส้นสายเล็กน้อยในเขตอันชิ่ง แต่ในซางตูเมืองหลักประจำมณฑลอวี้หนาน เฉินวั่งต๋าไม่ถือว่าเป็บุคคลยิ่งใหญ่อะไรนัก
ผู้มีศักยภาพอีกคนคือหูหย่งไฉ คนจัดซื้อของบ้านพักรับรองประจำเมืองหยิบยืมประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่การงาน จึงมีเครือข่ายคนรู้จักในซางตูอยู่บ้างเป็ ‘ปาท่องโก๋ [1]’ ประจำถิ่นซางตูทว่าในขณะเดียวกันก็ถูกจำกัดด้วยอาชีพจัดซื้อ ทำให้ไม่มีโอกาสปีนป่ายขึ้นสู่แวดวงสังคมที่สูงชั้นกว่าโดยสิ้นเชิง—หากคิดอีกแง่หนึ่ง ต่อให้หูหย่งไฉมีเส้นสายกับผู้หลักผู้ใหญ่สักคนจริงย่อมสายเกินไปที่จะหลบซ่อนแอบให้ความช่วยเหลือแก่เซี่ยเสี่ยวหลานอยู่ดี อีกทั้งทำไมเขาต้องอุทิศตัวช่วยเซี่ยเสี่ยวหลานงัดข้อกับตระกูลจูด้วยเล่า?
เครือข่ายที่ไกลกว่านี้ก็คือทางเซี่ยนอีจงการสอบปลายภาครอบนี้เธอน่าจะทำได้ดีมาก จะขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ใหญ่ซุนได้หรือไม่?
ช่างเถอะ อาจารย์ใหญ่ซุนอาจรู้จักคนในระบบการศึกษาของซางตูโดยอ้อมแต่เขาเป็ ‘ที่พึ่ง’ ของเซี่ยจื่ออวี้
เื่นี้ไม่อาจปล่อยให้อาจารย์ใหญ่ซุนร่วมวงเข้ามาได้
หากประนีประนอมไม่ได้ ใช้อำนาจกดดันตระกูลจูไม่ได้ดังนั้นก็ทำได้เพียงเกลือจิ้มเกลือกับตระกูลจู จับจุดอ่อนของตระกูลจูให้ได้!
เซี่ยเสี่ยวหลานจมอยู่ในความคิด หลิวหย่งอยากพูดบางอย่างแต่ก็รั้งไว้
“เสี่ยวหลาน คราวก่อนที่ลุงไปถอนหุ้นจากเพื่อน คังเหว่ยหาคนช่วยเจรจาให้คนคนนั้นบอกว่าตัวเองถูกส่งมาโดยเลขาโหว เดิมทีเขาลังเลมาก พอได้ยินว่าเป็เลขาโหวพวกนั้นก็ตกลงในทันที”
หลิวหย่งร้อนรนจนโกรธเคืองเช่นกัน
ถ้า ‘หลานเฟิ่งหวง’ เปิดกิจการไม่ได้ทรัพย์สินของเขาและหลานสาวอาจไม่ถึงขั้นขาดทุนย่อยยับ ทว่าแผนงานภาพรวมอาจถูกทำให้หยุดชะงัก
เงินสำหรับตกแต่งภายในลงทุนไปเกือบหมด วัสดุก็ซื้อเรียบร้อยเหลือแค่ค่าแรงของคนงานที่ยังไม่ได้ชำระ บวกค่าเช่าเข้าไปอีก ร้านสามคูหานี้ได้ลงทุนเงินถึงหลักหมื่นหยวนแล้ว...ถ้าเปิดกิจการไม่ได้ มิใช่ว่าเงินหลักหมื่นต้องเสียเปล่าหรือ?
ไปหยางเฉิงเพื่อเหมาเสื้อผ้ามาขายกำไรดีไม่ใช่น้อย แต่หลิวหย่งรู้ดีว่ามันเหนื่อยยากเพียงใด
เซี่ยเสี่ยวหลานเพิ่งอายุ 18 ปีเดินทางไปหยางเฉิงหนึ่งรอบก็ต้องอยู่บนรถไฟนานกว่า 30 ชั่วโมง เทียวไปเทียวมาทั้งยังนั่งที่นั่งธรรมดารวม 70 กว่าชั่วโมง ทำได้แค่หมอบงีบบนโต๊ะ นั่งจนเหนื่อย หาก้ายืดเส้นยืดสายก็ทำได้เพียงเดินในตู้รถเท่านั้น!
เพื่อที่จะขายเสื้อผ้า ยังต้องทนกับสภาพอากาศอันแสนเยือกเย็นด้านนอกใน่ฤดูกาลอันหนาวเหน็บแต่งตัวหนาแค่ไหน ยืนอยู่ข้างนอกในฤดูหนาวทั้งวันลมหนาวจะไม่แทรกเข้าผ่านคอเลยหรือ? แขนเสื้อรัดกุมแค่ไหนพันผ้าพันคอไปก็ไร้ประโยชน์ ค้าขายต้องะโเสียงดังฟังชัดใส่ผ้าปิดปากจะสมควรหรือ!
หลิวหย่งไม่เคยไปตั้งแผง ทว่าหลี่เฟิ่งเหมยเพิ่งตั้งแผงเองสองวันยืนจนเท้าบวมน้ำ ตกกลางคืนต้องออกแรงอย่างมากกว่าจะถอดรองเท้าได้จากนั้นก็ต้มน้ำเดือดจัด เบ้หน้าอดทนต่อน้ำที่มีอุณหภูมิสูง แช่เป็เวลาครึ่งชั่วโมงมิเช่นนั้นเืลมบริเวณเท้าจะไหลไม่ดี กลางดึกหนาวเย็นจนนอนไม่หลับวันต่อมาจะเดินไม่ไหว
ตอนนั้นหลี่เฟิ่งเหมยกัดฟันแช่เท้าพลางพูดว่าเซี่ยเสี่ยวหลานลำบากยิ่งนักทำธุรกิจอิสระไม่ได้สุขสบายไปมากกว่างานเกษตรเลย
ตอนหลี่เฟิ่งเหมยประสบธุรกิจไม่ราบรื่น ก็ร้อนใจเสียธาตุไฟเข้าแทรกเกิดแผลร้อนในภายในปาก ทำงานเกษตรเหนื่อยกาย ทำธุรกิจอิสระเหนื่อยทั้งกายและใจสินค้าต้องใช้เงินซื้อมา ขายไม่ออกจะกดดันมากขนาดไหน?
หาเงินลำบากถึงเพียงนี้ หลิวหย่งคัดค้านการคบหาดูใจของโจวเฉิงและเซี่ยเสี่ยวหลานก็จริงแต่สงสารในความลำบากของเซี่ยเสี่ยวหลานอยู่ดี
มีเส้นสายทำไมไม่ใช้เล่า!
มิใช่ว่าตระกูลจูก็ใช้อำนาจเล็กๆ น้อยๆ ข่มเหงคนหรอกหรือ?
คำพูดของโจวเฉิงมีความจริงใจทีเดียว หลิวหย่งอยากชมให้เห็นกับตาเสียหน่อยว่าเขาเอาความจริงใจออกมาได้เท่าไรกันแน่
“ลุงหมายความว่า โจวเฉิงรู้จักคนมีอิทธิพลในวางตู?”
“ถ้าไม่ใช่โจวเฉิง ก็เป็คังเหว่ยหนึ่งในพวกเขาสองคนต้องมีเส้นสายในซางตูแน่นอน”
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดๆ แล้ว หน่วยงานของโจวเฉิงควบคุมเข้มงวดเธอจึงลองถามไถ่คังเหว่ย
พอคังเหว่ยได้รับโทรเลข ก็โห่ร้องพลางกระทืบเท้าไปด้วย
“เสี่ยวกวง พี่กวง พี่เอาเื่ของพี่เฉิงจื่อป่าวประกาศไปทั่วตอนนี้โอกาสทำดีชดเชยความผิดมาถึงแล้ว... พี่ฟังผมนะ มีคนรังแกภรรยาพี่โจวเฉิงไม่ยอมปล่อยใบอนุญาตประกอบกิจการให้เธอ”
ไม่เหมือนการค้าบุหรี่เก็งกำไรเช่นพวกเขา ร้านเสื้อผ้าเป็ธุรกิจเปิดเผยทำไมจึงไม่ให้ใบอนุญาตประกอบการล่ะ?
รังแกเซี่ยเสี่ยวหลานเพราะเป็เพียงคนชนบทไม่คุ้นเคยกับผู้คนและสถานที่ในซางตู ไร้คนออกหน้ากู้สถานการณ์แทนสินะเก่งกาจเสียจริงๆ คนทั้งตระกูลข่มเหงเด็กสาวต่างถิ่นคนเดียว!
คังเหว่ยจับเส้ากวงหรงได้แล้ว
เส้ากวงหรงสุราเข้าปากก็ก่อเื่ สาบานว่าจะไม่ปากสว่าง แต่กลับทำเื่แดงจนคนทั่วสารทิศรู้กันภายในเวลาเพียงสองวันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเื่ราวได้แพร่ไปถึงหูผู้ใหญ่ั้แ่เมื่อไรเส้ากวงหรงไม่กล้าสู้หน้าคังเหว่ย ่นี้จึงเอาแต่หลบหน้าหลบตา หลังจากที่ได้ยินคังเหว่ยพูดว่า ‘ทำดีชดเชยความผิด’ ขึ้นมาั์ตาของเส้ากวงหรงก็ส่องประกายความเ้าเล่ห์ออกมาทันที
“จะไปซางตูหรือ? ได้ได้ได้ เดี๋ยวฉันจะไปทักทายพี่สะใภ้ด้วยตัวเอง...โอ้ไม่สิ ฉันจะไปทักทายลุงของฉันต่างหาก”
เชิงอรรถ
[1]老油条 ปาท่องโก๋ หมายถึง คนที่เจนโลก มีประสบการณ์ เอาตัวรอดได้เก่ง
