ตอนที่ 3 เส้นไหมสีทอง
กาลเวลาในวังหลวงไหลผ่านไปราวกับสายน้ำที่เอื่อยเฉื่อยแต่ไม่เคยหยุดนิ่ง ภายนอกกำแพงสีชาด ฤดูกาลผันเปลี่ยน จากสารทฤดูที่เย็นเยียบสู่เหมันต์ที่แห้งแล้ง ทว่าภายในวังหลวง บรรยากาศกลับตึงเครียดและไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล มันคือสมรภูมิที่ไร้เสียงดาบ แต่กลับชุ่มโชกไปด้วยเืและน้ำตาที่มองไม่เห็น
หนึ่งเดือนเต็มผ่านไปนับั้แ่กองทัพของจิ้นอ๋องจ้าวเฟิงเคลื่อนพลออกจากนครหลวง ข่าวคราวจากชายแดนทางเหนือมีมาอย่างกระพริดกระปรอย แต่ละข่าวที่เล็ดลอดผ่านประตูวังเข้ามา ล้วนถูกบิดเบือนและแต่งแต้มสีสันจนยากจะคาดเดาความจริงได้ บ้างก็ว่ากองทัพของจิ้นอ๋องบุกตะลุยไปราวกับพายุที่โหมกระหน่ำ สังหารทหารซยงหนูไปนับหมื่น บ้างก็ว่าจิ้นอ๋องติดกับดักของศัตรูและถูกล้อมไว้ในหุบเขาที่กันดาร รอวันที่จะพ่ายแพ้และสิ้นชื่อ
เยว่หลิงได้ยินข่าวลือเหล่านี้ทุกวันจากปากของเหล่านางกำนัลและขันทีที่จับกลุ่มสนทนากันตามมุมมืดของวังหลวง แต่ละครั้งที่ได้ยินชื่อของเขา หัวใจของนางจะกระตุกวูบอย่างห้ามไม่ได้ นางเรียนรู้ที่จะซ่อนความรู้สึกไว้ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉยสงบนิ่ง ดุจผืนน้ำในบึงที่ไร้คลื่นลม แต่ใครเลยจะรู้ว่าภายใต้ความสงบนิ่งนั้นคือวังน้ำวนที่เชี่ยวกราก
นางไม่ได้ปล่อยให้แต่ละวันผ่านไปอย่างไร้ค่าอีกต่อไป นางได้สลัดคราบของนางกำนัลที่เอาแต่ก้มหน้าทำงานไปวันๆ ทิ้งไปแล้ว บัดนี้นางคือเหยี่ยวที่ซ่อนกรงเล็บไว้ใต้ปีกอันอ่อนนุ่ม ดวงตาของนางไม่ได้เพียงแค่มอง แต่คือการสังเกต หูของนางไม่ได้เพียงแค่ฟัง แต่คือการสดับรับรู้และวิเคราะห์
นางเริ่มจดจำใบหน้า ตำแหน่ง และความสัมพันธ์ของขุนนางทุกคนที่เข้าออกตำหนักจื่อเวยกง นางเรียนรู้ที่จะแยกแยะว่าขุนนางคนใดเป็คนของฝ่ายใด ใครคือคนสนิทขององค์รัชทายาท ใครคือผู้สนับสนุนขององค์ชายรอง และใครคือขั้วอำนาจเก่าที่ยังคงจงรักภักดีต่อตระกูลของฮองเฮาองค์ก่อน นางซึมซับข้อมูลเหล่านี้ราวกับฟองน้ำที่ดูดซับน้ำ สร้างแผนที่แห่งอำนาจขึ้นในใจของนางอย่างเงียบเชียบ
นางรู้ดีว่าความงามของนางคือดาบสองคม มันสามารถเปิดประตูบางบานให้นางได้ แต่ก็สามารถตัดคอของนางได้เช่นกัน ดังนั้น นางจึงต้องมีสิ่งอื่น...สิ่งที่จะทำให้นางมีค่ามากกว่าแค่รูปโฉมภายนอก สิ่งที่จะทำให้บุรุษที่อันตรายที่สุดในแผ่นดินผู้นั้นมองเห็นว่านางไม่ใช่แค่ของเล่นที่สวยงาม แต่เป็หมากตัวหนึ่งที่มีประโยชน์บนกระดานการเมืองของเขา
และแล้ว...โอกาสก็มาถึงนางในรูปแบบที่ไม่มีใครคาดคิด
ใกล้ถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบหกสิบพรรษาขององค์พระพันปีหลวง (ไทเฮา) ทั่วทั้งวังหลวงจึงวุ่นวายอยู่กับการเตรียมงานเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่ หนึ่งในเครื่องราชบรรณาการชิ้นสำคัญที่สุดที่องค์จักรพรรดิมีพระราชประสงค์จะถวายแด่พระราชมารดา คือฉากปักลาย "หงส์คู่สดุดีตะวัน" ขนาดสิบสองพับ ซึ่งเป็งานที่ต้องใช้ช่างปักฝีมือดีที่สุดของแผ่นดินนับร้อยคน และใช้เวลาเตรียมการมานานกว่าสามปี
งานปักอันวิจิตรมโหฬารนี้ อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของกองเครื่องภูษาภรณ์ ซึ่งมีหลี่ซ่างกงเป็ผู้ควบคุมดูแลโดยตรง และนี่คือที่มาของหายนะ
เย็นวันหนึ่ง ขณะที่เยว่หลิงกำลังนำน้ำแกงตังฉื่อ ที่ตุ๋นจนได้ที่ไปส่งให้หลี่ซ่างกงที่ห้องทำงานของนางตามปกติ นางก็ได้ยินเสียงของตกแตกดังลั่นมาจากข้างใน ตามมาด้วยเสียงสบถด่าอย่างกราดเกรี้ยวของหลี่ซ่างกง
"พวกไร้ประโยชน์! ทั้งกองภูษาภรณ์มีแต่พวกไร้ประโยชน์เช่นนี้รึ! ด้ายเพียงเส้นเดียวก็ยังทำให้เหมือนไม่ได้ แค่นี้ก็ทำไม่ได้ แล้วจะมีชีวิตอยู่ต่อไปให้สิ้นเปลืองข้าวสุกของวังหลวงไปเพื่ออะไรกัน!"
เยว่หลิงชะงักฝีเท้าอยู่หน้าประตู นางลังเลว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ ในวังหลวงนี้ การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเื่ของผู้เป็นายในขณะที่พวกเขากำลังอารมณ์ไม่ดีนั้น ถือเป็การกระทำที่โง่เขลาและอาจนำภัยมาสู่ตัวได้
แต่สัญชาตญาณบางอย่างกลับบอกนางว่า นี่อาจจะเป็โอกาสของนาง
นางสูดหายใจเข้าลึกๆ ควบคุมสีหน้าให้ดูสงบและเป็กังวลเล็กน้อย ก่อนจะเคาะประตูเบาๆ "หลี่ซ่างกงเ้าขา น้ำแกงตังฉื่อได้แล้วเ้าค่ะ"
"เข้ามา!" เสียงตวาดตอบกลับมา
เยว่หลิงค่อยๆ เปิดประตูเข้าไป สิ่งที่นางเห็นคือภาพของห้องทำงานที่ข้าวของกระจัดกระจาย เศษถ้วยชากระเบื้องเคลือบลายครามแตกเกลื่อนพื้น นางกำนัลาุโสองคนกำลังคุกเข่าตัวสั่นงันงกอยู่เบื้องหน้าโต๊ะทำงานของหลี่ซ่างกง ส่วนตัวของหลี่ซ่างกงนั้นยืนหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ ในมือนางถือตัวอย่างเส้นไหมสีทองปึกหนึ่งอยู่
เยว่หลิงวางถาดน้ำแกงลงบนโต๊ะเล็กๆ ที่มุมห้องอย่างแ่เบาที่สุด ก่อนจะค้อมกายลง "หลี่ซ่างกง โปรดรักษาสุขภาพด้วยเ้าค่ะ อย่าให้เื่เล็กน้อยมาบั่นทอนร่างกายเลย"
"เื่เล็กน้อยรึ!" หลี่ซ่างกงตวัดสายตาคมกริบมามองนาง "เ้ารู้หรือไม่ว่านี่คือเื่คอขาดบาดตาย! ฉากปักของไทเฮาใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่ด้ายสีทองอร่ามอมแดงซึ่งเป็สีหลักของตัวหงส์เส้นสุดท้ายกลับหมดลง! ข้าให้คนของกองย้อมสีพยายามย้อมขึ้นมาใหม่เป็ร้อยเป็พันครั้ง แต่ก็ไม่มีใครสามารถย้อมให้ได้สีที่เหมือนเดิมทุกกระเบียดนิ้วได้! หากสีผิดเพี้ยนไปแม้เพียงนิดเดียว สายพระเนตรของไทเฮาก็ย่อมมองออก แล้วหัวของข้ากับพวกเ้าทุกคนก็คงไม่ได้อยู่บนบ่าอีกต่อไป!"
เยว่หลิงลอบมองตัวอย่างด้ายในมือของหลี่ซ่างกง มันเป็สีทองที่งดงามอย่างประหลาด ไม่ใช่สีทองสว่างจ้า แต่เป็สีทองที่นุ่มนวล มีประกายสีแดงเรื่อๆ ราวกับแสงอาทิตย์ยามอัสดงซ่อนอยู่ในเนื้อไหม เป็สีที่เปี่ยมด้วยความสูงศักดิ์และบารมีอย่างแท้จริง
นางกำนัลาุโคนหนึ่งโขกศีรษะลงกับพื้น "ซ่างกงเ้าขา พวกเราพยายามแล้วจริงๆ แต่สูตรการย้อมด้ายสีนี้เป็ของอาจารย์ช่างย้อมคนเก่าซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อปีก่อน เขาไม่ได้ทิ้งบันทึกอะไรไว้เลย พวกเราจนปัญญาแล้วจริงๆ เ้าค่ะ"
หลี่ซ่างกงทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างหมดแรง ใบหน้าที่เคยเคร่งขรึมอยู่เสมอ บัดนี้ฉายแววสิ้นหวังอย่างเห็นได้ชัด
ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง ภาพความทรงจำในวัยเด็กของเยว่หลิงก็ผุดขึ้นมาในหัว ภาพของคุณยายของนางที่กำลังนั่งทอผ้าอยู่ใต้ถุนบ้านในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ห่างไกล คุณยายของนางเคยเป็ช่างทอผ้าประจำตระกูลขุนนางเก่าแก่ตระกูลหนึ่งก่อนที่จะแต่งงานออกมา นางเคยเล่าให้เยว่หลิงฟังถึงเคล็ดลับการย้อมผ้าและเส้นไหมด้วยวิธีโบราณต่างๆ ที่สืบทอดกันมาในหมู่ช่างฝีมือชั้นสูง
"หลี่ซ่างกงเ้าขา" เยว่หลิงเอ่ยขึ้นเบาๆ แต่หนักแน่น "บางที...บางทีเคล็ดลับอาจจะไม่ได้อยู่ที่สีย้อมเพียงอย่างเดียวเ้าค่ะ"
ทุกคนในห้องหันมามองนางเป็ตาเดียว หลี่ซ่างกงขมวดคิ้ว "เ้าหมายความว่าอย่างไร?"
"ข้าเคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่เล่าให้ฟังเ้าค่ะ" เยว่หลิงแสร้งทำเป็เล่าเื่ที่ได้ยินมา เพื่อไม่ให้ดูเป็การอวดรู้จนเกินงาม "ว่าการจะย้อมไหมให้ได้สีทองอร่ามอมแดงที่งดงามเช่นนี้ นอกจากจะต้องใช้ดอกคำฝอย ชั้นดีที่สุดที่เก็บในยามเช้าตรู่ และเปลือกของต้นหวางป๋อ แล้ว เคล็ดลับสำคัญอยู่ที่การเตรียมเส้นไหมก่อนการย้อมเ้าค่ะ"
นางหยุดเล็กน้อยเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของหลี่ซ่างกง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังตั้งใจฟัง นางจึงกล่าวต่อ "ต้องนำเส้นไหมไปแช่ในน้ำข้าวที่หมักไว้เจ็ดวันเจ็ดคืน จากนั้นนำไปผึ่งแดดอ่อนๆ ยามเช้าสามวัน แล้วจึงนำไปอบด้วยควันจากกำยานและไม้จันทน์อีกหนึ่งคืนเต็ม กระบวนการนี้จะทำให้เส้นไหมเปิดรับสีได้ดีขึ้น และทำให้เกิดประกายสีแดงเรื่อๆ จากภายในเมื่อถูกย้อมด้วยสีทองเ้าค่ะ"
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน หลี่ซ่างกงจ้องมองเยว่หลิงเขม็งราวกับจะมองให้ทะลุเข้าไปถึงจิตใจ "เ้าแน่ใจรึ?"
"ข้าไม่กล้ารับประกันเ้าค่ะ แต่หากซ่างกงสิ้นหนทางแล้วจริงๆ การลองดูอีกสักครั้งก็คงไม่เสียหายอะไร" เยว่หลิงตอบอย่างนอบน้อม แต่แววตาของนางฉายแววแน่วแน่มั่นคง
หลี่ซ่างกงนิ่งคิดอยู่ครู่ใหญ่ ในสถานการณ์ที่คับขันเช่นนี้ นางไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว "ดี! ข้าจะให้โอกาสเ้า! จงไปที่กองย้อมสีเดี๋ยวนี้ และลงมือทำตามที่เ้าพูดทุกอย่าง! ข้าจะไปดูด้วยตัวเอง หากเ้าทำสำเร็จ ข้าจะปูนบำเหน็จให้เ้าอย่างงาม แต่ถ้าหากนี่เป็เพียงเื่เหลวไหลที่เ้ากุขึ้นมาเพื่อโอ้อวด เ้าก็จงเตรียมตัวไปเป็อาหารปลาในสระบัวท้ายวังได้เลย!"
คำขู่นั้นทำให้ร่างของเยว่หลิงเย็นเยียบไปชั่วขณะ แต่นางก็โค้งคำนับรับคำสั่งอย่างไม่ลังเล "น้อมรับคำสั่งเ้าค่ะ ซ่างกง"
...
ตลอดทั้งคืนนั้น กองย้อมสีซึ่งปกติจะเงียบสงัดกลับสว่างไสวและคึกคักเป็พิเศษ เยว่หลิงกลายเป็ผู้บัญชาการจำเป็ นางสั่งการช่างย้อมด้วยความคล่องแคล่วและเด็ดขาดราวกับเป็คนละคนกับนางกำนัลผู้เงียบขรึมคนเดิม นางตรวจสอบคุณภาพของดอกคำฝอย คัดเลือกเปลือกหวางป๋อด้วยตนเอง และควบคุมอุณหภูมิของน้ำในหม้อย้อมอย่างพิถีพิถัน
หลี่ซ่างกงนั่งดูการทำงานของนางอยู่ไม่ห่างด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา ในตอนแรกนางคิดว่าเด็กสาวคนนี้อาจจะแค่โชคดีที่เคยได้ยินเื่เล่าแปลกๆ มา แต่เมื่อเวลาผ่านไป นางก็เริ่มมองเห็นบางอย่างในตัวเยว่หลิง...ความละเอียดลออ ความรอบคอบ และความมั่นใจที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีที่นอบน้อม
เมื่อเส้นไหมผ่านกระบวนการเตรียมการตามที่เยว่หลิงบอกทุกขั้นตอนแล้ว ในที่สุดก็นำลงไปย้อมในหม้อสีทอง ทุกสายตาจับจ้องไปยังเส้นไหมนั้นอย่างใจจดใจจ่อ
เวลาผ่านไปราวกับชั่วนิรันดร์...
ในที่สุด เยว่หลิงก็ให้สัญญาณนำเส้นไหมขึ้นจากหม้อย้อม
วินาทีที่เส้นไหมสีทองชุ่มโชกถูกยกขึ้นมาต้องกับแสงเทียน ทุกคนในที่นั้นต่างเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
มันคือสีทองอร่ามอมแดงสีเดียวกันกับตัวอย่างไม่ผิดเพี้ยน! ไม่สิ มันดูงดงามและมีประกายเจิดจร้ายิ่งกว่าเดิมเสียอีก! แสงสีแดงเรื่อๆ ที่ส่องประกายออกมาจากเนื้อไหมนั้นราวกับมีชีวิต ทำให้เส้นไหมดูราวกับเส้นผมของเทพธิดาบน์
หลี่ซ่างกงลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ นางเดินเข้ามาหยิบเส้นไหมที่ย้อมเสร็จใหม่ๆ ขึ้นมาเทียบกับตัวอย่างในมือ สีของมันเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว!
นางหันมามองเยว่หลิงด้วยแววตาที่สั่นระริก ในที่สุดใบหน้าที่เคร่งขรึมมาตลอดก็ปรากฏรอยยิ้มจางๆ ขึ้นเป็ครั้งแรก "เยว่หลิง เ้าทำได้ดีมาก! ดีมากจริงๆ!"
เช้าวันรุ่งขึ้น ข่าวเื่ที่นางกำนัลเยว่หลิงสามารถแก้ปัญหาเื่ด้ายปักฉากของไทเฮาได้สำเร็จก็แพร่สะพัดไปทั่วกองภูษาภรณ์อย่างรวดเร็ว หลี่ซ่างกงรักษาสัญญา นางเลื่อนตำแหน่งให้เยว่หลิงจากการเป็นางกำนัลชั้นผู้น้อยที่ทำหน้าที่รับใช้ทั่วไป ขึ้นมาเป็ผู้ช่วยส่วนตัวของนาง มีหน้าที่ดูแลและตรวจสอบคุณภาพของผ้าไหมและด้ายปักทั้งหมดที่จะถูกนำมาใช้ในงานของราชสำนัก
มันคือการก้าวะโครั้งยิ่งใหญ่ ตำแหน่งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้นางไม่ต้องทำงานหนักตรากตรำเหมือนเดิม แต่ยังทำให้นางมีโอกาสได้เข้าถึงข้อมูลชั้นในของกองภูษาภรณ์ และที่สำคัญที่สุดคือ ทำให้นางได้เข้าใกล้ผู้มีอำนาจมากขึ้น
เย็นวันนั้น หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจใหม่ในวันแรก เยว่หลิงกลับมาที่ห้องพักของนาง อาจูวิ่งเข้ามากอดนางด้วยความดีใจ "เยว่หลิง ข้ายินดีกับเ้าด้วยจริงๆ! ในที่สุด์ก็มีตาเสียที!"
เยว่หลิงยิ้มรับ แต่ในใจของนางกลับสงบนิ่งกว่าที่เคยเป็ นี่เป็เพียงก้าวแรกเท่านั้น เป็เพียงการวางหมากตัวแรกบนกระดานที่กว้างใหญ่และอันตรายนี้
คืนนั้น ขณะที่นอนอยู่บนเตียง นางหลับตาลง นึกถึงใบหน้าคมคายของบุรุษผู้นั้น จิ้นอ๋องจ้าวเฟิง
นางกำลังปูทางเดินของนางให้พร้อม สำหรับวันที่เขาจะกลับมา
นางไม่รู้ว่าเขาจะพอใจกับสิ่งที่นางทำหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ นางจะไม่ยอมเป็เพียงบุปผาในเงาจันทร์ที่รอวันให้ใครมาเด็ดดอมอีกต่อไปแล้ว นางจะเป็ผู้เล่น นางจะเป็ผู้ที่กำหนดชะตาชีวิตของตนเอง แม้ว่าหนทางข้างหน้าจะต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม
และในความมืดมิดนั้นเอง นางรู้สึกได้ถึงความร้อนรุ่มที่ก่อตัวขึ้นในร่างกายอีกครั้ง ความปรารถนาในตัวเขาไม่ได้ลดน้อยลงเลย มันกลับยิ่งรุนแรงขึ้นเมื่อถูกผสมโรงเข้ากับความทะเยอทะยานที่เพิ่งถูกจุดประกายขึ้นใหม่ นางลูบไล้เรือนร่างของตนเองอย่างแ่เบา จินตนาการถึงััที่หยาบกร้านแต่ร้อนแรงของเขา...จินตนาการถึงวันที่นางจะได้เป็ของเขาอย่างสมบูรณ์ ทั้งร่างกาย และอำนาจที่อยู่เื้ัร่างกายนั้น.
