เสียงลมหายใจของเสิ่นิเริ่มติดขัด แม้จะเป็ทหารกล้าของหน่วยนิรวาน แต่ด้วยการที่เขาแทบจะไม่ได้ออกกำลังกายมาร่วม 3 วัน ผนวกกับการต่อสู้ซึ่งได้แต่ปัดป้องแต่ต่อสู้กลับไม่ได้ แบบนี้จึงไม่ดีแน่
ร่างกายของเขาถูกฝึกฝนให้เป็กับดักล่อ ดึงดูดให้ศัตรูเผยช่องโหว่ของตนเองให้เห็น ซึ่งนั่นเป็หนึ่งในวิธีสังหารอันแยบยล แต่ในขณะนี้ ภายใต้คำสาป “กระสอบทรายมนุษย์” วิธีการนี้กลับใช้การไม่ได้ การโจมตีไปที่จุดบอดของคู่ต่อสู้ถูกบังคับให้ต้องยุติลง กับดักที่วางไว้รังแต่จะกลายเป็จุดอ่อนของเขาแทน
5 นาทีในยกแรก เสิ่นิโดนฟันศอกไปหนึ่งครั้ง แทงเข่าไปหนึ่งครั้ง ลูกเตะอีกสอง และหมัดขวาอีกหนึ่ง ตาซ้ายของชายหนุ่มบวมขึ้นเล็กน้อย มีเืไหลซิบที่มุมปาก
พอหมดเวลา ฟางหยวนที่กำค้อนเล็กอยู่ ก็แทบอดทนรอไม่ไหวที่จะตีระฆัง ทั้งสองฝ่ายถอยกลับเข้าไปที่มุมเพื่อพัก หลินฝานหลงคิดไปว่าความหล่อเท่ของเขาจะสามารถดึงดูดใจรุ่นน้องขึ้นมาได้บ้าง เธอจะได้คอยส่งน้ำส่งอะไรมาให้ สมัยก่อนตอนที่เขาแข่ง รุ่นน้องคนนี้ก็มักจะทำทำให้เขาเช่นนั้น
แต่ในครั้งนี้ ในขณะที่หลินฝานหันกลับไปมอง ฟางหยวนกลับวิ่งเข้าไปหาเสิ่นิ
“คุณบ้าไปแล้วหรือเปล่า? เมื่อก่อนหลินฝานเป็นักมวยดัง ฝีมือดีที่สุดในประเทศ ยิ่งตอนนี้ได้ไปร่ำเรียนที่ไทยมา 3 ปีอีก! คุณจะเอาชนะเขาได้ยังไง? เดี๋ยวก็ตายหรอก” ฟางหยวนะโด้วยความเกรี้ยวกราด
“แบบนี้เรียกว่าฝีมือดีที่สุดแล้วเรอะ? มาตรฐานในประเทศของเรานี่แย่ไปหน่อยละมั้ง?” เสิ่นิหัวเราะเบาๆ
หลินฝานที่มุมตรงข้ามกำลังดื่มน้ำด้วยสายตาที่ดุร้าย เขาโดนพูดแทงใจดำเข้าให้แล้ว ที่จริงเสิ่นิก็พูดไม่ผิด เมื่อครู่เสิ่นิปัดป้องอย่างเดียว ไม่ได้ต่อสู้ แต่หลินฝานก็ทำแต้มได้แค่เพียง 5 ครั้งเท่านั้น ต้องทราบก่อนว่านี่เป็ยกที่ให้เวลาทั้งหมด 5 นาที หลินฝานใช้กระบวนท่าในการจู่โจมไปทั้งหมดเกือบ 200 ท่า เมื่อคำนวณเป็อัตราส่วนที่เข้าเป้าแล้ว เสิ่นิเป็ราวกับเทพเ้าบนสังเวียน
ตอนนี้สภาพของหลินฝานสมบูรณ์แบบ เขาเป็ฝ่ายได้เปรียบ น้ำหนักหมัดอันแข็งแกร่งของเขาหนักถึง 200 กิโลกรัม ความเร็วในการชกคือเจ็ดหมัดต่อวินาที ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน ต่อให้เป็แชมป์มวยไทยคนก่อน หากโดนหมัดเข้าไปที่ศีรษะละก็ อย่าหวังว่าจะลุกขึ้นมาเลย แต่สภาพของเสิ่นิกลับบวมแค่ที่ขอบตาเท่านั้น ลมหายใจก็กระสับกระส่ายเล็กน้อย เขาสามารถยืนหยัดอยู่ได้จนกระทั่งหมดยก ไม่ล้มลงไปกับพื้นเลยสักครั้ง
แต่ในยกที่สอง ขอแค่เพียงเ้าสัตว์ประหลาดนั่นยังคงอยู่ในโหมด “กระสอบทรายมนุษย์” ตามข้อตกลง หลินฝานก็ตัดสินใจที่จะปลดตนเองให้หลุดพ้นจากโหมดสุภาพบุรุษจอมปลอม
“หยุดชกได้แล้ว ถือว่าฉันขอร้อง คุณ้าอะไรกันแน่? อยากได้เงินเหรอ? ฉันให้คุณก็ได้!” ฟางหยวนกลั้นน้ำตาไว้ เพราะ่เวลาพักหมดลงแล้ว หลินฝานลุกขึ้นจากม้านั่งและเดินกลับไปที่กลางสังเวียนแล้ว
“ขอแค่คุณไม่เป็ไร...” เสิ่นิลุกขึ้นยืนและกลับสู่กลางสังเวียนเช่นกัน
“ยกนี้เอาจริงแล้วนะ” หลินฝานยื่นนวมแตะกับเสิ่นิอีกครั้ง
“ยกเมื่อครู่นี้แกละเมอเรอะ?” เสิ่นิกล่าวด้วยสายตาที่เหยียดหยาม
ยกสองเริ่มขึ้นโดยไร้เสียงระฆัง หมัดของหลินฝานหนักขึ้นกว่าเดิม ฝีเท้าของเขาเพิ่มความหนักแน่น เขาออกหมัดอัพเปอร์คัทอย่างต่อเนื่อง ต้อนเสียจนเสิ่นิต้องถอยออกไปตั้งรับจนสุดมุม กล้ามเนื้อของหลินฝานตึงแน่น ทุกหมัดเหมือนกับค้อนทุบ ทุกการแทงเข่าราวกับปืนกระหน่ำ ทุกศอกเหมือนกับขวานสับ ทุกการเตะราวกับแส้ฟาด
ความคล่องตัวของเสิ่นิลดลงอย่างเห็นได้ชัด เขาถูกต้อนจนติดมุมอีกครั้ง ชายหนุ่มยกมือป้องศีรษะ เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง
“ถอยกลับไป! ฟาวล์! ถอย!” ฟางหยวนตะเบ็งเสียงใส่หลินฝานจากข้างสังเวียน
“หนนี้ถ้าหลบได้ก็ลองดู!” ที่มุมด้านหน้าของเสิ่นิ หลินฝานส่งเสียงออกมา ก่อนจะเหยาะเท้าเบี่ยงตัว เขาซุกกำปั้นขวาไว้ที่ด้านหลัง ระยะห่างราวกับคิดจะแยกตัวออกห่าง เขาขยายวงจู่โจมจนถึงขีดสุด
“ปืนฮุค? รุ่นพี่กะจะน็อคเอาต์? เสิ่นิ! หลบ!” ฟางหยวนกรีดร้องในขณะที่น้ำตาคลอเบ้า
“ปืนฮุค” เทคนิคพิเศษในการออกหมัดระยะไกลซึ่งหลินฝานคิดค้นขึ้นมาเอง เพราะว่า่แขนของหลินฝานนั้นยาวกว่าคนทั่วไป แต่ก่อนอาจารย์ถึงกับเรียกเขาว่า “กอริลลาน้อย” มวยไทยเป็การต่อสู้ในระยะประชิดรูปแบบหนึ่ง ยิ่งระยะห่างน้อย ศอกและเข่าจะยิ่งเป็อาวุธสังหารอันรุนแรง
ดังนั้นนักชกที่มีประสบการณ์จึงมักเว้นระยะห่างออกจากกัน แต่ปืนฮุคของหลินฝานนั้นสามารถฉวยโอกาสในขณะที่คู่ต่อสู้เผลอ ไม่ได้เตรียมการปัดป้องหรือป้องกันไว้ ด้วยจังหวะฝีเท้าอันมั่นคง กอปรกับการเกร็งกล้ามเนื้อั้แ่น่องขึ้นไป การรวบรวมกำลังไว้ที่ต้นแขน และทำความเร็วในการชกสิบสองหมัดภายในหนึ่งวินาที ข้อด้อยข้อเดียวของวิธีการนี้ก็คือมันใช้เวลาในการเตรียมตัวค่อนข้างนาน
“ตายซะเถอะ!” หลินฝานถล่มปืนฮุคใส่การ์ดของเสิ่นิ เขาจู่โจมอย่างน่าหวาดผวา กระทั่งเป็ครั้งแรกที่การ์ดของเสิ่นินั้นสั่นไหวและแยกออกจากกัน
“ปืนฮุคไม่ได้มีแค่นัดเดียว” หลินฝานแขวนรอยยิ้มอำมหิตไว้ที่มุมปาก ก่อนจะส่งปืนฮุคซ้ายอีกชุดพุ่งใส่ใบหน้าของเสิ่นิ
เืกระเซ็นไปถึงหน้าของฟางหยวน เสิ่นิเด้งเข้ามุมเสาแล้วเด้งกลับ เป็ครั้งแรกที่เขาร่วงลงกับพื้น
สมองเสิ่นิะเืไป 2 วินาที เืออกทั้งในจมูกและลำคอ เขาหายใจแทบไม่ออก ฟางหยวนถลากลับไปยังม้านั่งของผู้ตัดสินและตีระฆังหมดยกที่สอง แม้ความจริงแล้วจะยังเหลือเวลาอยู่อีก 20 วินาทีก็ตาม แต่ผู้ซึ่งเป็ต่ออย่างหลินฝานก็ไม่ได้สนใจและเดินกลับเข้าไปที่มุม
“เสิ่นิ! พูดอะไรหน่อยสิ! นี่กี่นิ้ว!” ฟางหยวนพุ่งขึ้นไปบนสังเวียน หญิงสาวกอดเสิ่นิซึ่งล้มตัวลง สายตาของเขาล่องลอย เืนองเต็มใบหน้า เขามีเืคั่งในหลอดลม
ฟางหยวนจูบปากเสิ่นิทั้งน้ำตา เธอดูดเืออกมาจนหมด ความรู้สึกนี้ช่างคุ้นเคย ราวกับว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ริมฝีปากและฟันพบกัน หลินฝานซึ่งกำลังภาคภูมิใจอยู่นั้นมองดูด้วยความตกตะลึง กำปั้นที่อยู่ภายในนวมนั้นกำแน่น
ด้วยลักษณะนิสัยของฟางหยวน หลินฝานมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่านั่นคือจูบแรกของเธอ เธอเกลียดการใกล้ชิดกับคนอื่นเป็ที่สุด ขนาดจูงมือยังว่าสกปรก แต่ตอนนี้ เธอกลับจูบปากคนอื่นได้โดยที่ไม่ลังเล
ฟางหยวนบ้วนเืออกไปด้านข้าง เสิ่นิถึงได้กลับมาหายใจคล่อง
“นี่กี่นิ้ว?!” ฟางหยวนชู 2 นิ้วแล้วถามในขณะที่ปากและฟันยังเปื้อนเือยู่
“นี่มัน สู้ๆ ไม่ใช่เรอะ?” เสิ่นิยิ้มแหย
“ไอ้บ้า! ฉันใแทบแย่ นึกว่าคุณตายไปแล้ว!” ฟางหยวนยิ้มพลางร้องไห้
“ปากคุณแดงเกินไป วันหลังอย่าทาลิปสีนี้อีกนะ” เสิ่นิถอดนวมออก ก่อนจะเอาผ้าพันแผลที่พันรอบฝ่ามือเช็ดเืที่มุมปากให้เธอ
“หยุดชกได้แล้ว!” ฟางหยวนะโใส่หลินฝาน
“เครื่องกำลังร้อนเลย จะหยุดได้ยังไง?” เสิ่นิผละออกจากอ้อมกอดของฟางหยวน เขายันตัวลุกขึ้นยืนอีกครั้ง “ไม่ได้โดนหมัดทรงพลังแบบนี้มานานแล้ว กลับเข้าเมืองมา ร่างกายก็เลยปวกเปียกไปหน่อย ขออภัย เอาล่ะ ไอ้ปืนฮุคอะไรของแกนี่ ดูไปก็คล้ายกับหมัดกระทุ้งของเพื่อนฉันคนหนึ่งเหมือนกัน เราเป็คู่ซ้อม เล่นเกมฝึกความอึดด้วยกันอยู่บ่อยๆ แต่ว่าไอ้หมอนั่นไม่ได้ใช้เวลาเตรียมท่านานเท่าแกหรอก แถมหมัดก็ยังหนักน้อยกว่าแกอยู่นิดหน่อยด้วย”
“พล่ามอยู่ได้! จะตายอยู่แล้ว! ฟางหยวน ลงไป! ยกที่สามเริ่มได้!” หลินฝานชูหมัดขึ้นอย่างเกรี้ยวกราดอีกครั้ง แต่เขากลับไม่สามารถก้าวขาออกไปข้างหน้าได้แม้แต่เพียงครึ่งก้าว
“กล้าแตะเขาอีกครั้งก็ลองดูสิ” ที่ด้านหลัง ด้านล่างของสังเวียน เสียงโหลดะุปืนดังขึ้นอย่างชัดเจน เซี่ยวอี๋ถือปืนพกไว้ด้วยมือทั้งสองข้างพร้อมกับเล็งไปที่ศีรษะของหลินฝาน
“ที่แท้ก็สุนัขรับใช้อีกตัว” หลินฟ่านแสยะยิ้ม
“ปัง!” เซี่ยวอี๋ลั่นไกปืน ะุเฉี่ยวใบหูของหลินฝานไป เืไหลซิบออกมา
“แม่แกไม่ได้สั่งสอนมารยาทให้แกหรือไง? ถ้ายังพูดจาไม่เข้าหูอีก ฉันจะยิงแกทิ้งซะ แม่แกจะได้ผลิตลูกใหม่อีกคน” เซี่ยวอี๋ดุร้ายเสียยิ่งกว่าตอนที่เธอเป็ตำรวจ
มวยนัดนั้นจบลงด้วยวิธีการอันแปลกประหลาด เสิ่นิไม่อยากไป แต่หลังจากที่เห็นเซี่ยวอี๋เล็งปืนมาที่เขา ชายหนุ่มจึงจำเป็ต้องไปจัดการกับาแบนใบหน้า
หลินฝานเองก็ต้องไปทำแผลที่หูด้วย หากเซี่ยวอี๋เบี่ยงปืนอีกเล็กน้อย เขาคงได้กลายเป็ไอ้คนหูเดียวไปแล้ว
ในขณะที่นั่งรถจี๊ปออกมาจากโรงยิม เสิ่นิใช้กระดาษชำระไปครึ่งห่อเพื่อซับเืบนใบหน้า ที่หางตาของยังมีผ้าพันแผลติดอยู่
“นายรนหาที่ตายหรือไง! คนอื่นด่านายไว้ไม่มีผิด นายมันไอ้หมาบ้า คนเขาเกลียดนายจะแย่ นายก็ยังไปตามเขาอยู่ได้ ไปให้เขากระทืบอีก นายนี่เกิดมาหาแต่เื่หรือยังไง?” เซี่ยวอี๋ใช้แอลกอฮอลล์เช็ดแผลให้เสิ่นิ
“ไอ้หมอนั่นมันบอกว่า ถ้ายอมให้ซัดจนจบเกมแล้วมันจะไป” เสิ่นิยัดกระดาษชำระเข้ารูจมูกในขณะที่พูด
“แล้วถ้ามันบอกว่ามันจะตุ๋ยนาย นายก็ยอมอย่างงั้นเรอะ? ปัญญาอ่อน คราวหน้าถ้านายคิดจะคุ้มครองคนแบบนี้ ฉันฆ่านายเองซะดีกว่า จะได้ไม่ต้องให้คนอื่นมาทำให้นายอับอายขายขี้หน้า” เซี่ยวอี๋โมโหราวกับว่าผู้ชายของเธอถูกคนอื่นรังแก
“ขอโทษ คราวหน้าจะไม่ไก่อ่อนแบบนี้อีกแล้ว” นี่เป็ครั้งแรกที่เสิ่นิกล่าวขอโทษเซี่ยวอี๋ ทำเอาเซี่ยวอี๋ถึงกับตกตะลึง
สิ้นสุดการเยี่ยมชมโรงยิม ฟางหยวนและหลินฝานก็ไปทานข้าวกลางวันกันต่อก่อนจะกลับบ้าน เสิ่นิกลายเป็เ้าที่เฝ้าประตูบ้านของฟางหยวนอีกครั้ง
บรรยากาศในห้องไม่ราบรื่นเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว เพราะเื่บนสังเวียน ฟางหยวนรู้สึกแปลกๆ กับหลินฝาน
“รุ่นพี่ ฉันยังมีอะพาร์ตเมนต์อีกแห่งที่อยู่ใจกลางเมือง กินอยู่ได้อย่างสะดวกสบาย ถ้าพี่ยังหาที่พักไม่ได้ พี่ไปอยู่ที่นั่นก่อนก็ได้นะ” ฟางหยวนกล่าวอย่างใจเย็น
“ทำไม? จะไล่พี่แล้วเหรอ? เพราะว่าเ้าบอดี้การ์ดน่ารำคาญนั่นน่ะนะ? ฟางหยวน เธอเปลี่ยนไป แยกดีแยกชั่วไม่ออกแล้ว” หลินฝานพูดด้วยน้ำเสียงโมโห
“ไม่ใช่ พี่นั่นแหละที่เปลี่ยนไป แต่ก่อนไม่ว่าพี่จะสู้กับใคร พี่ก็ไม่เคยลงมือได้โเี้ขนาดนี้ แต่เมื่อครู่นี้...พี่คิดที่จะฆ่าเขา” ฟางหยวนกล่าวด้วยความโกรธ
“เพราะเขามาตอแยเธอไง เขามีอิทธิพลต่อเธอ เห็นๆ กันอยู่ว่ามันเป็เหมือนหมาบ้าตัวหนึ่ง เธอยังจะไปใจดีกับมันอีก พี่รู้สึกยังไงกับเธอ เธอมองไม่ออกหรือไง?” หลินฝานคำรามด้วยความโมโห
“รุ่นพี่ เราเป็แค่พี่น้องกัน อีกหน่อยเราก็เป็แค่พี่น้อง ถึงเขาจะหลอกฉัน แต่เขาก็ไม่เคยทำร้ายฉัน ในตอนที่ฉันย่ำแย่ เสียใจ สิ้นหวัง เขาก็ไม่ได้ทิ้งฉันไปไหน เขาไม่ใช่หมา!” ฟางหยวนเถียงแทนเสิ่นิ
“พี่รู้แล้วว่าเธอชอบเขา” หลินฝานกล่าวพร้อมแสยะยิ้ม
“ชอบแล้วยังไง?” ฟางหยวนยอมรับโดยสัญชาตญาณ
“ได้ พี่เข้าใจแล้ว” หลินฝานถอนหายใจก่อนจะเดินไปทางประตูนิรภัย แต่พอเขาเดินมาถึง ประตูห้องก็มีเสียงดังแกรกขึ้น เขาล็อกประตูห้องเอาไว้
“ไม่ได้การล่ะ!” เสิ่นิะโลุกขึ้นจากทางเดินแล้วทะยานถีบประตูนิรภัยจนเสียงดังปัง ฝีเท้าของเขาจมไปกับประตูจนเป็รอย
ประตูนิรภัยของฟางหยวนนำเข้ามาจากฝรั่งเศส ผลิตขึ้นจากวัสดุรถถังหุ้มเกราะ พละกำลังของเสิ่นิก็ไม่อาจเปิดออกได้
“เธอน่าจะฟังคำของสุนัขตัวนั้นนะ...” หลินฝานทิ้งเป้สะพายหลังลง พร้อมหันตัวเดินกลับไปยังห้องนั่งเล่น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้