คาดไม่ถึงว่าคนทั้งสองจะต่อสู้กันบนหลังคาบ้านเรือนในตลาด เ้าถอยข้ารุก เ้ารุกข้าถอย โดยไม่มีผู้ใดยอมผู้ใด ช่างเหมือนกับจอมยุทธ์จากยุทธภพกำลังตัดสินบุญคุณความแค้น
หลิงอ๋องรู้ว่าเฉินอ๋อง้าสู้กับเขาเพียงลำพังเพราะไม่อยากให้เขาสั่งเคลื่อนกำลังองครักษ์รักษาพระองค์ที่ติดตามมา และไม่อยากให้เกิดการต่อสู้ระหว่างองครักษ์รักษาพระองค์ของเขากับองครักษ์รักษาพระองค์ที่มารับเกี้ยวเ้าสาวของจวนเฉินอ๋อง เพราะเกรงว่าจะกลายเป็เื่ใหญ่จนไม่อาจเก็บกวาดในภายหลัง
เพราะรับน้ำใจของเขาและรู้ว่าฝีมือการต่อสู้ของเฉินอ๋องไม่อาจเทียบตน ด้วยเหตุนี้เขาจึงใช้กระบวนท่าตั้งรับ นอกจากนั้นยังคิดหาโอกาสบุกไปยังเกี้ยวเ้าสาว จัดการทำลายเกี้ยวเ้าสาวแล้วพาซีเอ๋อร์หนีไป
ทว่าหลังผ่านไปหลายกระบวนท่า คาดไม่ถึงว่าวิชากระบี่ของเฉินอ๋องจะพัฒนาขึ้นเป็อย่างมาก มีหลายครั้งที่เขาเกือบพลาดท่าเสียที ด้วยเหตุนี้จึงไม่อาจดูแคลนและต่อสู้อย่างเอาจริงเอาจัง
นึกไม่ถึงว่าเ้าสามที่แลดูลุ่มหลงหญิงงามและเสียงดนตรี แต่ละวันใช้ชีวิตอย่างเสเพล แท้จริงแล้วจะมีฝีมือเก่งกาจด้านการต่อสู้ นอกจากนั้นยังบรรลุวิชากระบี่ขั้นสูงอย่างเกินความคาดหมาย ทว่าหลังประมือกันไปมากลับพบว่าวิชาตัวเบายังด้อยอยู่บ้าง
ทว่าปัญหาก็คือตลอดหลายปีมานี้เขาฝึกวิชาการต่อสู้บนหลังม้า วิชาตัวเบาจึงไม่ได้พัฒนาเช่นกัน แม้จะมองเห็นข้อด้อยของเฉินอ๋อง แต่ความเป็จริงวิชาตัวเบาของตนกับเขาก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก
คนทั้งสองต่อสู้กันอยู่นานจนผู้ชมด้านล่างต่างพากันปวดคอ แต่ก็ยังดูไม่ออกว่าผู้ใดแพ้ชนะ
แม้จะบอกว่านั่งอยู่ในเกี้ยวไม่อาจมองเห็นการต่อสู้ด้านนอก ทว่าใบหน้าของหรงหว่านซีกลับไม่ฉายแววเคร่งเครียดแม้แต่นิด ยังคงราบเรียบดังเดิม เพราะนางรู้ว่าต่อให้ร้อนรนไปก็ไร้ประโยชน์ มิสู้ฉวยโอกาสในตอนนี้รีบคิดหาทางแก้ปัญหาแต่โดยเร็ว
แม้เฉินอ๋องไม่มีวิธีที่ดีที่สุดสำหรับระงับความวุ่นวายเพราะการชิงตัวเ้าสาว ในทางกลับกันเขายังทำให้เป็เื่ใหญ่มากกว่าเดิม แต่นางรู้ว่าคราแรกเฉินอ๋อง้าไกล่เกลี่ยเพื่อยุติข้อขัดแย้ง และนางก็ยังได้ยินเสียงถกเถียงของชาวบ้านรอบข้าง จึงรู้ว่าหลิงอ๋องพาองครักษ์สวมเครื่องแบบทหารติดตามมาด้วยจำนวนไม่น้อย
หรงหว่านซีรู้ว่าการต่อสู้ตัวต่อตัวเช่นนี้ แม้จะดูเหมือนเฉินอ๋องเป็ฝ่ายทำให้เื่ยิ่งตึงเครียด แต่ความเป็จริงก็ยังคงเป็เฉินอ๋องที่ใจกว้าง พยายามสุดความสามารถเพื่อควบคุมเื่นี้ไม่ให้ยิ่งวุ่นวายไปกันใหญ่
เหตุที่เฉินอ๋องใช้วิธีนี้ในการแก้ปัญหา เพราะนี่คือวิธีที่ดีสุดและได้ผลที่สุดยามเผชิญหน้ากับความเด็ดเดี่ยวของหลิงอ๋อง
มิใช่ว่าในใจของนางไม่รู้สึกซาบซึ้ง...
ทว่าความซาบซึ้งนี้กลับน้อยนิดเสียจนไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึง เมื่อเทียบกับความซาบซึ้งใจเพราะพี่หลิงมาขวางการแต่งงาน เพียงแต่ในความเป็จริงสองสิ่งนี้ไม่อาจนำมาเปรียบเทียบ เฉินอ๋องทำเช่นนี้อาจเป็เพราะคำนึงถึงเกียรติของตน เกียรติของเชื้อพระวงศ์ รวมถึง... อาจคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องจริงๆ
พี่หลิงก่อเื่เช่นนี้โดยไม่สนว่าผลลัพธ์จะเป็เช่นไร คาดว่าจะต้องถูกฝ่าาและไทเฮาลงโทษสถานหนักอย่างแน่นอน
เขาไม่ใช่คนไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ แต่คาดไม่ถึงว่าวันนี้เขากลับยอมทำลายชื่อเสียงวีรบุรุษหนุ่มของตนเพื่อนาง ทิ้งความกตัญญูและคุณธรรมที่ยึดถือมาโดยตลอดไว้ข้างหลัง อีกทั้งยังคาดไม่ถึงว่าเขาจะมาชิงตัวภรรยาน้องชายกลางตลาดและลงมือกับน้องชายที่ตนรักและให้ความสำคัญมาโดยตลอด
มารดาของพี่หลิงคือฮุ่ยจาวอี๋ บุตรีที่เกิดจากฮูหยินเอกคนใหม่ของพระราชครูเซิ่น หลังพระราชครูเซิ่นแต่งงานใหม่เพราะฮูหยินเอกคนก่อนเสียชีวิต คือน้องสาวคนสนิทต่างมารดาของพระสนมเอกเซิ่น พี่หลิงเคยเล่าว่าในบรรดาพระโอรสเหล่านี้ เขาค่อนข้างสนิทกับน้องสามมากกว่าผู้อื่น เพราะนอกจากจะมีความสัมพันธ์ทางสายเืฝ่ายบิดา พวกเขายังมีความสัมพันธ์ทางสายเืฝ่ายมารดาด้วยเช่นกัน
วันนี้พี่หลิงกลับทำเพื่อนาง...
แต่ทำเช่นนี้แล้วจะมีประโยชน์อะไร? ท้ายที่สุดผลลัพธ์ก็เหมือนเดิมมิใช่หรือ
หากเป็ไปได้ นางยินดีที่ไม่เอาความซาบซึ้งใจนี้ สิ่งที่นาง้ามีเพียงให้เขามีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยและสงบสุข นางหวังว่าเขาจะไม่มาที่นี่ หวังว่าเขาจะไม่รู้เื่การแต่งงานของนาง หรือต่อให้เขารู้ เขาก็ไม่เคยคิดที่จะเร่งรีบตามมา
เพราะไม่ว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะมีบทสรุปเช่นไร นางก็ตัดสินใจแล้วว่าจะออกเรือนกับเฉินอ๋อง
ตอนนี้นางอยู่ระหว่างทางออกเรือนไปยังจวนเฉินอ๋อง มีทั้งสมรสพระราชทานจากไทเฮาและพระบรมาานุญาตจากฝ่าา หากระหว่างทางนางเลือกไปกับหลิงอ๋อง จะไม่เป็การทำให้เชื้อพระวงศ์ของแคว้นเฟิงกลายเป็ที่หัวเราะเยาะของผู้คนใต้หล้าได้อย่างไร? ไทเฮากับฝ่าาจะทรงเห็นชอบด้วยอย่างนั้นหรือ?
นางไม่กลัวหากจะต้องหนีสุดหล้าฟ้าเขียว ทว่านางกลัวว่านางจะทำลายชีวิตเขา...
เขามีหัวใจอุทิศแด่บ้านเมืองและประชาชนถึงเพียงนี้ เป็ทั้งปราชญ์ด้านวรรณกรรมและยุทธศาสตร์การทหาร ทว่าแต่นี้ต่อไปต้องถูกบิดาของตนสั่งตามล่า ถูกผู้คนในครอบครัวทอดทิ้ง จากนี้ต่อไปกลายเป็ผู้ที่ถูกเนรเทศอย่างนั้นหรือ?
ยิ่งไปกว่านั้นหากเขาชิงตัวนางหนีไปได้จริงๆ ไทเฮากับฝ่าาต้องไม่ปล่อยท่านพ่อไปอย่างแน่นอน
ขณะหรงหว่านซีกำลังคิดว่าควรจะใช้วิธีใดหยุดการต่อสู้ครั้งนี้ ควรทำใช้วิธีใดถึงทำให้เขาได้รับผลกระทบน้อยที่สุดและสามารถโน้มน้าวให้เขาล้มเลิกการชิงตัวเ้าสาว แต่จู่ๆกลับได้ยินเสียงแหลมเล็กดังขึ้น...
“ไทเฮามีพระราชเสาวนีย์...ขอให้พระชายาเฉินอ๋องลงจากเกี้ยวมารับพระราชเสาวนีย์พ่ะย่ะค่ะ...”
เหตุใดเื่นี้จึงไปถึงวังหลวงเร็วนัก
“ไทเฮามีพระราชเสาวนีย์...ขอให้พระชายาเฉินอ๋องลงจากเกี้ยวมารับพระราชเสาวนีย์พ่ะย่ะค่ะ...”
เมื่อมาถึงหน้าเกี้ยวเ้าสาว ขันทีฝ่ายในผู้รับหน้าที่ถ่ายทอดพระราชเสาวนีย์จึงเอ่ยย้ำอีกหน
เมื่อได้ยินเสียงขันทีฝ่ายในผู้นี้ นางรู้ได้ทันทีว่าเป็เจี่ยงกงกง เมื่อย้อนกลับไปคิด เสียงผู้ที่มาถ่ายทอดพระราชเสาวนีย์กับเสียงขันทีที่สั่งให้ “ยกเกี้ยว” เมื่อครั้งอยู่หน้าจวนแม่ทัพคือเสียงเดียวกัน ดังนั้นการที่พระราชเสาวนีย์มาถึงเร็วเช่นนี้ก็ไม่ใช่เื่แปลก
แสดงว่าขันทีที่ไทเฮาทรงส่งมาเป็ผู้ดำเนินพิธีก็คือเจี่ยงกงกง เพราะหากเป็กงกงผู้อื่น เมื่อรู้เื่หลิงอ๋องมาชิงตัวเ้าสาวอาจไม่รวดเร็วเช่นนี้ แต่เจี่ยงกงกงกลับแตกต่างออกไป
หรงหว่านซียกชายกระโปรงเดินลงจากเกี้ยว เพราะบนศีรษะมีผ้าคลุมทำให้ไม่สะดวกนัก จึงได้แต่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าเกี้ยวเ้าสาวและขานรับ “เฉินหนวี่รับพระราชเสาวนีย์เพคะ”
หากไทเฮามีรับสั่งให้นางออกเรือนกับเฉินอ๋องอย่างชัดเจนก็จะสามารถขจัดความลำบากใจของนาง ทำให้นางไม่ต้องเป็ผู้เอ่ยวาจาทำร้ายพี่หลิง แต่หากไทเฮามีรับสั่งให้นางเป็ผู้เลือก ถ้าเช่นนั้นสถานการณ์ก็จะยังย่ำแย่เช่นเดิม เพราะนั่นหมายความว่ามีเพียงการที่นางเอ่ยวาจาทำร้ายพี่หลิงเท่านั้น ถึงจะสามารถยุติเื่นี้
เจียงกงกงร้องประกาศเสียงดัง—
“บุตรสาวตระกูลหรงเพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและความรู้ หากจะเป็ที่ชอบพอของวีรบุรุษย่อมเป็เื่ธรรมดา ฝ่าาทรงมีพระเมตตา เพราะทรงทราบว่าความสัมพันธ์ของหนุ่มสาว มิใช่สิ่งที่ผู้าุโจะสามารถทำลาย ในเมื่อเฉินอ๋องและหลิงอ๋องต่างมีใจรักมั่น ดังนั้นบุตรสาวตระกูลหรงจงเป็ผู้ตัดสินใจด้วยตนเอง ฝ่าาและอายเจียยินดีที่จะส่งเสริมเื่มงคลของชนรุ่นหลัง และช่วยให้คู่ที่เหมาะสมกันอย่างแท้จริงได้สมหวัง”
ภายในใจของหรงหว่านซีหนักอึ้ง ผลคือสถานการณ์เลวร้ายที่สุดอย่างที่คิดเอาไว้
“พระชายาเฉินอ๋อง รับพระราชเสาวนีย์เถิด...” เจี่ยงกงกงเอ่ย
เขาจงใจเน้นย้ำคำว่า “พระชายาเฉินอ๋อง”
และหรงหว่านซีรู้ว่านี่คือคำแนะนำจากไทเฮา
หรงหว่านซียกมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ เจียงกงกงวางพระราชเสาวนีย์ลงบนฝ่ามือนาง หรงหว่านซีเอ่ย “เอ๋อร์เฉิน...ขอบพระทัยในพระเมตตาเพคะ”
นางไม่ได้แทนตัวว่า “เฉินหนวี่” เช่นเมื่อครู่ และนี่ก็คือเครื่องยืนยันว่านางเลือกทางใด
พระราชเสาวนีย์ม้วนนี้ หากมองจากมุมของเชื้อพระวงศ์ถือว่าปราดเปรื่องยิ่งนัก
หากไม่อยากให้การชิงตัวเ้าสาวในครั้งนี้วุ่นวายจนกลายเป็เื่ตลกขบขันของผู้คนทั่วหล้า แต่ในขณะเดียวกันก็อยากกลายเป็ที่กล่าวขานในด้านดีงาม วิธีเดียวที่จะพลิกสถานการณ์ได้ก็คือการทำสิ่งนอกเหนือความคาดหมายของผู้คน
ทุกคนต่างคิดว่าการที่หลิงอ๋องกระทำเช่นนี้เป็เื่ผิดมหันต์ คงต้องถูกฝ่าาตำหนิและลงโทษสถานหนักอย่างแน่นอน ทว่าไทเฮากลับบอกว่านางและฝ่าาคิดว่าเื่นี้เป็เื่ปกติทั่วไประหว่างคนหนุ่มสาว นอกจากนั้นยังแสดงถึงความใจกว้างของผู้าุโ ทำให้ดูเหมือนแก้ไขปัญหานี้โดยใช้มุมมองของผู้ใหญ่และชนรุ่นหลัง เมื่อผู้คนได้ฟังจะไม่รู้สึกว่าฝ่าาทรงมีพระเมตตาเป็ล้นพ้นได้อย่างไร?
แต่...ชื่อเสียงอันดีงามของเชื้อพระวงศ์และภาระอันหนักอึ้งทุกประการกลับกดทับลงมาบนร่างของนางเสียแล้ว
เจตจำนงของไทเฮาก็คือบีบบังคับให้นางกล่าววาจาตัดขาดต่อหน้าหลิงอ๋อง
แน่นอนว่านี่ถือเป็การลงโทษนางอย่างมีพระเมตตาเช่นกัน
เพราะไม่เช่นนั้นคงมีพระราชเสาวนีย์อย่างตรงไปตรงมาว่านางโลเลดุจดอกหยางไหลตามสายน้ำ ควรจะปะาเพื่อเป็การเชือดไก่ให้ลิงดู ผลักความรับผิดชอบทั้งหมดมายังสตรีต้อยต่ำเช่นนาง และองค์ชายทั้งสองยังคงเป็ผู้บริสุทธิ์ดังเดิม แต่ถ้าเลือกทำเช่นนี้ก็ยังไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด
เพราะฉะนั้นไทเฮาและฝ่าาจึงเลือกวิธีที่ชาญฉลาดที่สุด ในขณะเดียวกันยังสามารถไว้ชีวิตนาง และรักษาชีวิตคนทั้งตระกูลหรง
ขณะทุกคนกำลังรอหรงหว่านซีตัดสินใจ เจี่ยงกงกงได้หันไปเอ่ยกับเฉินอ๋องและหลิงอ๋องที่หยุดต่อสู้แล้วลงมายืนอยู่ข้างเกี้ยวเ้าสาว “เตี้ยนเซี่ยทั้งสอง ไทเฮาทรงมีรับสั่งถึงเตี้ยนเซี่ยทั้งสองพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
เฉินอ๋องและหลิงอ๋องคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมกัน
จากนั้นฟังเจียงกงกงเอ่ย “หลิงเอ๋อร์ เฉินเอ๋อร์ พวกเ้าทั้งสองต่างเป็หลานรักของอายเจีย ล้วนแต่มีสายตาเฉียบคมในการเลือกหยกชิ้นงาม อายเจียรู้สึกเบาใจยิ่งนัก ทว่าหญิงที่ดีมีเพียงหนึ่งเดียว ยามนี้อายเจียให้บุตรีตระกูลหรงเป็ผู้ตัดสินใจด้วยตนเอง ไม่ว่าบุตรีตระกูลหรงจะตัดสินใจเช่นไร พวกเ้าทั้งสองล้วนไม่อาจมีข้อโต้แย้ง จงหยุดก่อเื่วุ่นวายนับแต่บัดนี้ ควรจะเข้าพิธีสมรสจงเข้าพิธีสมรส ควรหลีกทางก็จงหลีกทาง หากรู้สึกคิดถึงอายเจียก็จงเข้าวังมาพูดคุยกับอายเจียในตำหนัก ย่อมดีกว่าทำตัวเป็เด็กและก่อเื่ตามใจตนอยู่ข้างนอก”
เมื่อได้ยินรับสั่งเช่นนี้ของไทเฮา เฉินอ๋องและหลิงอ๋องต่างน้อมคำนับแล้วเอ่ยพร้อมกันว่า—
“ซุนเอ๋อร์* ขอบพระทัยเสด็จย่าที่ทรงเป็ห่วงพ่ะย่ะค่ะ”
“ซุนเอ๋อร์ขอบพระทัยเสด็จย่าที่ทรงให้อภัยพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเจี่ยงกงกงอ่านรับสั่งของไทเฮาเสร็จจึงหันกลับไปหาหรงหว่านซีเพื่อขอคำสั่ง เมื่อรู้ว่าเจี่ยงกงกงเดินมาหยุดตรงหน้าและกำลังค้อมคำนับ เขายังไม่ทันได้เอ่ยถาม หรงหว่านซีกลับเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ข้าตัดสินใจไว้นานแล้ว...”
เพราะนางกลัวว่าเจี่ยงกงกงจะเอ่ยเตือนนางด้วยการเรียกนางว่า “พระชายาเฉินอ๋อง” ครั้งนี้พี่หลิงกำลังยืนอยู่ตรงหน้า หากเขาระแคะระคายใจขึ้นมา เกรงว่าเขาคงจะไปก่อเื่ถึงในตำหนักของไทเฮาเอาได้
นางไม่อาจปล่อยให้เขาทำผิดเพราะนางอีก
หรงหว่านซีมองรองเท้าสำหรับใส่ออกรบของเขาและเดินเข้าไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว หลังทำความเคารพเขาหนึ่งหนจึงคุกเข่าลง ตามด้วยเอ่ยออกมาว่า “ขอบพระทัยในความรักมั่นของเตี้ยนเซี่ยเพคะ ทว่า...ข้าคือพระชายาเฉินอ๋องั้แ่วินาทีที่เฉินอ๋องรับข้าขึ้นเกี้ยวหน้าจวนแม่ทัพ พี่รอง หากท่านไม่เร่งรีบ สามารถไปร่วมดื่มสุรามงคลที่จวนก่อนจากไปก็ได้นะเพคะ”
แม้หลิงอ๋องจะมองนางอย่างเลื่อนลอย แต่เขากลับสามารถเข้าใจสิ่งที่นางเอ่ยอย่างแจ่มแจ้ง เข้าใจแล้วว่านางเลือกผู้ใด
และเขาก็สามารถคาดเดาได้ว่านางกำลังกังวลสิ่งใด
เขาเอาแต่มองนางเช่นนั้น ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าเ้าหวาดกลัว แต่เ้าไม่ต้องกลัว ข้าจะหาทางออกแทนเ้าเอง ข้าจะช่วยหาทางออกของทุกปัญหาให้เ้า เ้า...ไม่เชื่อข้าอย่างนั้นหรือ?”
หัวใจของหรงหว่านซีคล้ายมีเืสีสดไหลออกมา
แต่หลังจากเขาเอ่ยจบ นางชะงักเพียงครู่ ตามด้วยเอ่ยออกมาว่า “เตี้ยนเซี่ยเพคะ ท่านลืมพระราชเสาวนีย์ของไทเฮาแล้วหรือเพคะ? หม่อมฉันเลือกแล้ว เื่นี้ยุติแต่เพียงเท่านี้เพคะ”
หลิงอ๋องยังเอาแต่จ้องมองนาง เขากำลังจ้องมองนางด้วยสายตาลึกซึ้ง
ครู่หนึ่งเอ่ย “หนึ่งภพหนึ่งชาติคนหนึ่งคู่ ตราบจนผมขาวต่างมองดูมิรู้หน่าย”
*ซุนเอ๋อร์ คำแทนตัวของพระราชนัดดา ซุนคือหลาน เอ๋อร์คือบุตร