“หลงเซี่ยวอวี่ ท่านใช้อะไรมาให้ข้าอยู่ดีๆ?” เสียงของมู่จื่อหลิงนั้นเฉยเมย ดวงตาใสกระจ่างทอประกายแปลกหน้า ราวกับว่าระหว่างพวกเขาเป็แค่คนแปลกหน้า
ความเหินห่างโดยตั้งใจของมู่จื่อหลิง สีหน้าท่าทางที่แปลกหน้าและไม่แยแสของนาง ทำให้สีหน้าของหลงเซี่ยวอวี่ครึ้มลงจนหน้ากลัวโดยพลัน ดูเหมือนข่มความโกรธที่มองไม่เห็นเอาไว้ในใจ
“ท่านพูดสิว่าทำไมข้าต้องยอมอยู่ในจวนดีๆ?” มู่จื่อหลิงยิ้มเยาะหยัน รอยยิ้มบางเบาราวกับดอกถานฮวาที่เบ่งบานในคืนที่มืดมิด สวยงามทว่าโดดเดี่ยว ดูเหมือนซักไซ้ แต่ก็เหมือนกำลังพึมพำกับตนเอง
โดยไม่รอให้หลงเซี่ยวอวี่ตอบ มู่จื่อหลิงเอ่ยถามต่อว่า “หรือว่าผู้อื่นรังแกไม่จบไม่สิ้น ตามฆ่าจนถึงที่สุด ข้าก็ต้องกล้ำกลืนความโกรธ คอยหลบๆ ซ่อนๆ?”
ถ้ายามนี้นางไม่ใช่ฉีหวางเฟย ก็คงไม่มีเื่ราวมากมายเพียงนี้ คงไม่ใช่ผู้ที่ไปที่ใดคนก็เกลียด ไปที่ใดก็คงไม่ทำให้คนไล่ฆ่า
ถ้าเป็ไปได้ นางเองก็ไม่อยากนั่งในตำแหน่งที่สตรีนับไม่ถ้วนใฝ่ฝัน และการตำแหน่งนี้ก็ทำให้มีสตรีนับไม่ถ้วนอิจฉาและเกลียดชัง
แต่ตอนนี้ในสายตาทุกคนนางคือฉีหวางเฟยที่น่าริษยาและเกลียดชัง นี่คือความจริงที่มิอาจโต้แย้ง
ในฐานะฉีหวางเฟย สิ่งที่ต้องแบกรับทั้งหมดเหล่านี้ นางไม่เกรงกลัว ยอมรับแล้ว และไม่มีวันถอยหลัง
แต่ถ้านางเป็เพียงหญิงธรรมดาสามัญที่คอยแต่จะปักดอกไม้ใบหญ้าอยู่ที่เรือนก็ช่างเถิด ทว่านางมิใช่
ชาติก่อน แม้ว่านางจะเป็หมอ แต่ก็ถูกครอบครัวของผู้ป่วยตำหนิและดุด่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่อาศัยที่นางไม่เคยผิดพลาดในการรักษา อาศัยที่นางเป็อัจฉริยะด้านการแพทย์ที่โดดเด่นในโรงเรียนแพทย์
อะไรคือความน้อยเนื้อต่ำใจ อะไรคือคนใบ้กินหวงเหลียน สำหรับนางแล้วไม่อาจใช่ตัวตนของนางเลยสักนิด
ยามนี้คนอื่นรังแกมาจนถึงศีรษะแล้ว หรือว่านางต้องอดทนไปตลอด? ต้องหลบซ่อนไปตลอด? น่าขบขันเสียนี่กระไร!
นางไม่กลัวความริษยาเกลียดชังของผู้อื่น และไม่กลัวที่จะถูกไล่ฆ่า นางสามารถจัดการกับคนที่เกลียดชังนางได้อย่างใจเย็น และสามารถต่อกรกับคนที่อยากจะฆ่านางอย่างโหดร้ายได้อีกด้วย แต่มิอาจรับโทสะที่ไม่มีเหตุผลและความน้อยเนื้อต่ำใจได้
ประโยคนี้ หลงเซี่ยวอวี่ฟังออกถึงความนัยที่แฝงอยู่ ชั่วขณะหนึ่งใบหน้าของเขาก็เดี๋ยวก็หมองเดี๋ยวก็สว่าง เอาแน่เอานอนไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปที่ดวงตาลุ่มลึกอันเฉยเมย ดึงดันและแน่วแน่ ั์ตาของหลงเซี่ยวอวี่นั้นก็มืดอย่างน่ากลัว ริมฝีปากบางของเขาขยับเล็กน้อย และเสียงของเขาที่เ็าและเหี้ยมเกรียมเอ่ยขึ้น “ฉีหวางเฟย วันนั้นเปิ่นหวางพูดกับเ้าว่าอะไร เ้าลืมไปหมดแล้ว?”
วันนั้นเขาช่างพูดมากมายนัก แต่นางรู้ว่าสิ่งที่เขาถามคืออะไร
มู่จื่อหลิงยิ้มเย็นในใจ
ลืม? นางจะลืมไปได้อย่างไร?
สำหรับนางแล้ว คำนั้นที่เขาพูดกลายเป็บทเรียนอันแสนเ็ปของนางภายในระยะเวลาสั้นๆ รู้แจ้งได้อย่างรวดเร็วนั่น นางจะลืมได้อย่างไร?
เธอยังคงจำสิ่งที่เขาพูดข้างหูของนางในวันนั้นตราบจนวันนี้ได้อย่างชัดเจน เขาพูดเื่ของหลงเซี่ยวหนาน รวมทั้งฮองเฮาว่าเขาจะจัดการเอง ทุกสิ่งล้วนมอบให้เขา!
แม้ว่านางไม่รู้ว่าเขาแข็งแกร่งแค่ไหน แต่นางก็รู้ว่าเขามีความสามารถนั้น
หากเป็เขาลงมือ ไม่เพียงแต่จะหาความจริงเื่ของหลงเซี่ยวหนานออกมาได้อย่างง่ายดาย ฮองเฮาก็จะถูกโค่นและไม่สามารถพลิกตัวขึ้นมาได้อีก รวมถึงอำนาจที่อยู่เื้ันางก็จะถูกสลายไปจนหมดสิ้น
ดังนั้นเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูดในตอนนั้น นางจึงไม่กังวล ไม่วุ่นวายใจ และนางยังดีอกดีใจอย่างโง่เขลาอยู่นานเพราะคำพูดนี้
ในชั่วพริบตานั้น นางเชื่อเขาจนหมดหัวใจ คิดจะพึ่งพาเขาอย่างเงียบๆ
ทว่าต่อมานางก็พบว่า นางเป็ฉีหวางเฟย สตรีในสังคมอันเลวร้าย ศัตรูที่ยากแท้หยั่งถึงต้องมีมาต่อเนื่องไม่ขาดสายอย่างแน่นอน นางอาจจะพึ่งพาเขาได้แค่่หนึ่ง แต่มิอาจพึ่งไปได้ทั้งชาติ
อีกอย่าง ฉีอ๋องเป็ใครกัน? น้ำใจของเขา นางชดใช้ไม่ไหว
ทุกอย่างมอบให้เขา? จะมอบให้เขาได้อย่างไร?
เพราะหญิงผู้นั้น เขาจึงทิ้งนางไว้มิใช่หรือ?
ถ้าเสิ่นซือหยางไม่เรียกนางในวันนั้น ถ้าไม่หลบได้อย่างโชคช่วย ตอนนี้นางจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่? ตอนนี้จะยังสามารถยืนอยู่ตรงนี้หรือไม่?
วินาทีที่ถูกลูกศรวันนั้น นางถึงได้รู้ว่า พึ่งูเา ูเาถล่ม พึ่งคน คนหนี สิ่งที่สามารถพึ่งพาได้ที่สุดก็เป็ตนเอง
ตลอด...? พึ่งพาเขาตลอดไป? เป็ไปได้หรือ? มุมปากมู่จื่อหลิงยกเป็รอยยิ้มเย็นระคนเสียดสี
และยามนี้ฮองเฮาก็ถูกควบคุมแล้ว กู่ปรสิตก็หาเจอแล้ว คดีก็ไม่จำเป็ต้องสอบสวนอีก
ต่อให้เื้ัฮองเฮาจะมีผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงกู่ ตอนนี้ยังไม่ได้สืบจนถึงที่สุด วันหน้าหากกู่ยังแพร่พันธุ์ออกมาได้อีก เป็ภัยต่ออาณาประชาราษฎร์ เื่นั้นก็ไม่เกี่ยวกับนาง
เธอไม่ใช่พระโพธิสัตว์ที่มาโปรดสัตว์ ตนเองยังดูแลไม่ไหว แล้วยังจะไปดูแลคนทั้งใต้หล้า
ยิ่งกว่านั้น ยากนักที่ฮองเฮาจะถูกนางควบคุม วันหน้าอาจจะเป็ไพ่ตายในมือของนาง ถ้าตอนนี้ฮองเฮาล้ม นางจะไปสู้กับคนอื่นในวังได้อย่างไร?
มู่จื่อหลิงเงยสายตาขึ้น มองไปที่หลงเซี่ยวอวี่อย่างจริงจัง น้ำเสียงของเธอก็ผ่อนคลายเอาแต่ใจ "คำพูดที่ฉีอ๋องพูดข้าจะกล้าลืมได้อย่างไร? ทว่านี่เป็เื่ที่ข้าก่อเอง ข้าแก้ไขด้วยตัวเองได้ มิต้องรบกวนท่านอ๋อง”
ไม่รู้เลยว่า คำพูดนี้ของนางเหมือนไปแหย่รังแตน ทันทีที่ออกมาก็มิอาจเก็บกลับไปได้อีก
ดวงตาที่ลุ่มลึกราวกับใบมีดน้ำแข็งที่ซุกซ่อนอยู่ในหิมะของหลงเซี่ยวอวี่แผ่กลิ่นอายจับจ้องไปที่มู่จื่อหลิงอย่างไร้ความปรานี ท่ามกลางเพลิงโทสะแผดเผา ก็พูดออกมาทีละคำ "มู่จื่อหลิง เ้าพูดอีกรอบ"
เขาในยามนี้ราวกับถูกมารปีศาจเข้าสิงร่าง ดวงตาเ็าหนาวเหน็บจ้องไปที่มู่จื่อหลิง ราวกับสัตว์ที่ดุร้ายโเี้
หัวใจของมู่จื่อหลิงสั่นสะท้าน ทันใดนั้นก็มีความรู้สึกเย็นะเืแทรกซึมเข้าไปในแขนขาและกระดูก ทำให้นางกลัวตามสัญชาตญาณ กลัวยิ่งนัก
นางเม้มริมฝีปากแน่น นิ่งเงียบไม่พูดจา ยืนอย่างสงบอยู่ที่เดิม งดงามราวกับประติมากรรมชิ้นเล็กๆ ในคืนที่มืดมิด สีหน้าท่าทางนิ่งสงบราวกับน้ำ ไร้คลื่นอารมณ์
หยดเือุ่นวาบที่กลิ้งไหลอยู่บนแขน หยดลงมาที่นิ้วชี้ นางไม่รู้สึกเลยแม้แต่น้อย ยามนี้รับรู้ได้เพียงแต่ความเย็นเยียบบางๆ ที่อยู่รอบตัว
เมื่อสบสายตาเหี้ยมเกรียมของเขา ในที่สุด นางก็ขยับจมูกเล็กน้อย เชิดคางขึ้นอย่างดื้อรั้น สีหน้ามุ่งมั่น ปราศจากความอ่อนแอ พูดอย่างรวบรัดว่า “เื่ของข้า ไม่ต้องให้ท่านมากังวล"
ใบหน้าของหลงเซี่ยวอวี่พลันะเิอารมณ์ขึ้นอย่างรุนแรงราวกับสายฟ้า น่าเกรงขาม มิอาจป้องกัน ั์ตาทอประกายความกระหายเื ทำให้คนหนาวลึกไปถึงกระดูก
เขายื่นมือมาจับลำคอเรียวบางของมู่จื่อหลิงไว้อย่างฉับพลัน
ในขณะนี้ ผู้ใดก็ไม่รู้ว่า ฉีอ๋องโกรธอย่างที่สุดเป็ครั้งแรก
ในขณะนี้ ผู้ใดก็ไม่รู้ว่า ในโลกนี้ ผู้ที่มีความสามารถพอทำให้ฉีอ๋องโกรธไปจนถึงระดับนี้มีเพียงแค่สตรีไร้ความกลัวเกรง ขวัญกล้าเทียมฟ้าตรงหน้าเขา
การหายใจที่มั่นคงในเดิมทีจู่ๆ ก็ถูกขัดขวาง ความรู้สึกกลัวที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนก็แผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของมู่จื่อหลิง
ทว่านางก็ไม่ได้ดิ้นรนหรือส่งเสียงร้องอ้อนวอน นางยื่นมือข้างที่ไม่ได้รับาเ็ พยายามใช้แรงทั้งหมดแงะนิ้วของเขาโดยหมดสิ้น
อย่างไรก็ตาม นิ้วมือทั้งห้าของหลงเซี่ยวอวี่ที่แข็งแรงทรงพลังราวกับคีมเหล็กก็ไม่ขยับเขยื้อน ตรงกันข้ามกับการต่อต้านของมู่จื่อหลิง
ในชั่วขณะนั้นเอง มู่จื่อหลิงในเงื้อมมือแข็งแกร่งของเขาก็เล็กราวกับฝุ่น เหมือนว่าเพียงถูกเขาบีบเบาๆ ชีวิตนางก็จะจบสิ้นเช่นนี้
เมื่อสูดอากาศอันสดชื่นเข้าไปไม่ได้แม้แต่น้อย ใบหน้าซีดขาวของมู่จื่อหลิงก็เปลี่ยนเป็สีแดงอมเขียวระเรื่อ ลำคอแสบร้อนประหนึ่งถูกไฟแผดเผา
ความเ็ปที่ยากจะรับ ทำให้ใบหน้ามู่จื่อหลิงยับย่น นางเจ็บจนอ้าปาก คิดจะสูดอากาศเข้าไปเล็กน้อย เธออ้าปากด้วยความเ็ป พยายามสูดอากาศเล็กน้อย แต่ถูกมือใหญ่แข็งแกร่งที่อยู่ใต้คอของเธอขวางไว้ เพราะลำคอกำลังถูกกำไว้แน่น
มู่จื่อหลิงที่ใกล้จะขาดอากาศหายใจเหมือนเห็นว่ายมบาลกำลังเรียกอยู่ มือของเธอตกลงตามแรงโน้มถ่วง สติของนางยิ่งพร่าเลือน การมองเห็นของนางก็ยิ่งพร่ามัว
ในขณะที่นางอยากจะบังคับเปลือกตาให้มองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนที่อ้างว้างโดดเดี่ยวเป็ครั้งสุดท้าย
ในขณะที่มู่จื่อหลิงคิดว่าิญญาของนางถูกยมบาลกระชากอย่างแรง พร้อมจะออกไปจากร่างของนางทั้งเป็
ทันใดนั้น เงาขมุกขมัวและหนาทึบก็ทาบลงมา ริมฝีปากบางที่เย็นเยียบริมฝีปากแดงของนางได้อย่างแม่นยำ
ลมหายใจที่คุ้นเคยหอมกรุ่นไหลเข้าสู่ลำคอที่หายใจไม่ออกของมู่จื่อหลิงอย่างเผด็จการ ในที่สุดก็ไหลเข้าไปยังปอดที่หายใจไม่ออกของนาง
ในชั่วเวลาหนึ่งมู่จื่อหลิงก็เห็นว่าใน่เวลาสุดท้ายของชีวิตนาง ์ก็เมตตานางอีกครั้ง ในที่สุดก็ปรากฏปาฏิหาริย์ นางที่สติพร่าเลือนคว้าปาฏิหาริย์ที่มิได้มาโดยง่ายนี้เอาไว้แน่น
ทั้งสองอิงแอบเข้าด้วยกัน ข้าร้องขอเ้าตอบสนอง ต่างฝ่ายต่างทำสิ่งที่้า ลึกซึ้งราวภาพวาดแห่ง่เวลาสงบงดงาม
ฟ้าค่อยๆ สาง ท้องฟ้าสีครามอ่อนมีดวงดาวริบหรี่อยู่สองสามดวง ทุกสรรพสิ่งบนโลกขมุกขมัว ราวกับถูกคลุมด้วยผ้าม่านสีเทา
ฝ่ามือใหญ่ที่จับคอของมู่จื่อหลิงอย่างแน่นค่อยๆ คลายออก แต่ดวงตาลุ่มลึกเหมือนหยดหมึกของหลงเซี่ยวอวี่ยังคงหนาวเหน็บ เย็นเยียบจนเสียดแทงเข้าไปในกระดูก
“ฉีหวางเฟย เ้าลืมคำพูดของเปิ่นหวางไปหมดแล้วจริงหรือ?” หลงเซี่ยวอวี่ค่อยๆ เชยคางเรียวของมู่จื่อหลิงขึ้นช้าๆ บังคับให้นางสบสายตาของเขาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ใส่ใจทว่าเ็า
ดวงตาของมู่จื่อหลิงเต็มไปด้วยน้ำตา เกราะป้องกันทั้งหมดในใจของเธอถูกฉีกขาดออกจากกันนานแล้ว นางร้องออกมาอย่างน้อยใจ "เจ็บ!"
“ตอนนี้รู้จักเจ็บแล้ว” หลงเซี่ยวอวี่จ้องนางด้วยสีหน้ามืดครึ้ม ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย แววตาเจือโทสะ “เจ็บแล้วจะได้จำ”
มู่จื่อหลิง ที่เดินผ่านประตูแห่งความเป็ตาย เพียงชั่วขณะนั้นสมองนางก็หมุนติ้วราวกับใบพัด
เขาเคยพูดว่า นางมิอาจมีเื่เป็ของตนเอง นี่เขาเตือนนางเป็ครั้งที่สามแล้ว แต่ละครั้งน่ากลัวขึ้นทุกที
เขาเคยพูดว่า เขาไม่ชอบคำว่า ‘ขอบคุณ’ สองคำนี้ วันนี้นางพูดไปถึงสองรอบ จู่ๆ ก็ไปยั่วโทสะเขา
ทุกคำ ทุกประโยคที่เขาเคยพูด นางล้วนนึกขึ้นมาได้อย่างชัดเจน
มู่จื่อหลิงมองชายตรงหน้าด้วยความหวาดผวา ชายผู้นี้...น่ากลัวเหลือเกิน เหมือนถูกภูตผีปีศาจสิงร่างนัก
หลงเซี่ยวอวี่ฉีกแขนเสื้อของมู่จื่อหลิง สิ่งที่เขาเห็นคือความน่าตื่นใ แขนเรียวของนางชุ่มโชกไปด้วยเืสดๆ เขาจ้องนางนิ่งเป็เวลานาน
จึงเห็นว่าบนหน้าผากเกลี้ยงเกลาของนางผุดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ขึ้นมา ยกเว้นริมฝีปากสีแดงสดแล้ว ใบหน้าของนางก็ซีดราวกับกระดาษ ไร้สีเื ราวกับวินาทีถัดไปจะไม่สามารถพยุงตัวเองไว้ได้
ในท้ายที่สุด เขายังขมวดคิ้วเล็กน้อย มองมู่จื่อหลิงด้วยดวงตาที่ลึกซึ้ง
สิ่งที่ตามมาคือไอทรงพลังสายหนึ่งที่เอนเข้าไปหามู่จื่อหลิง......
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้