จื่ออิ่งกวาดสายตามองท่าทีกระตือรือร้นของเหล่าชายหนุ่มรอบๆ แล้วกล่าวว่า “ข้ามาที่นี่เพื่อจะประกาศว่า จื่อเซี๋ยซึ่งเป็ลูกสาวของข้า ปีนี้นางอายุครบ 18 ปีแล้ว ชายหนุ่มที่จะแต่งงานกับนางต้องมีอายุไม่เกิน 22 ปี”
“ให้ตายสิ หมดหวังเสียแล้ว”
เมื่อจื่ออิ่งกล่าวจบ หนุ่มจำนวนมากต่างเผยสีหน้าผิดหวังขึ้นมาทันที สุดท้ายแล้วตระกูลจื่อก็เลือกบุรุษอัจฉริยะและยอดเยี่ยมที่สุด ใครก็ตามที่มีอายุมากกว่า 22 ปีล้วนหมดสิทธิ
“เอาล่ะ ในตอนนี้หากผู้ใด้าเป็ลูกเขยของข้าล่ะก็ ให้มารวมตัวกันที่ทางเดินตรงนี้เพื่อต่อสู้”
จื่ออิ่งกล่าวอย่างเฉยชา หลังจากกล่าวจบก็ได้มีร่างเงาสองร่างก้าวมายังทางเดิน จากนั้นพวกเขาก็เริ่มมองหน้ากัน
“ไม่จำเป็ต้องมากพิธี เริ่มประลองกันได้เลย”
เมื่อจื่ออิ่งกล่าวขณะโบกมือให้สัญญาณเริ่มการประลอง สองคนนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย หนึ่งในพวกเขาอยู่ขอบเขตแห่งเขตจิติญญาขั้นที่ 1 ขณะที่อีกคนอยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 2 ไม่จำเป็ต้องพูดถึงผลการต่อสู้แม้แต่น้อย เพราะผู้ที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 2 ต้องเป็ฝ่ายชนะอยู่แล้ว
ดูเหมือนชายหนุ่มที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 1 จะไม่มีทางเอาชนะชายหนุ่มที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 2 ได้
ในขณะนั้นหลินฮ่าวเจี๋ยที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน เมื่อเห็นผู้คนต่างนิ่งเงียบราวกับกำลังรอคอยการประลองตรงหน้า เขาจึงอดแสยะยิ้มขึ้นมาไม่ได้ก่อนจะกล่าวว่า “ท่านลุงขอรับ ฮ่าวเจี๋ยผู้นี้ตกหลุมรักจื่อเซี๋ยมานานแล้ว หากสามารถเป็ลูกเขยของตระกูลจื่อได้ล่ะก็ ข้าก็ถือว่าเป็เกียรติยิ่งนัก”
ขณะที่กล่าว หลินฮ่าวเจี๋ยก็ก้าวไปข้างหน้าตรงสู่ทางเดิน
“อ๊าก!”
ทันใดนั้นใบหน้าที่บิดเบี้ยวของจื่ออีพลันซีดขาวราวกับกระดาษ และตรงมุมปากก็มีเืไหลออกมา
เมื่อครู่นี้จื่ออีรู้สึกว่าหลินฮ่าวเจี๋ยแปลกไป แต่นางกลับทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างหดหู่ หลังจากสิ้นเสียงที่หลินฮ่าวเจี๋ยกล่าวดังนั้นแล้ว ในที่สุดนางก็ไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป นางกัดริมฝีปากของตนจนเืไหลออกมา ในขณะเดียวกันดวงตาของนางก็ถูกปกคลุมไปด้วยความผิดหวัง
เมื่อคืนหลินฮ่าวเจี๋ยผู้นั้นยังหยอดคำหวานกับนางอยู่เลย ทว่าตอนนี้เขากลับพูดว่าอยากแต่งงานกับหญิงอื่นต่อหน้านาง อย่างนั้นแล้วจื่ออีล่ะ ตอนนี้นับว่าเป็อะไรสำหรับเขา?
“ท่านพี่จื่ออีเป็อะไรไป?”
จื่อหลิงที่อยู่ด้านข้างเห็นเืไหลออกจากมุมปาดของจื่ออี นางจึงตื่นตระหนกอย่างไม่อาจควบคุม
“แค่ก แค่ก!”
นางสำลักออกมาจนตัวโยน ขณะนี้นางรู้สึกได้ว่าหัวใจของตนกำลังบีบรัด ในหัวสมองพลันว่างเปล่า และใบหน้าของนางคล้ายไม่มีแม้แต่สีเื
“จื่ออี เื่ที่ตัวเองก่อก็ต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง ข้าเคยเตือนเ้าแล้วนะ”
จู่ๆ คำพูดของหลินเฟิงก็ดังก้องอยู่ในหัวของนาง ตอนนี้นางเพิ่งกระจ่างแจ้งในคำพูดนั้น ฟังดูแล้วช่างน่าขันนัก ไม่คิดเลยว่านางจะเตือนจื่อหลิงว่าให้ระวังหลินเฟิงเอาไว้ ทว่านางกลับโง่เขลาเสียยิ่งกว่า
จื่ออีค่อยๆ เงยหน้ามองเ้าของใบหน้าหล่อเหลาตรงทางเดิน ทันใดนั้นบนใบหน้าไร้สีเืของจื่ออีกลับปรากฏรอยยิ้มแปลกๆ อย่างน่าขนลุก
“จื่ออี เ้าช่างเป็หญิงสาวโง่เขลานัก และยังถือตนว่าเป็มนุษย์ในหมู่ัเสียอีก”
จื่ออีกล่าวเยาะเย้ยตัวเอง ขณะกำลังซับเืออกจากปาก
ในบริเวณที่ห่างไกลจากลานประลอง หลินเฟิงกำลังมองหลินฮ่าวเจี๋ยก้าวไปยังทางเดินอย่างห้าวหาญ เมื่อเหลือบไปเห็นรอยยิ้มสิ้นหวังของจื่ออีแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่อาจช่วยอะไรนางได้ นอกจากส่ายศีรษะช้าๆ และได้แต่โทษตัวเองอยู่ในใจ
“จื่อเซี๋ย ความรู้สึกของข้า เ้าน่าจะรู้มานานแล้ว วันนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย ข้าจะทำให้เ้าแต่งงานกับข้าให้ได้”
หลินฮ่าวเจี๋ยกล่าวกับจื่อเซี๋ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เหมือนตอนที่เขาอยู่กับจื่ออีเมื่อคืน แต่เพราะน้ำเสียงเช่นนี้เอง ทำให้จื่อเซี๋ยเขินอายและพยักหน้าเล็กน้อยตอบรับเขาได้ไม่ยาก
หลินฮ่าวเจี๋ยยิ้มอย่างพึงพอใจ เขาก็หันไปมองชายหนุ่มตรงทางเดินและกล่าวว่า “พวกเ้ากลับไปเสียเถอะ”
ชายหนุ่มคนนั้นมองหลินฮ่าวเจี๋ยด้วยแววตาเป็ประกายก่อนกล่าวว่า “เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเ้าอยู่เหมือนกัน ในเมื่อวันนี้ได้มาเจอ ข้าก็อยากประลองให้รู้ว่าทักษะห่าฝนดาบทองคำของเ้านั้น จะยอดเยี่ยมสมคำล่ำลือหรือไม่”
หลังจากกล่าวจบ ชายหนุ่มคนนั้นก็พุ่งไปหาหลินฮ่าวเจี๋ยทันที
หลินฮ่าวเจี๋ยเพียงคลี่ยิ้มอย่างเยือกเย็น เมื่อเขาก็ยกดาบขึ้นทันใดนั้นท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยห่าฝนดาบทองคำ จนเกิดประกายแสงจากคมดาบ ช่างเป็ภาพที่งดงงามจับตา
ขณะที่ห่าฝนค่อยๆ หายไป แต่ยังทิ้งประกายแสงสีทองอยู่เลือนราง อย่างไรก็ตามผู้ที่ท้าประลองนั่น กลับยืนแน่นิ่งอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหน หลินฮ่าวเจี๋ยจึงลงมือสังหารเขาอย่างไร้ความปรานี
“ร้ายกาจยิ่งนัก!”
ผู้คนต่างตกตะลึงขณะมองไปยังชายหนุ่มที่อยู่บนทางเดิน คาดไม่ถึงว่าหลินฮ่าวเจี๋ยจะลงมือได้โเี้เช่นนี้
หลินฮ่าวเจี๋ยเหลือบมองฝูงชนโดยรอบด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความบ้าระห่ำ เขากล่าวอย่างเ็าว่า “จื่อเซี๋ยคือหญิงสาวที่ข้ารัก วันนี้หากใครกล้าขัดขวางไม่ให้ข้าแต่งงานกับนาง คนผู้นั้นจะกลายเป็ศัตรูของข้าหลินฮ่าวเจี๋ย”
ผู้คนต่างมองหลินฮ่าวเจี๋ยเป็ตาเดียวอย่างตกตะลึง หากหลินฮ่าวเจี๋ยผู้เหี้ยมโหดได้เอ่ยมาขนาดนี้แล้ว จะมีใครหน้าไหนกล้าไปขัดขวางเขาอีก
ความแข็งแกร่งของหลินฮ่าวเจี๋ยที่ได้แสดงให้ทุกคนเห็น มันก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้แล้ว
“จื่อเซี๋ย ฮ่าวเจี๋ยเหมาะกับเ้ายิ่งนัก”
จื่ออิ่งกล่าวขณะยิ้ม จึงทำให้ผู้คนต่างต้องประหลาดใจอีกครั้ง หากเขาเอ่ยมาเช่นนี้ก็หมายความว่า เขาหวังจะให้หลินฮ่าวเจี๋ยเป็ลูกเขยของเขา
ท้ายที่สุดแล้วหลังจากเหตุการณ์ระทึกขวัญได้ผ่านพ้นไปก็ไม่มีใครก้าวออกมาอีก หลังจากเวลาผ่านไปสักพักจื่ออิ่งจึงยิ้มออกมา
“เอาล่ะ หากไม่มีชายหนุ่มคนไหนกล้าออกมาสู้ เช่นนั้นเื่นี้ก็ถือเป็ที่สิ้นสุด จื่อโฉง จื่อเซี๋ย”
“ขอรับ/เ้าค่ะ ท่านพ่อ!”
หลังจากขานรับแล้ว ทั้งจื่อโฉงและจื่อเซี๋ยก็เริ่มเดินไปเบื้องหน้าด้วยแววตาที่มุ่งมั่น
“พวกเ้าทั้งสอง จงไปไหว้บรรพบุรุษเสียก่อนล่ะ!”
“ขอรับ” จื่อโฉงพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า “การไหว้บรรพบุรุษนั้น สามีภรรยาต้องทำความเคารพต่อรูปปั้นก่อน คุกเข่าลงและคำนับสามครั้ง จากนั้นกล่าวคำสาบาน”
หลังจากกล่าวจบ จื่อโฉงก็เหลือบมองไปทางต้วนซินเยี่ย ซึ่งสีหน้าของนางในตอนนี้ปราศจากความรู้สึก และริมฝีปากบางไม่มีวี่แววว่าจะกล่าววาจาใดออกมา
“ไม่จำเป็ เ้ากับจื่อเซี๋ยทั้งสองแค่คุกเข่าและคำนับสามครั้งก็พอแล้ว”
จื่ออิ่งกล่าวอย่างเฉยเมย เขารู้ดีว่าต้วนซินเยี่ยไม่อยากแต่งงานกับจื่อโฉง ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่จำเป็ต้องใส่ใจ เพราะ่เวลาสำคัญที่สุดก็คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อเข้าสู่เขตต้องห้ามไปแล้ว
จื่อโฉงและจื่อเซี๋ยต่างมองหน้ากัน จากนั้นก็เดินไปยืนหน้ารูปปั้นั์แล้วคำนับสามครั้งต่อหน้ารูปปั้น
หลังจากปฏิบัติขั้นตอนแรกของการเคารพบรรพบุรุษแล้ว ทั้งสองก็ลุกขึ้นยืนขณะที่ปากก็พึมพำบางอย่าง จากนั้นพวกเขาก็เฉือนปลายนิ้วของตนจนมีเืหยดออกมา และวางนิ้วบนรูเล็กๆ ที่อยู่ระหว่างหน้าอกของรูปปั้น ทำให้เืหยดลงไปในรูนั่นและซึมเข้าไปในรูปปั้น
“ครืน!”
ในขณะนั้นเกิดเสียงดังไปทั่วโดยไม่มีใครคาดคิด ที่หน้าอกของรูปปั้นกลับกลายเป็ประตู ซึ่งเป็ทางเข้าสู่ตำหนัก
รูปปั้นนี้คือทางเข้าเพียงแห่งเดียวของตำหนัก นอกจากนี้ต้องเป็ผู้สืบสายเืโดยตรงของตระกูลจื่อ ถึงจะสามารถเปิดประตูตำหนักได้
เมื่อจื่อฉงเห็นประตูเปิดขึ้นตรงหน้า ใจของเขาพลันเต้นระรัวไปด้วยความตื่นเต้น
“เอาล่ะ ซินเยี่ย ฮ่าวเจี๋ย พวกเ้าเดินตามจื่อโฉงและจื่อเซี๋ยเข้าไปในเขตต้องห้ามได้”
“ขอรับ” หลินฮ่าวเจี๋ยตอบ ขณะเดินไปยังปากทางเข้าด้วยสายตาที่ฉายแววตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด ส่วนต้วนซินเยี่ยยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน
“ซินเยี่ย เ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ?”
จื่ออิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็าและหนักแน่น
“ข้าจะไม่เข้าไปข้างในกับเขา”
ต้วนซินเยี่ยที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดในที่สุดก็เอ่ยออกมา ทำให้ผู้คนมากมายต่างประหลาดใจ
น้ำเสียงของต้วนซินเยี่ยนั้น ฟังดูคล้ายว่านางไม่เต็มใจที่จะเป็ภรรยาของจื่อโฉง
จื่ออิ่งและจื่อโฉงเองก็ประหลาดใจเช่นกัน
“เ้าคิดถึงผลที่จะตามมาหรือไม่?”
จื่ออิ่งกล่าวอย่างเยือกเย็น ซึ่งในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความชั่วร้าย
“ข้าจะไม่เข้าไปกับเขา” ต้วนซินเยี่ยย้ำอีกครั้ง มือก็เอื้อมไปถอดมงกุฎออกแล้วโยนลงบนพื้น แม้กระทั่งชุดแต่งงานที่นางสวมใส่อยู่ก็ถอดออกเช่นกัน
ผมยาวสีดำที่สยายลงมาราวกับน้ำตก แม้จะไม่มีเครื่องแต่งกายที่สวยงาม แต่ความงามของต้วนซินเยี่ยก็ไม่ได้จางหายไป
“ดูเหมือนเ้าจะลืมข้อตกลงของพวกเราไปแล้วสินะ”
บัดนี้จื่ออิ่งมีสีหน้าที่เ็าอย่างมาก เขาไม่คิดว่าต้วนซินเยี่ยจะทำเช่นนี้
“ข้อตกลงที่ข้าถูกบังคับ มันจะเรียกว่าข้อตกลงได้อย่างไร?” ต้วนซินเยี่ยกล่าวขณะยิ้ม และกล่าวต่อว่า “ไม่ต้องข่มขู่ข้าอีกรอบหรอก ข้าจะไม่แต่งงานกับเขาเด็ดขาด เพราะข้ามีคนที่ข้ารักอยู่แล้ว”
หลังจากกล่าวจบ จู่ๆ กริชก็ปรากฏขึ้นในมือของต้วนซินเยี่ย ทำให้ผู้คนต่างตกตะลึง เพราะนางกำลังนำกริชเล่มนั้นจ่อลำคอของตนเองโดยไม่ลังเล
ในใจของผู้คนต่างสั่นเทา ไม่คิดเลยว่าต้วนซินเยี่ยจะมาฆ่าตัวตายกลางงานมงคลเช่นนี้ เพื่อล้มเลิกการแต่งงานระหว่างนางกับจื่อโฉงแล้ว ถึงกับต้องทำขนาดนี้เชียวหรือ?
“หยุด!”
สีหน้าของจื่ออิ่งและจื่อโฉงเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามพวกเขากลับเห็นเพียงรอยยิ้มที่ใสซื่อของต้วนซินเยี่ย
“ข้าแค่หวังว่าก่อนที่ข้าจะตายไป ข้าอยากอธิบายให้หลินเฟิงได้เข้าใจว่า ข้าไม่รู้เื่ราวที่เกิดขึ้นเลยจริงๆ” ต้วนซินเยี่ยกล่าวขณะมองไปยังท้องฟ้า หญิงสาวพูดออกไปราวกับหลินเฟิงอยู่บนนั้น ขณะนั้นดวงตาคู่งามของนางก็มีหยดน้ำตาค่อยๆ ไหลออกมา!
“หลินเฟิง ข้าไม่รู้จริงๆ!”