แน่นอนว่าแต่ละอาณาจักรทั้งเก้านั้นย่อมมีความเห็นแก่ตัวเป็ของตัวเอง ดังนั้นเส้นชีพจรปราณอัคคีเข้มข้นที่มีแดนลับแห่งนี้เป็จุดศูนย์กลางนั้นได้ถูกกระจายออกไปโดยรอบ ด้วยเพราะสรรพสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตในมหาพิภพย่อมมีกระแสพลังปราณไหลเวียนอยู่ ดังนั้นจึงส่งผลให้ดินแดนบางส่วนที่ไม่ได้รับปราณอัคคีเพลิงสายนี้จึงมีสภาวะแห้งแล้งไม่สมบูรณ์
ขุมพลังปราณอันมหาศาลที่อัดแน่นอยู่ทั่วทั้งบริเวณ หนิงอ้ายย่อมไม่อาจชักนำเข้าสู่ร่างกายได้ทั้งหมด ดังนั้นภายใต้ขอบเขตรัศมีการรับรู้จากวิชามหาจักษุ์อนันตมายา เขาจึงสร้างเส้นสายชีพจรปราณอัคคีสายย่อยไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ในเวลาหลังจากนั้นไม่กี่เดือน พื้นที่ดังกล่าวนั้นได้กลับมาฟื้นตัวอุดมสมบูรณ์ดังที่ควรจะเป็ แม้ว่าสิ่งนี้จะส่งผลให้ความเข้มข้นบริสุทธิ์ของเส้นชีพจรปราณสายหลักที่คอยหล่อเลี้ยงอาณาจักรทั้งเก้าเข้มข้นลงเล็กน้อย แต่ว่าด้วยฐานะและเื้ัสนับสนุนที่หนิงอ้ายมี บรรดาองค์ราชันผู้ปกครองอาณาจักรทั้งเก้าไม่อาจกล่าวห้ามหรือเอ่ยวาจาขัดขวางตำหนิการกระทำนี้แต่อย่างใด
แน่นอนว่าองค์ราชันผู้ปกครองอาณาจักรสุวรรณอัมพรพันแสงได้กระทำตามที่กล่าวไว้ ตลอดระยะเวลาหลังจากนั้นหนิงอ้ายยังได้รับทรัพยากรบ่มเพาะอย่างเต็มที่ มีทั้งการฝนการควบคุมพลังลมปราณ วิชาวรยุทธ์ต่อสู้ รวมไปถึงประสาทััไหวพริบการหลบหลีกที่รวดเร็วดั่งใจนึก รวมไปถึงวิชายุทธ์ต่าง ๆ ที่มองว่าจำเป็ต้องใช้ในวันข้างหน้าย่อมได้รับการจดบันทึกและจดจำทั้งหมดสิ้น อย่างไรแล้วเคล็ดวิชาในมหาพิภพพิสดารแห่งนี้ย่อมมีความพิเศษลึกล้ำไม่ธรรมดาสามัญ ดังนั้นจึงสามารถฝึกฝนเรียนรู้และนำไปใช้ย่อมทำให้เขามีแต้มต่ออยู่ในมือไม่น้อยเลยทีเดียว
เมื่อใกล้ถึงกำหนดเวลาที่ต้องเดินทางกลับ หนิงอ้ายได้มอบโอสถทิพย์ระดับแปดให้แก่องค์ราชันผู้ปกครองอาณาจักรสุวรรณอัมพรพันแสง รวมไปถึงโอสถทิพย์ระดับต่าง ๆ แก่องค์ราชันผู้ปกครองอาณาจักรอื่นที่คอยให้ความช่วยเหลือ รวมไปถึงผู้าุโทุกท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องหนิงอ้ายล้วนตอบแทนด้วยมารยาทของนักปรุงโอสถที่พึงกระทำ จากนั้นจึงเดินทางกลับไปยังเกาะพิศดารอันเป็สถานที่พำนักทันที
“ศิษย์หนิงอ้าย คำนับท่านอาจารย์ขอรับ!!”
“คำนับท่านลุงเสวี่ยจิงขอรับ...” หนิงอ้ายกับฟานหลิงกล่าวขึ้นประสานมือคำนับอย่างนอบน้อม
“กลับมาแล้วอย่างนั้นรึ? กลิ่นอายของพวกเ้าทั้งสองไม่ธรรมดาเสียจริง ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีมานี้นับว่าไปสูญเปล่าแล้ว” เสวี่ยจิงเอ่ยขึ้นด้วยความยินดี โดยเฉพาะกับหนิงอ้ายที่ยามนี้กลิ่นอายของราชทินนามราชันิญญาขั้นสูงที่กร้าวแกร่งเหนือชั้นอย่างแท้จริง ทอดสายตาไปทั่วทั้งมหาพิภพแล้ว ใคร่จะหารุ่นเยาว์ที่อายุเพียงสิบเจ็ดปีแต่กลับบรรลุถึงเขตขั้นนี้คงมีเพียงหนิงอ้ายเพียงคนเดียวเท่านั้น อีกทั้งรากฐานบ่มเพาะยังได้ถูกอัดแน่นเคี่ยวกรำไปมากกว่าสามพันรอบ สิ่งนี้ชี้ชัดได้ว่าตลอด่เวลาแห่งการฝึกฝนที่ผ่านมานั้นอีกฝ่ายตักตวงประโยชน์ได้มากมายเพียงใด
“อีกสองสามวันเ้าจงเตรียมตัวให้พร้อม ม่อเหยียนบิดาบุญธรรมของเ้าจะพาไปฝึกฝนส่วนตัวในอีกสามปีหลังจากนี้ หน้าที่ของเ้าคือต้องทุ่มเทฝึกฝนเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากบิดาบุญธรรมของเ้าให้ได้มากที่สุด หลังจากนั้นคงได้เวลาหวนกลับคืนดินแดนเดิมของเ้าเสียที...” สิ้นคำดังกล่าวหนิงอ้ายได้คำนับขอบคุณเสวี่ยจิงในความเมตตานี้อีกครั้ง ก่อนจะหันไปสวมกอดฟานหลิงด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย อีกไม่นานพวกเขาต้องแยกจากกันแล้วในสักวัน...
หนิงอ้ายกับม่อเหยียนได้เริ่มออกเดินทางจากเกาะพิศดารมาประมาณสามถึงสี่วันแล้ว ทั้งสองต่างใช้เคล็ดวิชาตัวเบาอย่างคล่องแคล่วและสังเกตการณ์บริเวณโดยรอบเพื่อหาอันตรายที่อาจเกิดขึ้นหากไม่ระมัดระวังมากเพียงพอ ม่อเหยียนเดินนำทางหนิงอ้ายอย่างระมัดระวังอีกทั้งเรียกใช้พลังปราณเพื่อเสริมความแข็งแกร่งร่างกายพร้อมกับใช้พลังปราณที่ผนึกขึ้นเป็ดาบเล่มหนึ่งเพื่อตัดทางผ่านเถาวัลย์และพุ่มไม้ที่ขวางทาง อีกทั้งยังคอยคอยระวังสัตว์ป่าและอันตรายอื่น ๆ ที่อาจซ่อนตัวอยู่ในเงามืด
จุดหมายปลายทางในการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ครั้งนี้คือสถานที่หนึ่งเป็บริเวณทางใต้ของสี่ทะเลมหาสมุทรที่เรียกว่าดินแดนระดับล่าง ดินแดนแห่งนี้เป็สถานที่ที่เต็มไปด้วยความลึกลับและอันตรายยิ่งด้วยเพราะเป็เป็แขตแดนรอยต่อกับเผ่าพันธ์มารปีศาจ อย่างไรก็ตามหนิงอ้ายและม่อเหยียนยังคงตัดสินใจที่จะเดินทางไปยังดินแดนระดับล่างนี้ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าการเดินทางย่อมเต็มไปด้วยความอันตรายแต่พวกเขาก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งที่ขวางหน้าเช่นกัน
ต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าแผ่กิ่งก้านสาขาราวกับกำลังโอบกอดผู้มาเยือนทั้งหลาย เปลือกไม้สีน้ำตาลเข้มเป็ร่องลึกบ่งบอกถึงความเก่าแก่และความแข็งแกร่งที่ผ่านกาลเวลามาเนินนานหลายพันหมื่นปี ใบไม้สีเขียวเข้มเป็ประกายทอประกายระยิบระยับเมื่อต้อง ด้านล่างต้นไม้ใหญ่เป็พุ่มไม้เตี้ยและเถาวัลย์ที่แผ่ขยายไปทั่วทุกหนแห่ง พวกมันพันกันเป็เกลียวราวกับงูั์ที่เลื้อยไปมาบนพื้นป่า ดอกไม้ป่าหลากสีสันเบ่งบานอยู่ทั่วทุกหนแห่ง เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วดังก้องไปทั่วทุกหนแห่ง บางตัวเกาะอยู่บนกิ่งไม้ บางตัวโฉบลงมาหาอาหารบนพื้นป่า เสียงร้องของพวกมันเป็เสมือนบทเพลงแห่งธรรมชาติที่ขับกล่อมให้ผืนป่ามีชีวิตชีวาสัตว์ป่ามากมายอาศัยอยู่ในผืนป่าแห่งนี้
เช้าของวันรุ่งขึ้น ม่อเหยียนได้ยื่นแหวนมิติอีกหนึ่งวงให้แก่หนิงอ้าย ภายในนั้นเต็มไปด้วยศาสตราวุธ ยันต์เวทย์รวมไปถึงสมบัติวิเศษอีกมากมายนับไม่ถ้วน สิ่งเหล่านี้บิดาบุญธรรมได้บอกแก่เขาว่าล้วนเป็สินทรัพย์จากาหรือเป็ของบรรณาการทั้งสิ้น นอกจากนั้นแล้วยังมีอาภรณ์ผืนหนึ่งด้วยเช่นกัน กลิ่นอายที่ปรากฏอยู่นั้นให้ความรู้สึกคุ้นเคยอยู่ไม่น้อยจึงพอคาดเดาถึงที่มาได้อย่างไม่ยากนัก เื่ราวของชาติกำเนิดของเขาที่เกี่ยวพันกับองค์ไท่จื่นนั้นหนิงอ้ายยังไม่้ารับรู้ในยามนี้ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะไม่ถามที่มาของอาภรณ์ดังกล่าว ก่อนจะประสานมือคำนับขอบคุณบิดาบุญธรรมอีกครั้ง
ใช้เวลาเพียงไม่นานหนิงอ้ายก็จัดการตัวเองเสร็จแล้วในที่สุด เพียงปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าผู้เป็บิดาบุญธรรมอย่างม่อเหยียนถึงกับตกตะลึง ยามนี้เด็กหนุ่มตรงหน้าราวกับเทพเซียนที่ลงมาจุติคงไม่เกินจริง ผมสีดำยาวสลวยจรดกลางหลังนั้นได้ถูกรวบมัดเป็ทรงแล้วเสียบด้วยปิ่นปักผมที่เป็สมบัติวิเศษระดับตำนานชิ้นหนึ่ง ชุดคลุมสีขาวไล่ระดับสีเขียวอ่อนเป็สีประจำตัวนั้นจรดลากยาวไปถึงพื้นที่ถูกปักด้วยดิ้นสีทองลวดลายดอกโบตั๋นบานสะพรั่ง พร้อมทั้งเครื่องประดับสีเงินเข้าคู่รับกับใบหน้า ่เอวบางรัดด้วยผ้าสีเขียวอ่อนยิ่งส่งเสริมร่างกายให้ดูบอบบางน่าทะนุถนอมมากยิ่งขึ้น โดยที่หนิงอ้ายไม่ลืมแขวนป้ายหยกประจำตัวที่ได้รับใหม่จากมหาพิภพนี้
“อาภรณ์ผืนนี้มีถูกถักทอขึ้นจากเส้นใยของหนอนไหมอำพร์ สัตว์อสูริญญาที่สถิตอยู่ในเขตดินแดนระดับสูง มีพลานุภาพในการปกป้องรักษาชีวิตสูงล้ำ แม้ใยไหมของมันจะบางเบาประหนึ่งปีกจักจั่นแต่กลับมีความแข็งแกร่งทนทานเป็อย่างมาก สามารถต้านทานการโจมตีของตัวตนที่ต่ำกว่าเขตขั้นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์ิญญาได้ถึงสามครั้ง หรือจะเป็พลังทำลายล้างขั้นสุดยอดที่ผันแปรไปตามปราณธาตุของผู้สวมใส่ผนึกขึ้นเป็สุดยอดการโจมตีได้หนึ่งครั้ง แน่นอนว่าพอเพียงมีพลังลมปราณมากพอก็สามารถรวบรวมสั่งการโจมตได้อีกครั้งเช่นกัน...”
“ไม่เพียงเท่านั้นอาภรณ์ผืนนี้ยังได้จารึกสลักด้วยอักขระเวทย์มหาพิภพหลายชนิดเอาไว้ ทำให้ผู้สวมใส่สามารถบัญชาการอักขระเวทย์ได้ง่ายดายดั่งใจนึก ยิ่งประสานเข้ากับการส่งเสริมปราณธาตุของผู้สวมใส่แล้ว กล่าวได้ว่าไม่ต่างไปจากการสมบัติวิเศษระดับต้นกำเนิดคงไม่เกินจริงไปนัก...” สิ้นเสียงของม่อเหยียน สีหน้าของหนิงอ้ายพลันแข็งค้างไปชั่วขณะ คุณสมบัติของอาภรณ์ผืนนี้กล่าวว่าล้ำค่าอย่างแท้จริง
“หนิงเอ๋อร์ เ้าเป็ราชทินนามราชันิญญาขั้นสูงแล้วใช่หรือไม่??” ความประหลาดใจปนภาคภูมิใจประกายขึ้นในแววตาของม่อเหยียน เสี่ยวเปาตัวน้อยในวันวานยามนี้ได้เข้าสู่่อายุสิบเจ็ดปีแล้ว ส่วนสูงได้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดวงหน้างามมีความคล้ายคลึงกับองค์ไท่จื่ออยู่หลายส่วนเลยทีเดียว
“ยามนี้พลังิญญาของข้าอยู่ในระดับที่ห้าสิบเจ็ดแล้ว หลังจากเข้าสู่เขตขั้นราชทินนามราชันิญญา แม้จะได้รับโอสถวิเศษและดูดซับปราณฟ้าดินรวมไปถึงเส้นชีพจรอัคคีก็ตาม แต่พลังิญญากลับทะลวงข้ามผ่านแต่ละเขตขั้นย่อยได้ยากมากยิ่งขึ้นหลายเท่าขอรับ...” ่เวลาหนึ่งปีมานี้หนิงอ้ายได้ทะลวงคอขวดจากราชทินนามเทวะิญญาเข้าสู่ราชทินนามราชันิญญาอย่างเต็มเท้า ด้วย่อายุเพียงเท่านี้กล่าวว่าเหนือชั้นกว่ารุ่นเยาว์ที่ได้รับการบ่มเพาะจากตระกูลาเสียด้วยซ้ำ
“การข้ามผ่านราชทินนามราชันิญญา โดยเฉพาะ่ระดับขั้นย่อยห้าสิบเจ็ดถึงห้าสิบเก้าเพื่อข้ามผ่านเป็ระดับที่หกสิบ อันเป็เขตขั้นของเทพยุทธ์ิญญานั้นเป็ด่านที่ยากลำบากอยู่แล้ว ฟานหลิงยังใช้เวลามากกว่าห้าปีจึงจะสำเร็จ แต่บิดาบุญธรรมจะกำหนดให้เ้าภายในสามปีนี้เท่านั้น หลังจากนี้เ้าจะต้องได้รับการฝึกฝนให้ได้มากที่สุด...” ม่อเหยียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังหนักแน่น แม้ยามนี้อีกฝ่ายอยู่ในระดับที่ห้าสิบเจ็ดก็จริงของเขตขั้นราชันิญญา แต่หากต้องปะทะกับมือกันโดยตรงแล้ว ราชทินนามเทพยุทธ์ิญญาขั้นต้นก็ไม่อาจเอาชนะหนิงอ้ายได้
“หนิงเอ๋อร์ เ้าคิดว่าความสามารถในการต่อสู้ของเ้าเป็อย่างไรบ้าง รู้หรือไม่ว่าปัญหาใหญ่ของเ้าคือสิ่งใดในยามนี้??” ม่อเหยียนเอ่ยขึ้นพร้อมกับลูบศีรษะของหนิงอ้ายด้วยความเอ็นดู
“ยามปล่อยพลังต่อสู้ ิญญายุทธ์ของข้าแม้จะประกอบไปด้วยสี่ปราณธาตุก็จริง ทว่ามีเพียงปราณสุริยะธาตุเท่านั้นที่เป็สายโจมตี ใคร่จะบัญชาการิญญายุทธ์ที่เป็สายอื่น ข้ารู้สึกว่ายังไม่สามารถปลดปล่อยออกมาได้มากเท่าที่ควรขอรับ...”
“การมากถึงสี่ปราณธาตุ กล่าวได้ว่าสิ่งนี้ส่งผลให้เ้าเหนือชั้นกว่า่วัยเดียวกันก็จริง อย่างไรก็ตามแม้ิญญายุทธ์สายอื่นจะสามารถเรียกใช้โจมตีได้แต่หากต้องปะทะกับมือกับเผ่าพันธ์มารปีศาจ ที่แม้อีกฝ่ายจะเพียงปราณธาตุเดียว เ้าย่อมรับมือได้ลำบากอยู่ไม่น้อย...”
“แล้วข้าควรต้องทำอย่างไรดีขอรับท่านพ่อบุญธรรม” หนิงอ้ายที่เคยรับมือกับแม่ทัพมารหลี่ย่อมเข้าใจไม่ยากนัก แม้มีคำกล่าวเปรียบเทียบว่าเผ่าพันธ์มารปีศาจมีระดับขั้นพลังจะเทียบเท่ากับผู้ฝึกตน แต่กับประสบการณ์ในครั้งนั้นเป็สิ่งที่ยืนยันได้ว่าแินี้ยังไม่ถูกต้อง
“อย่างที่เ้ารู้ว่าิญญายุทธ์ได้แบ่งออกเป็สี่สาย นั่นคือสายป้องกัน สายสนับสนุน สายควบคุมและสายโจมตี ดังนั้นหากเปรียบเทียบแล้วผู้ฝึกตนที่มีิญญายุทธ์สายโจมตีแล้ว แม้จะมีปราณธาตุเดียวกันนั้นถือได้ว่ามีระยะห่างถึงหนึ่งขั้นเมื่อเทียบกับิญญายุทธ์สายอื่น หากพูดไปตามหลักการแล้วย่อมเป็เช่นนี้ วิธีการที่เ้าได้รับการฝึกฝนมาก่อนหน้านั้นเป็วิธีการที่ดีมาก ๆ แล้วเช่นกัน เพียงแต่เ้ายังขาดไปสิ่งหนึ่งนั่นคือแก่นแท้แห่งการต่อสู้”
“แก่นแท้แห่งการต่อสู้อย่างนั้นหรือขอรับ...”
“หากเ้าสามารถสร้างแก่นแท้แห่งการต่อสู้ สิ่งที่จะปรากฎหลังจากนี้นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าไอสังหาร” การต่อสู้ย่อมเดิมพันด้วยชีวิตและความตายทั้งสิ้น แม้หนิงอ้ายจะเคยเข่นฆ่าสังหารสัตว์อสูรหรือแม้กระทั่งพวกมารปีศาจมาแล้วก็จริง ทว่านั่นเป็เพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น การเชิญหน้ากับแบบทดสอบความเสี่ยงตาย การดิ้นรนท่ามกลางเส้นด้ายที่กำลังจะขาดผึงย่อมส่งผลให้ศักยภาพที่ซ่อนเร้นจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์
ครืน!!
สิ้นคำกล่าวของม่อเหยียน ั์ตาสีดำสนิทได้ปลดปล่อยความเย็นะเืที่เต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัวและบั่นทอนจิตใจอย่างถึงขีดสุด ไอสังหารนี้ได้ส่งผลให้บรรดาสัตว์อสูรที่อยู่ในรัศมีต่างกรีดร้องเสียงดังทรมานออกมา หนิงอ้ายที่อยู่ใกล้อีกฝ่ายมากที่สุดจึงรู้สึกราวกับว่าร่างกายได้จมดิ่งภายใต้จิติญญาสังหารไม่อาจเปรียบได้
ฐานะตำแหน่งเทพาาที่ม่อเหยียนถือครองอยู่นั้น ส่งผลให้ไอสังหารดังกล่าวมีความเข้มข้นอย่างถึงที่สุด แม้กระทั่งจิติญญานักปรุงโอสถอันลึกล้ำในเขตขั้นของปรมจารย์โอสถระดับเจ็ดยังไม่อาจต้านทานเผชิญหน้าได้โดยตรง แก่นแท้ของการต่อสู้ที่เรียกว่าไอสังหารมีเพียงผู้ที่เคยพบเห็นหรือเผชิญหน้ากับความตายในระดับที่น่ากลัวที่สุดเท่านั้นจึงจะมีกลิ่นอายเช่นนี้ได้
“หนิงเอ๋อร์ เ้าััไอสังหารเมื่อครู่ได้หรือไม่ นี่เป็เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น สิ่งนี้มันจะทำให้เ้าแสดงศักยภาพของตนเองได้ถึงระดับสูงสุด โดยที่ไม่สนกฎเกณฑ์ว่าเ้าถือครองิญญายุทธ์สายใด ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าเ้าก็จะไม่มีความขลาดกลัวเลยเพียงนิด จุดที่น่ากลัวที่สุดคือการที่ผู้ที่ไอสังหารนั้นได้ข้ามผ่านความเป็ตายมานับไม่ถ้วน ผู้ที่ไม่หวาดกลัวต่อความตายย่อมไม่กลัวคู่ต่อสู้เช่นกัน!!”
“ท่านบิดาบุญธรรม แล้วข้าจะมีแก่นแท้แห่งการต่อสู้หรือไอสังหารได้อย่างไรขอรับ??” เสียงของหนิงอ้ายฉายชัดถึงความแน่วแน่ คำกล่าวเมื่อครู่ที่ม่อเหยียนได้อธิบายให้เข้าใจรวมกับสิ่งที่เขาััเมื่อครู่ ย่อมมากเพียงพอที่จะเย้ายวนให้เขาสนใจในการฝึกฝนเส้นทางนี้
“ให้ได้อย่างนี้สิ ฮ่าฮ่าฮ่า อีกสองวันบิดาจะพาเ้าไปยังสถานที่ที่แท้จริงในการสร้างไอสังหาร..” ม่อเหยียนหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจยิ่ง
ท้องนภาค่ำคืนนี้มืดสลัว เมฆาสีหม่นหมองบดบังแสงจันทร์ที่สาดส่องจนอ่อนจาง แสงไฟจากตะเกียงที่จัดขึ้นจากไฟเวทย์ได้ส่องผ่านทะลุเข้ามาประปราย กล่าวได้ว่าหลังจากเดินทางท่ามกลางแมกไม้ธรรมชาติมาหลายเดือนนี่เป็ครั้งแรกที่ได้เห็นทัศนียภาพและบรรยากาศที่แตกต่างออกไป หมู่บ้านที่ห่างไกลในดินแดนระดับล่างเช่นนี้หนิงอ้ายััได้ถึงความไม่ชอบมาพากลอยู่หลายส่วน แม้ว่าผู้คนโดยรอบจะมีท่าทางปกติก็ตามดวงตาเรียวสวยภายใต้หน้ากากและผ้าคลุมตัวได้มองรอบด้านอย่างสำรวจ โดยไม่ลืมปล่อยจิติญญาออกมาช่วยััรัศมีโดยรอบอย่างระมัดระวัง ใต้ต้นไม้แห้งเหี่ยวไร้ใบนั้นมีสิ่งมีชีวิตที่มีรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายคลึงกับมนุษย์ได้ถูกมัดไว้อย่างแ่า ใบหน้าซูบผอมฉายชัดถึงความทุกข์ทรมานที่ได้รับ เสียงพร่ำร้องอ้อนวอนดังขึ้นจนไม่อาจฟังรู้เื่ได้เพียงนิด...