บทที่ 181 พลังแห่งฝนเพลิง
ภายใต้ท้องฟ้าสีคราม ผู้คนต่างหลั่งไหลกันมามากมาย
ทั่วทั้งลานอื้ออึงไปด้วยเสียงพูดคุย คึกคักมาก เมื่อมองแวบแรก จัตุรัสศาลเ้าดูเนืองแน่นจนแทบไม่มีช่องว่าง
หลายคนส่งเสียงโห่ร้องและจ้องมองชายหนุ่มทั้งสองที่ยืนประจันหน้ากันบนเวทีด้วยสีหน้าตื่นเต้น รอคอยการเผชิญหน้าที่จะสั่นะเืใต้หล้า
“ท่านพ่อ คุณชายชุยเสวี่ยนั่นเก่งมากหรือเ้าคะ? เขาเอาชนะผู้ชายตัวใหญ่คนนั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ” มู่หรงซินขมวดคิ้วและถาม
แม้ว่าในที่สาธารณะ เสวี่ยหานเฟยจะทำตัวอ่อนโยนและมีจิตใจสูงส่ง แต่ในมุมมองของมู่หรงซิน ผู้ชายคนนี้กลับทำให้นางรู้สึกรังเกียจ น่ารำคาญยิ่งนัก
แน่นอนว่า นางมีใจให้คนโรคจิตบางคนไปแล้ว ไม่ว่าจะมองชายคนใดก็ล้วนไม่เข้าตา
“ข้าไม่ได้ติดต่อกับตระกูลเสวี่ยมากนัก รู้แค่ว่าเสวี่ยหานเฟยเรียกได้ว่าเป็อัจฉริยะมาั้แ่เด็ก การฝึกฝนก้าวนำคนอื่นอยู่หนึ่งก้าวเสมอ เป็ต้นกล้าที่เหล่าสำนักใหญ่้า” มู่หรงเจี๋ยตอบด้วยน้ำเสียงทุ้ม
ในฐานะเ้าเมืองไป๋หยาง มู่หรงเจี๋ยรู้สึกละอายใจไม่น้อย เพราะความแข็งแกร่งในตอนนี้ของเสวี่ยหานเฟย ห่างจากเขาไม่มากแล้ว
อายุยังน้อย เพียงสิบแปดหนาว แต่ฝึกฝนมาถึงขั้นมหาสมุทรระดับสูงได้แล้ว เป็อัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดทางตอนเหนือของราชวงศ์เซี่ยตะวันออก ย่อมดึงดูดความสนใจของสำนักชั้นหนึ่งได้ไม่น้อย
“แล้วซิวหลัวหน้าผีคนนั้นล่ะ? เขาคือใครเ้าคะ?” ดวงตาของมู่หรงซินกะพริบถี่ ขณะมองดูฉู่อวิ๋นอย่างสนใจ นางรู้สึกว่าแผ่นหลังของชายคนนี้ช่างดูคุ้นเคย
มู่หรงเจี๋ยเหลือบมองฉู่อวิ๋นสองสามครั้ง ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดว่า “นี่คือลูกหลานของตระกูลฝึกฝนิญญา ว่ากันว่าเป็นักรบระดับห้าขั้นมหาสมุทร แต่น่าแปลกที่ข้ามองระดับพลังยุทธ์ของเขาไม่ออก”
“ท่านพ่อ ระดับพลังยุทธ์ของท่านอยู่ที่ระดับเก้าของขั้นมหาสมุทร ท่านบอกว่ามองไม่ออกหรือเ้าคะ?”
“หากนักรบจงใจซ่อนการฝึกฝนของตนด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง แม้แต่นักรบในขั้นพื้นพิภพก็ไม่สามารถมองเห็นได้”
สองพ่อลูกไม่รู้ว่า ตอนนี้ฉู่อวิ๋นถูกล้อมรอบด้วยขอบเขติญญาที่โยวกู่จือสร้างขึ้น และคนอื่นๆ เองก็ไม่สามารถมองเห็นการฝึกฝนที่แท้จริงของเขาได้เช่นกัน
ความเป็จริง ในขณะเดียวกัน หลายคนรวมถึงฉู่เจิ้นหนาน ฉู่เจียงและเสวี่ยจิงหงต่างก็สับสนและไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงมองฉู่อวิ๋นไม่ออก ราวกับว่ามีชั้นหมอกล้อมรอบตัวเขา มืดมนมัวหมอง
และด้วยเหตุนี้ การประลองครั้งสุดท้ายนี้จึงน่าดึงดูดยิ่งกว่าเดิม เพราะมีตัวแปรมากมายและผลลัพธ์ที่คาดเดาไม่ได้!
คนหนึ่งมีิญญายุทธ์ที่ลึกลับและสามารถเอาชนะตงฟางสยงได้อย่างง่ายดาย ส่วนอีกคนพลังยุทธ์ไม่อาจหยั่งรู้ และ่นี้ก็ได้รับความสนใจไม่น้อย
ใครจะเป็ผู้ชนะคนสุดท้าย?
ในที่สุด การแข่งขันก็เริ่มต้นขึ้นภายใต้ความสนใจจากทั่วสารทิศ!
“ฮ่าๆ ได้ยินมาว่าตระกูลฝึกฝนิญญามีความแข็งแกร่งทางจิตใจที่ยอดเยี่ยม ข้าเองก็ได้เห็นความแข็งแกร่งของเ้าผ่านลานประลองมาบ้าง เรียกได้ว่ายอดเยี่ยมไม่น้อย” เสวี่ยหานเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงสงบมาก
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่อวิ๋นก็ขมวดคิ้วและจำได้ทันทีว่าในวันที่ไปลานประลอง เสวี่ยหานเฟยเองก็ไปด้วย ทั้งยังได้เห็นขอบเขติญญาของหลิงเฟิงไปแล้ว
“อย่าใช้ขอบเขติญญามากเกินไป ไม่เช่นนั้นตัวตนของเ้าจะถูกเปิดเผย”
ฉู่อวิ๋นแวบความคิดนี้ขึ้นมาในใจ แม้ว่าเขาจะได้เรียนรู้ทักษะนี้มาจากโยวกู่จือแล้ว แต่อย่างไรเสียเขาก็ไม่ใช่นักพรติญญา ดังนั้นหากเขาใช้ทักษะนั้นออกไป ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมแตกต่างจากหลิงเฟิง
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เขาก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบกระบี่หลี่หัวสีแดงออกมาด้วยเสียงเสียดสีดังลั่น
กระบี่นี้เป็อาวุธลึกลับระดับต่ำที่ก่อนหน้านี้ฉู่อวิ๋นแวะซื้อมาจากตลาด เดิมทีเขาเพียงเผื่อไว้ป้องกันตัว แต่ไม่คิดว่ามันจะมีประโยชน์ในเวลานี้ขึ้นมา
แต่เมื่อฉู่อวิ๋นดึงกระบี่เล่มยาวออกมา หลายคนก็ตกตะลึงและมองหน้ากันทันที นี่ไม่ใช่นักพรติญญาหรอกหรือ? ใช้กระบี่ตอบโต้ศัตรูเช่นนี้ นี่มันอะไรกัน...
แม้แต่เสวี่ยหานเฟยเองก็สะดุ้งเล็กน้อย โบกพัดขนนกเบาๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “โอ้? ที่แท้คุณชายหลิงเองก็ศึกษาทักษะวิชากระบี่มาด้วยไม่น้อย ทำข้าเปิดหูเปิดตาแล้วจริงๆ...”
แต่ก่อนที่เสวี่ยหานเฟยจะพูดจบ ฉู่อวิ๋นก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนกลายเป็ภาพเงา ด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ เขาชักกระบี่ออกมา คมกระบี่กระทบแสงในแนวนอน!
“ควับ!”
แสงกระบี่หลายสิบดวงกะพริบอย่างต่อเนื่อง ปรากฏคลื่นเพลิงร้อนจัดบนเวที ปราณกระบี่นั้นทรงพลังอย่างยิ่ง ปิดกั้นการถอยหลบของเสวี่ยหานเฟยได้อย่างหมดจด จนทำให้เขาช้าลง
“วิ้ง—”
แสงกระบี่เปล่งประกายเจิดจ้า และทันใดนั้น แสงกระบี่สีรุ้งก็เหวี่ยงออกมา พุ่งไปยังกลางหัวใจของเสวี่ยหานเฟย เต็มเปี่ยมไปด้วยเจตนาฆ่า
“ฮึ่ม คิดจะโจมตีก่อนหรือ? อย่าลืมสิว่าตงฟางสยงลงสนามไปอย่างไร!”
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีด้วยกระบี่ เสวี่ยหานเฟยก็ยิ้มเยาะและเริ่มเคลื่อนไหวเร็วขึ้น เขาเหวี่ยงพัดขนนกในแนวนอน ปล่อยะเิผลึกน้ำแข็งออกไปทำลายแสงกระบี่สีรุ้ง
แต่ทันทีที่แสงกระบี่สีรุ้งหายไป คุณชายชุยเสวี่ยก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ พบว่าเปลวไฟที่ดูเหมือนจะไร้ผลเมื่อครู่นี้ลอยไปรอบๆ โดยไม่สลายไป ราวกับก้อนกระบี่เพลิง!
“เชอะ!”
ฉู่อวิ๋นส่งเสียงทุ้มต่ำ ะโขึ้นไปในอากาศ ราวกับนกที่กางปีกโผบิน วาดกระบี่กลางอากาศ และยกขึ้นเตรียมฟัน!
“ปัง ปัง ปัง—”
ยามนี้ ขณะที่กระบี่ชี้ไปบนท้องฟ้า ทันใดนั้น เปลวไฟเ่าั้ก็เร่งความเร็วขึ้น ทะลุอากาศไปในทิศทางตรงกันข้าม เหมือนกับเมฆหลากสีสันที่ลอยไปมา งดงามตระการตา และมากันที่กระบี่หลี่หั่วในมือฉู่อวิ๋น
ทุกคนต่างอุทานและไม่อาจละสายตาจากมันได้ เพราะกระบวนท่ากระบี่นี้สวยงามมาก
ฉู่อวิ๋นคล้ายกำลังถือดวงอาทิตย์สีแดงเจิดจ้าไว้ในมือ พร้อมด้วยแสงที่ลุกโชนและหนามไฟที่หนาแน่น เต็มไปด้วยแรงกดดันอันแข็งแกร่ง ราวกับเทพแห่งดวงอาทิตย์ที่มาจุติยังโลก!
“ไป!"
หลังจากะโเสียงดัง ฉู่อวิ๋นก็ฟันกระบี่ลงไปกลางอากาศ!
ทันใดนั้น กระบี่เพลิงเ่าั้ก็กลายเป็ฝนเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วน หลั่งร่วงลงมาจากท้องฟ้าราวกับห่าฝน ปกคลุมเสวี่ยหานเฟยทั้งตัว ทำให้เขาไม่สามารถถอยหนีได้
นี่คือทักษะกระบี่ที่ฉู่อวิ๋นเรียนรู้มา วิภาสบังเหิน
“ควับ ควับ ควับ ควับ!”
ทั้งเวทีปกคลุมไปด้วยฝนเพลิงเนืองแน่น นี่คือการโจมตีระยะไกล หนามไฟขนาดเล็กที่รวดเร็วและรุนแรงแต่ละอัน คือพลังปราณที่ถูกอัดแน่น น่าอัศจรรย์นัก!
กล่าวได้ว่า ภายในเวลาเพียงสามวัน ฉู่อวิ๋นเข้าใจทักษะกระบี่ทั้งหมดที่หลงเหนือมาจากหลายพันปีก่อน และเชี่ยวชาญแก่นแท้ของทักษะวิชานี้แล้ว
“หืม?!”
ในเวลานี้ เสวี่ยหานเฟยที่ถูกหนามไฟโจมตีก็ใไม่น้อย เขาไม่เคยคิดเลยว่าทักษะกระบี่ของคู่ต่อสู้จะโดดเด่นขนาดนี้
ยามนี้ เขาไม่กล้าประมาท โบกพัดขนนกัน้ำแข็งซ้ำๆ ปรากฏเศษน้ำแข็งลอยอยู่ในอากาศ แสงสีฟ้าส่องประกายสดใส และพุ่งเข้าไปต่อต้านหนามไฟ
“ชิ้ง ชิ้ง ชิ้ง—”
แต่หลังจากการเผชิญหน้าใน่สั้นๆ เสวี่ยหานเฟยก็ประหลาดใจมากขึ้นเรื่อยๆ เขาพบว่าพลังน้ำแข็งธรรมดาไม่สามารถหยุดฝนเพลิงที่ท่วมท้นนี้ได้!
เศษน้ำแข็งเ่าั้ละลายหายไปอยู่ตลอดเวลา และแม้แต่พัดขนนกัน้ำแข็งก็กำลังจะกลายเป็พัดขนไก่สีแดง เพราะภายใต้ความร้อนของหนามไฟ ขนนกก็กลายเป็สีแดงมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะไหม้อยู่รอมร่อ
เสวี่ยหานเฟยเลิกคิ้วด้วยความโกรธ แต่เขาทำได้เพียงป้องกันต่อไป นึกเสียใจที่ตอนนี้ไม่สามารถใช้กำลังใดๆ ได้
แต่ในยามนี้ ใครบางคนก็ตบหัวและอุทานเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก
“กระบวนท่ากระบี่นี้ดูคุ้นเคยมาก คลับคล้ายคลับคลาว่าข้าเคยเห็นมันที่ไหนมาก่อน!”
“เป็จวนเสวี่ยเทียน! หรือว่าเ้าหนุ่มคนนี้จะเป็คนที่สร้างเหตุการณ์ฝนเพลิงพาดฟ้าในคืนนั้น?!”
“เขาเป็เ้าของลานที่แพงที่สุดในจวนเสวี่ยเทียนหรือ? ร่ำรวยนัก”
ทุกคนแสดงสีหน้าโหยหาและเริ่มพูดคุยกันมากขึ้น ยกย่องกระบวนท่าของฉู่อวิ๋นไม่หยุด เพราะพวกเขาต่างก็เห็นกับตาว่าในคืนนั้นท้องฟ้าเหนือจวนเสวี่ยเทียนเต็มไปด้วยเปลวไฟหนาแน่น แม้แต่ท้องฟ้ายามราตรีก็ยังถูกย้อมเป็สีแดง
“คุณชายชุยเสวี่ยถูกปรามแล้วหรือ? ข้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม...” มีคนขยี้ตาแรงๆ ไม่อยากจะเชื่อว่าเสวี่ยหานเฟยที่เมื่อครู่นี้ยังเบิกบานได้หน้า ตอนนี้กลับถูกซิวหลัวหน้าผีกุมเอาไว้ในกำมือ
“ซิวหลัวหน้าผีไม่เพียงแต่แข็งแกร่งในด้านพลังิญญาเท่านั้น แต่ยังโดดเด่นในด้านกระบี่อีกด้วย? เขาน่าจะประมาณสิบแปดปีเท่านั้นกระมัง…”
“แน่นอนอยู่แล้ว วีรบุรุษถือกำเนิดแต่เยาว์วัย คนที่มีความสามารถมักปรากฏตัวจากรุ่นสู่รุ่น เป็กระบวนท่าที่ร้ายกาจจริงๆ!”
ผู้ฝึกกระบี่าุโบางคนเต็มไปด้วยคำชื่นชมและด้วยสายตาที่แหลมคม มองออกว่าฉู่อวิ๋นในตอนนี้สามารถควบคุมพลังของกระบี่ได้ตาม้า และััได้ถึงขีดสุดของจิตเจตนาแห่งกระบี่แล้ว
แต่พวกเขายังคงสงสัย ด้วยเพราะไม่เคยเห็นวิชากระบี่ประเภทนี้มาก่อน
แน่นอนว่า ยังมีคนที่มีใบหน้าซีดเซียวและวิตกกังวลอยู่ ซึ่งก็คือเสวี่ยจิงหงและฉู่เจิ้น ที่พากันขมวดคิ้วจนเป็อักษรชวน[1] สีหน้าย่ำแย่ถึงที่สุด
“เ้าหนุ่มคนนี้มาจากไหนกัน!?” ฉู่เจิ้นหนานโกรธจนเป่าเครา ไหนคือตระกูลผู้ฝึกฝนอันศักดิ์สิทธิ์? ทันทีที่เคลื่อนไหวก็ใช้กระบี่เช่นนี้ ทั้งกระบวนท่าที่ใช้ก็ทรงพลังมากจนผู้คนต่างก็ประหลาดใจและประทับใจ
หากเสวี่ยหานเฟยแพ้ ไม่เพียงแต่ตระกูลเสวี่ยจะต้องอับอายเท่านั้น แต่เขายังมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย นี่เทียบได้กับการถูกตบหน้าในที่สาธารณะ เขาจะสูญเสียการสนับสนุนจากตระกูลเสวี่ย และอาจต้องแบกรับความโกรธเกรี้ยวของตระกูลตงฟางเพียงลำพัง
ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่ผู้คนกลัวคือเชื้อสายหลักของตระกูลฉู่ หาใช่ผู้นำตระกูลย่อยเล็กๆ เช่นเขา
ในขณะที่ทุกคนทั้งคิดทั้งแสดงออกต่อสิ่งที่เห็นต่างกันออกไป เสวี่ยหานเฟยที่ยังคงดิ้นรนเพื่อต้านทานฝนเพลิงนับไม่ถ้วนบนเวทีก็เริ่มอับอาย
“ฮู่ว...” ฉู่อวิ๋นยืนหอบหายใจอยู่ฟากหนึ่ง แม้ว่าวิภาสบังเหินจะทรงพลังมาก แต่ก็ต้องใช้พลังปราณสูงมากเช่นกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ้าเพิ่มพลัง ฉู่อวิ๋นรวบรวมฝนกระบี่สามสิบครั้งติดต่อกัน ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้วิภาสบังเหินสามสิบครั้งในคราวเดียว นั่นทำให้เกิดผลลัพธ์ไม่น่าเชื่อดั่งเมื่อครู่
มิฉะนั้น ด้วยระดับพลังยุทธ์ในตอนนี้ เขาคงไม่สามารถเผชิญหน้ากับเสวี่ยหานเฟยแบบซึ่งๆ หน้าได้
“น่าตาย น่าตายนัก!!!”
ยามนี้ ใบหน้าของเสวี่ยหานเฟยเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ ความอ่อนโยนที่เขาเคยแสดงออกก็หายไป เขาไม่เคยต้องอับอายต่อหน้าสาธารณะมาก่อน และเช่นเดียวกับตอนนี้ การถูกฝนเพลิงไล่ตีอย่างเมื่อครู่ ช่างน่าสมเพชจริงๆ
“ฉึบ--”
ทันใดนั้น ดูเหมือนจะมีเสียงเนื้อปริแตกดังขึ้นในความว่างเปล่า
“ฉึบ ฉึบ ฉึบ——”
เสียงที่น่ากลัวนี้ยังคงดังต่อไปเรื่อยๆ และไม่หยุดจนกว่าพลังกระบี่ฝนเพลิงจะสิ้นสุดลง
ในขณะนี้ ทั้งหมดที่เห็นคือเสวี่ยหานเฟยที่อยู่ในชุดสีขาวราวกับหิมะ มีรอยขีดข่วนแสนสะดุดตาอยู่บนร่างกาย แม้ว่าจะมีไม่มาก แต่ก็มองเห็นได้ชัดเจน ซ้ำยังมีเืไหลรินไม่ขาดสาย
ไม่มีใครรู้เพราะต่างก็คิดว่าเขาถูกฟันด้วยคมกระบี่มากมาย
“เ้า... เ้านี่...”
เสวี่ยหานเฟยอยากะเิพลัง แต่ก็ยับยั้งเอาไว้ได้ก่อน ด้วย้ารักษาภาพลักษณ์ ความโมโหโกรธาทั้งหมดจึงอัดแน่นอยู่ในดวงตาของเขา แต่ก็ไม่กล้าเปิดเผยเกินไป อัดอั้นยิ่งนัก
เขายกมือขึ้นััใบหน้าตนเอง ก่อนจะพบรอยกระบี่ไขว้อันเป็ที่มาของความรู้สึกปวดแสบปวดร้อน มันเกิดจากฝนเพลิงที่ตกมาโดนหน้าเขาสองครั้งและเป็ตำแหน่งที่สะดุดตาที่สุด
“หน้าของข้า!!” เมื่อตระหนักว่าใบหน้าอันหล่อเหลาของตนได้รับความเสียหาย เสวี่ยหานเฟยก็สั่นสะท้านไปทั้งตัวและโกรธจัด ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็สีแดงด้วยความโมโห ทำให้แผลที่เป็รอยกระบี่ไขว้บนแก้มปริออก มีเืกระเซ็นออกมา
“ความรู้สึกของการตากฝน สบายหรือไม่?”
เห็นเช่นนั้น ฉู่อวิ๋นก็เปลี่ยนเสียงและพูดเยาะ “ก้อนน้ำแข็งเล็กๆ ของเ้าดูเหมือนไม่อาจหยุดหนามไฟของข้าได้นะ ยังเผลอคิดว่าการป้องกันจะแข็งแกร่งมากเสียอีก แต่ดูท่าจะเป็เพียงแค่เศษกระดาษ”
“เ้า... เ้า!!!” เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เสวี่ยหานเฟยก็โกรธขึ้นกว่าเดิม หายใจถี่หนัก ดวงตาแทบลุกเป็ไฟ
ทุกคนตกตะลึงพรึงเพริด ต่างก็ไม่อยากเชื่อว่าเสวี่ยหานเฟยที่แสนเก่งกาจก่อนหน้านี้ ตอนนี้จะพ่ายแพ้ให้กับซิวหลัวหน้าผีแล้วหรือ? แม้แต่หน้าตาของเขาก็ยังถูกอีกฝ่ายทำให้เสียโฉม
ในความเป็จริง พลังปราณไฟหยางของฉู่อวิ๋นได้รับการเลี้ยงดูจากิญญาเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ มีความร้อนแผดเผาโลกา ดังนั้นจึงเป็ต่ออย่างมากเมื่อต้องต่อสู้กับพลังปราณน้ำแข็งของเสวี่ยหานเฟย
วัตถุิญญาที่อัศจรรย์ที่สุดในโลก จะมาถูกผลึกน้ำแข็งกระจอกๆ รังแกได้อย่างไร?
“ย๊าก--!”
ทันใดนั้น เสวี่ยหานเฟยก็ะโ โบกพัดขนนกในมือ ปรากฏหนามน้ำแข็งหลายอันโผล่ออกมา ซึ่งไม่เพียงแต่วาวใสและสวยงามเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยพลังและความแหลมคมอีกด้วย
“ข้าจะให้เ้าอยู่ไม่สู้ตาย!” เสวี่ยหานเฟยโกรธมาก าแบนใบหน้าของเขาแข็งไปหมด เขากำลังจะลงมือแล้ว
----------
[1] อักษรชวน (川) แสดงถึงการขมวดคิ้วจนเป็รอยยับสามขีดบนหน้าผาก