แน่นอนว่าเื่นี้ย่อมปล่อยผ่านไปไม่ได้ เจิ้งเทียนหู่กระทำในสิ่งที่ไร้มโนธรรมอย่างยิ่ง หากปล่อยเขาไป เขาจะมองว่าบ้านเรารังแกง่าย แต่พอถามว่ารายละเอียดเป็อย่างไร เจิ้งเทียนิกลับกล่าวว่า “เื่นี้แกไม่ต้องเข้ามายุ่ง พอขาฉันหายดีแล้ว ฉันจะไปตีมันสักยกเอง หยวนหยวน ่นี้ช่วยดูแลพี่สะใภ้ไปก่อนนะ อย่าให้เจิ้งเทียนหู่มันมาเอาเปรียบพี่สะใภ้ได้เชียวละ”
“…แค่นี้เองเหรอ?” เจิ้งหยวนเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ
ร่างกายเจิ้งเทียนิาเ็ ความโกรธยังสุมอยู่ในอก สมองเลยไม่ค่อยแล่นนัก แต่ต่อให้สมองตื้อแค่ไหน เขาก็รู้ว่าความจริงเื่นี้แก้แค้นยากนัก เขาบอกปากเปล่าว่าเจิ้งเทียนหู่เป็คนผลักเขา แต่ไม่มีหลักฐานรูปธรรมมัดตัว อาศัยแค่ปากพูดใครเขาจะเชื่อ? เื่ราวของเฝิงิเยว่ก็ยิ่งไม่ควรเอามาคุยกันบนโต๊ะอย่างเปิดเผย หากคนรู้เข้า พวกที่อิจฉาไม่รู้จะทำลายชื่อเสียงเธออย่างไรบ้าง ข่าวลือยั่วยวนน้องสามีจะปล่อยให้เปื้อนตัวไม่ได้เด็ดขาด! คิดไปคิดมา เขาเป็คนลงมือตีเจิ้งเทียนหู่ให้อยู่ไม่สู้ตายเองดีกว่า ทั้งได้ระบายความโมโหและแก้แค้นด้วย
เจิ้งหยวนเห็นพี่ชายตัดสินใจแล้วยกขาวางลงบนเตียง จึงอดถามสิ่งที่อยู่ในใจไม่ได้ “พี่ วิธีของพี่มันง่ายและป่าเถื่อนเกินไปไหม? พี่คิดว่าแบบนี้จะแก้แค้นได้เหรอ? ไร้เดียงสานัก!”
“งั้นแกคิดว่าควรทำยังไง?” เจิ้งเทียนิหรี่ั์ตาลง จับจ้องน้องสาวตรงหน้า “ฉันเตือนแกเลยนะ แกห้ามยุ่งวุ่นวายกับเื่นี้เด็ดขาด!” เขาละกลัวอารมณ์เจิ้งหยวนจริงๆ เขาเกรงว่าเธอจะเอะอะไปถึงบ้านเจิ้งเทียนหู่เสียใหญ่โตจนเข้าหน้ากันไม่ติด
“ฉันถามพี่หน่อย เื่ขาพี่ พี่จะคุยกับคุณพ่อไหม?”
เจิ้งเทียนิเงียบกริบ ไม่มีคำพูดใดหลุดจากปาก
เห็นดังนั้น เจิ้งหยวนโกรธจนจังหวะหายใจเปลี่ยนเป็หอบหนัก เธอตบโต๊ะดังลั่น “ฉันเดาไว้แล้วพี่ต้องไม่พูด”
“เื่นี้บอกเขาไม่ได้เด็ดขาด” เจิ้งเทียนิจริงจังมาก และกำชับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ห้ามบอกเด็ดขาดนะ”
เจิ้งหยวนรู้ว่าพี่ชายเธอกลัวอะไร เจิ้งเฉวียนกังเป็คนหัวโบราณ ให้ความสำคัญกับขนบลำดับชั้นาุโ และค่านิยมชายเป็ใหญ่เสมอมา คนแซ่เจิ้งต่างหากถึงเป็ครอบครัวเดียวกันสำหรับเขา เื่ของพี่สะใภ้ใหญ่ปากเขาอาจไม่กล่าวโทษเธอ แต่ในใจคงตำหนิพี่สะใภ้ เดาว่าพี่สะใภ้ประพฤติไม่เหมาะสมเอง
“เื่พี่สะใภ้ไม่พูดได้ งั้นเื่เจิ้งเทียนหู่ทำร้ายขาพี่ล่ะ? จะพูดไหมคะ?”
พูดแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร? เจิ้งเทียนิส่งสายตาจนปัญญาให้น้องสาว เจิ้งหยวนพลันชะงัก และเข้าใจในทันที หากเฝิงิเยว่ไม่บอกเื่เจิ้งเทียนหู่วอแวตัวเอง พี่ชายเธอคงแอบปกปิดเหตุการณ์ที่เจิ้งเทียนหู่ทำร้ายเขาไว้ด้วยเช่นกัน ยิ่งกว่านั้นคนอย่างเจิ้งเฉวียนกังน่ะหรือ? เขาต้องคิดว่าบ้านตัวเองติดค้างบ้านเจิ้งเทียนหู่เื่แต่งงานของเสี่ยวสยาก่อนเป็แน่ ทีนี้เจิ้งเทียนหู่เลยมาแก้แค้น เมื่อไม่มีใครถึงแก่ชีวิต และผ่าตัดขาของเจิ้งเทียนิแล้ว ขอเพียงคืนค่าผ่าตัดได้
ความจริงที่บ้านก็ไม่ขาดแคลนอะไร จึงช่างมันทั้งอย่างนี้
เจิ้งหยวนค่อนข้างโมโห เื่นี้กลับตาลปัตรกลายเป็บ้านเธอติดค้างเจิ้งสยาได้อย่างไร? หากเจิ้งสยาไม่จับจ้องของที่ไม่ใช่ของตัวเองก่อน เธอคงไม่ดิ้นรนโต้กลับหรอก!
เธอโกรธจนขบกรามแน่น “ไม่ได้ เื่นี้จำเป็ต้องบอกพ่อ! พี่อย่าตีตนไปก่อนไข้ ฟังฉันนะ… ฉันรู้ว่าพ่อต้องโยนความผิดใส่หัวฉันแน่นอน แต่หลังจากเจิ้งเทียนหู่ทำร้ายพี่ สำหรับพ่อ ความขัดแย้งระหว่างเราสองครอบครัวถือว่าหายกัน พ่อเราจะไม่รู้สึกว่าบ้านเราติดค้างบ้านลุงใหญ่ไปตลอดแล้ว ไม่อย่างนั้นตามนิสัยพ่อเรา ต้องอดทนให้คนเขาเอาเปรียบไปเสียทุกอย่างแน่นอน พอเสียเปรียบมากเกินไปจนติดเป็นิสัย อนาคตบ้านเราจะอยู่ต่ำกว่าครอบครัวคุณลุงใหญ่หนึ่งขุม… แบบนั้นไม่ดีแน่! พอฉันแต่งออกไป ป้าสะใภ้ใหญ่ก็คงไม่วายมากดขี่บ้านเราอีก ใครจะออกหน้าให้คุณแม่ รวมทั้งเด็กๆ รุ่นหลังเล่า? พ่อเรา? หรือพี่เหรอ? พวกผู้ชายอย่างพี่กับพ่อกล้าตบตีทะเลาะกับป้าสะใภ้ใหญ่ที่เป็ผู้หญิงด้วยหรือไง?”
เจิ้งเทียนิไม่พูดอะไรแล้ว เขาคิดว่าเจิ้งหยวนพูดจามีเหตุผล แต่เขานิ่งคิดใคร่ครวญ ก่อนเอ่ยว่า “แกไม่ต้องบอกคุณพ่อเื่นี้ ฉันจะบอกเอง”
เจิ้งหยวนตอบรับทันควัน “ได้ ให้พี่บอก” หากเธอบอกเจิ้งเฉวียนกังเอง คุยไม่ถึงสองประโยคคงทะเลาะกันแน่ เจิ้งเทียนิเป็คู่กรณี คนในเหตุการณ์บอกย่อมน่าเชื่อถือที่สุด เธอเงียบไปครู่หนึ่งก่อนว่าต่อ “คนอย่างเ้าเจิ้งเทียนหู่นั่น ถ้าจะให้ฉันพูดนะพี่ เขาเล่นไม่ซื่อ เราก็ต้องเล่นไม่ซื่อกลับไป หากเดินดุ่มๆ เข้าไปอัดเขาโต้งๆ คนอื่นถามพี่จะตอบยังไง? พี่ไม่พูดเกริ่นอะไรสักหน่อย คนจะไม่หาว่าครอบครัวเราไร้เหตุผลเหรอ?”
“แกวางแผนจะทำยังไง?”
เจิ้งหยวนเลียริมฝีปากแห้งผาก ดวงตาส่องประกายวาววามมองเฝิงิเยว่
เจิ้งเทียนิไม่ค่อยเชื่อใจน้องสาวตัวเองนัก เขามองภรรยาที มองน้องสาวตัวเองทีแล้วเอ่ยระแวง “ขอบอกเลยนะ แกอย่าพูดพล่อยๆ เด็ดขาด เื่พี่สะใภ้แกเอะอะออกไปไม่ได้”
เจิ้งหยวนกลอกตามองบน “เห็นฉันโง่ขนาดนั้นเลยหรือไง! วางใจเถอะ ฉันรู้จักประมาณตนน่า”
เธอไม่ใช่เด็กสาวอายุสิบแปดจริงๆ เสียหน่อย คนเจนโลกที่คร่ำหวอดอยู่วงการธุรกิจหลายสิบปีอย่างเธอ จะหุนหันพลันแล่นไปหาเจิ้งเทียนหู่ถึงที่เลยหรือ? เธอต้องคิดหาวิธีปูทางไม่ให้เจิ้งเทียนหู่พลิกกลับมาชนะไดอยู่แล้ว!ส่วนเื่ของเจิ้งสยาก่อนหน้านี้ เฮ้อ หากไม่ใช่เพราะที่บ้านไม่ให้ความร่วมมือ เธอรับรองเลยว่าที่บ้านจะไม่มัวหมองแม้แต่นิด และทำให้ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งตระหนักถึงความเป็จริงไม่กล้าทำอีกแล้วด้วย!
ต่อมาเจิ้งเทียนิพูดกับเจิ้งเฉวียนกังอย่างไร เจิ้งหยวนไม่รู้แล้ว เธอไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย รู้เพียงว่าหลายวันมานี้สีหน้าเจิ้งเฉวียนกังดำคล้ำ ดูไม่ดีเอาเสียเลย แถมทุกคราวที่เห็นเจิ้งหยวนก็จะจ้องเธอเขม็ง เจิ้งหยวนอ่านสถานการณ์ออก พอรู้ว่าเจิ้งเฉวียนกังกำลังโมโหจัด เลยพยายามเดินเลี่ยงเขา
ข่าวคราวที่เจิ้งเทียนิาเ็ และเฉินชุ่ยอวิ๋นอาการกำเริบเข้าโรงพยาบาลแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วจนคนในหมู่บ้านต่างรู้กันหมด พี่สาวคนโตเจิ้งเอ๋อและครอบครัวคุณอาเล็กในอำเภอเมืองเลยนำน้ำตาลทรายแดง ไข่ไก่รวมถึงเงินมาเยี่ยมเยียน แถมคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับสกุลเจิ้งคนอื่นๆ ก็มาด้วย สกุลเจิ้งได้รับอาหารเสริมมากมายรวดเดียว เจิ้งเฉวียนกังจึงให้เจิ้งหยวนจดของพวกนี้ไว้ จะได้ส่งคืนตอนมอบของขวัญอวยพรในภายหลัง
่บ่าย ครอบครัวคุณอาสามเจิ้งเพิ่งออกไป ที่สำคัญคือไม่รู้ว่าสกุลเฝิงได้ยินข่าวมาจากไหน พ่อแม่สามีในอนาคตของเจิ้งหยวน เฝิงชางหย่ง และหลี่จินจือเลยนำขนมอบกับไข่ไก่ตะกร้าหนึ่งมาเยี่ยมเยือนถึงโรงพยาบาล
อาหารการกินอย่างขนมอบไม่ได้พบเห็นทั่วไปในชนบท ดูจากการที่เฝิงชางหย่งกับหลี่จินจือสามารถนำมามอบให้เป็ของเยี่ยมไข้ได้ ดูท่าสกุลเฝิงจะมีชีวิตความเป็อยู่ดีทีเดียว
เจิ้งหยวนกำลังรินน้ำผสมน้ำตาลทรายแดงให้เฉินชุ่ยอวิ๋นอยู่ ครั้นหันมาเห็นว่าที่พ่อแม่สามีของตนเอง ก็ไม่ได้รู้สึกเก้อเขิน เพียงแค่ลอบนึกดีใจที่อาสามกับอาสะใภ้สามกลับไปแล้ว มิฉะนั้นคนอย่างอาสะใภ้สามเห็นขนมอบเข้า ไม่รู้จะพูดจาประชดประชันอย่างไรบ้าง เนื่องจากพี่ชายเธอาเ็คราวนี้ คุณอาสามนำเงินมาให้ไม่น้อยจนอาสะใภ้สามเสียดายสุดๆ
“หยวนหยวน รินน้ำให้พ่อแม่สามีแกหน่อย” เฉินชุ่ยอวิ๋นกล่าว
เฝิงชางหย่งและหลี่จินจือรีบบอกว่าไม่เป็ไรติดๆ กัน แม้พวกเขาจะปฏิเสธ เจิ้งหยวนก็ไม่อาจเสียมารยาทได้จริงๆ น้ำตาลทรายแดงที่ยังไม่ได้เก็บวางอยู่ข้างมือพอดี เธอครุ่นคิดสักพักก็เทน้ำผสมน้ำตาลทรายแดงสองแก้วให้พวกเขาสองคน
“คุณลุง คุณป้า นี่ค่ะ น้ำ” เจิ้งหยวนแย้มยิ้มอ่อนหวาน ยกถ้วยน้ำเคลือบสองใบไปให้สองผู้เฒ่า ถ้วยน้ำสองใบนี้เป็ของโรงพยาบาล ข้างบนพิมพ์ลายเครื่องหมายบวกสีแดงไว้
ทันทีที่เฝิงชางหย่งกับหลี่จินจือเข้ามา สายตาก็จับจ้องเจิ้งหยวนเป็ครั้งคราว ครั้นเห็นเธอยิ้มหวานและรินน้ำผสมน้ำตาลทรายแดงให้ ก็รู้สึกว่าสะใภ้ในอนาคตคนนี้ใช้ได้ ถือว่าวางตัวเป็
เฝิงชางหย่งเอ่ยยิ้มๆ “เทน้ำผสมน้ำตาลทรายแดงทำไม คนแก่อย่างฉันไม่ค่อยชอบดื่มน้ำหวานๆ หรอก”
เจิ้งหยวนดันถ้วยน้ำเคลือบกลับ และโน้มน้าวด้วยรอยยิ้ม “น้ำตาลทรายแดงมีคุณค่าทางโภชนาการ คุณลุงบอกเองว่าอายุมากแล้ว ก็ควรบำรุงนะคะ”
เฝิงชางหย่งลอบพยักหน้าในใจ พูดจาเป็เสียด้วย
นี่เป็ครั้งแรกที่เฝิงชางหย่งพบปะสะใภ้คนนี้หลังจากเจิ้งหยวนเติบโตขึ้น เมื่อก่อนได้ยินมาแค่ว่าสะใภ้คนนี้อารมณ์ร้าย แต่นิสัยลูกชายเขาก็ใช่ว่าจะน่าคบหาเท่าไรนัก เขาจึงไม่ห่วงลูกชายตนเองสักนิด แต่พอเห็นเจิ้งหยวนวันนี้ เขารู้สึกว่าเด็กสาวดูไม่เหมือนที่เคยได้ยินมาเลยสักนิด ใบหน้าแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานตลอดเวลา ทั้งรูปร่างหน้าตาก็ดูไม่ใช่คนร้ายกาจไร้เหตุผลแบบนั้นเลย แถมยังรู้จักพูดด้วยนี่นา? เด็กคนนี้อายุยังน้อย ทำสิ่งใดไม่ถูกไม่ควร คอยสอนทีหลังได้
ที่สำคัญคือเธอหน้าตาสะสวย ลูกชายเขาเจอต้องชอบพออย่างแน่นอน ขอแค่ชอบ ชีวิตคู่ของทั้งสองก็จะมีความสุขต่อไปเรื่อยๆ
เจิ้งหยวนไม่รู้ว่าพ่อสามีในอนาคตมีความคิดนับไม่ถ้วนวนเวียนในใจ เธอยังคงแย้มยิ้ม แล้วนั่งฟังสองสามีภรรยาสกุลเฝิงพูดคุยกับเฉินชุ่ยอวิ๋นด้านข้างอย่างเงียบๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้