เล่มที่ 6 ตอนที่ 173 ให้เ้ามีเกียรติ
เว่ยซื่อเอ่ยว่า “เหยาเอ๋อร์ยังเสียขวัญมาก และไข้ก็ขึ้นสูงเหมือนเ้า ตอนนี้ร่างกายของนางก็ยังอ่อนแรงอยู่ ส่วนอิ๋งเอ๋อร์นางถูกคนร้ายเตะเข้าที่ท้อง หมอหลวงบอกว่า เด็กในท้องของนางคงรักษาไว้ไม่ได้”
เมื่อพูดถึงกู้อิ๋ง ดวงตาของเว่ยซื่อก็แดงก่ำ
“น้องสามตั้งครรภ์หรือเ้าคะ?” กู้เจิงแปลกใจมาก
สองสามีภรรยาเสิ่นมองหน้ากัน สีหน้าอึดอัดไม่น้อย
“ใช่ แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่รู้” เว่ยซื่อยิ่งพูดยิ่งรู้สึกแย่
“เป็ไปได้ยังไงกันเ้าคะ? แล้วแม่เฒ่าซุนไม่สังเกตเห็นเลยหรอกหรือ?” แม่เฒ่าซุนรับใช้ใกล้ชิดกับกู้อิ๋ง และนางเป็คนละเอียดรอบคอบ กู้เจิงคิดว่าเื่แบบนี้ แม่เฒ่าซุนต้องสังเกตได้แน่
“อิ๋งเอ๋อร์มีร่างกายที่แปลก รอบเดือนของนางมักจะมานานๆ ครั้งอยู่เสมอ” เว่ยซื่อเห็นว่าทุกคนในที่นี้ล้วนเป็คนกันเองจึงไม่ได้ปิดบัง “ในจวนอ๋องจะมีหมอมาตรวจชีพจรทุกเดือน เดือนแรกตรวจไม่พบ เดือนที่สองหมอยังไม่ทันมาตรวจก็เกิดเื่ขึ้นก่อน”
“น้องสามจะเป็ทุกข์มากแค่ไหนกัน” กู้อิ๋งคงตั้งตารอเด็กคนนี้มาก
“ทั้งหมดเป็เพราะตวนอ๋อง” เว่ยซื่ออดพูดไม่ได้ “ทั้งๆ ที่รู้ว่าเสี่ยนอ๋องกำลังมุ่งเป้าไปที่ตัวเขา แล้วยังไม่รู้จักที่จะปกป้องอิงเอ๋อร์ให้ดี”
“ฮูหยิน” กู้หงหย่งเอ่ยปรามเว่ยซื่อ
“หรือไม่ใช่กันเ้าคะ คืนนั้นเขาก็รู้ดีว่ามีความผิดปกติ แต่ก็ยังทิ้งให้อิ๋งเอ๋อร์กับเหยาเอ๋อร์กลับกันเอง ท่านพ่อของข้าบอกว่า เขาใช้อิ๋งเอ๋อร์กับเหยาเอ๋อร์เป็เหยื่อล่อ ทำให้คนของเสี่ยนอ๋องเข้าใจผิดคิดว่าเขายังอยู่บนรถม้านั่น ทั้งที่จริงๆ เขาได้ปลีกตัวออกไปก่อนแล้ว”
“ท่านพ่อตาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเื่นี้เลย เขาก็แค่พูดเหลวไหลเท่านั้นเอง” กู้หงหยงกล่าวอย่างกรุ่นโกรธ
เว่ยซื่อไม่ได้พูดอะไรอีก
กู้เจิงฟังแล้วใจเย็นเฉียบ ผู้เฒ่าฉางผิงโหวเป็ทหารมาทั้งชีวิต จะบอกว่าเขาคิดเรื่อยเปื่อยไปเอง นางกลับคิดว่ามีความเป็ไปได้สูงที่จะเป็เื่จริง นางหันไปมองเสิ่นเยี่ยนเพราะเกรงว่าเื่นี้น่าจะเป็ตามที่ท่านแม่ทัพาุโคาดเดาไว้เก้าในสิบส่วน
“แต่สุดท้ายทุกคนก็ปลอดภัย ถือเป็ความโชคดีมากแล้ว” นายหญิงเสิ่นรีบสรุปเพื่อปลอบใจเว่ยซื่อ
เว่ยซื่อพยักหน้า “ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน” เด็กในท้องของอิ๋งเอ๋อร์ถึงจะรักษาไว้ไม่ได้ แต่อย่างน้อยนางก็ยังมีชีวิตอยู่
เว่ยซื่อกับกู้หงหย่งมอบของให้กู้เจิงไว้มากมาย รวมถึงของจากพระสนมซูด้วย ก่อนจะขอตัวกลับไป
ตอนบ่าย เหล่าท่านลุงท่านป้าทั้งสามครอบครัวต่างมาเยี่ยมกู้เจิง และนำของมาให้มากมาย
หลังจากพวกท่านลุงท่านป้ากลับไปแล้ว กู้เจิงก็ถามข้อสงสัยในใจออกมา
“การคาดเดาของฉางผิงโหวที่ ท่านว่าจะเป็เช่นนั้นหรือไม่เ้าคะ?” ตวนอ๋องใช้ประโยชน์แม้แต่กับภรรยาและน้องสาวภรรยาของตัวเองจริงๆ น่ะหรือ?
“มีองครักษ์เงาคอยตามรอบรถม้า แต่ตวนอ๋องประเมินความแข็งแกร่งของเสี่ยนอ๋องต่ำเกินไป องครักษ์เงาเ่าั้ถูกสังหารไปหมดแล้ว” เสิ่นเยี่ยนกล่าว “รถม้าขององค์ชายสิบสองไม่ใช่เป้าหมายของเสี่ยนอ๋อง เพียงแต่เป็เพราะเสียงเป่าปากนั้นถึงทำให้เ้าตกอยู่ในอันตรายไปด้วย”
“ต่อให้มีองครักษ์เงาติดตามอยู่ แต่ตวนอ๋องก็ไม่ควรปล่อยให้ภรรยาของตัวเองเสี่ยงอันตรายเช่นนี้เ้าค่ะ” กู้เจิงพูดด้วยความโมโห
“ใช่”
“ถ้าวันหน้าท่านกล้าพาข้าไปเสี่ยง ข้า...”
“ข้าไม่ทีทางทำ” เสิ่นเยี่ยนนั่งลงตรงหน้ากู้เจิง เขามองดวงตาใสที่เจือด้วยความโกรธเคืองของภรรยา และเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ข้าไม่กล้ารับประกันว่าจะสามารถปกป้องเ้าได้ทุกครั้ง แต่ข้าสัญญาว่าจะไม่เอาชีวิตเ้าไปเสี่ยงเด็ดขาด”
“จริงหรือเ้าคะ?” กู้เจิงถามย้ำ
“จริงสิ” เขาอาจไร้ความสามารถในการปกป้องภรรยาจากอันตรายรอบด้าน แต่เขาไม่ใช่คนประเภทที่จะเอาสตรีมาใช้เป็เครื่องมือที่จะทำให้งานตัวเองประสบความสำเร็จ “อาเจิง ข้าชอบเ้า แล้วข้าจะกล้าเอาเ้าไปเสี่ยงอันตรายได้ยังไง”
“แล้วถ้าท่านไม่ชอบข้าแล้วเล่า?”
“หากวันใดข้ามีหญิงอื่นเข้ามาในใจ ข้าจะบอกเ้าอย่างตรงไปตรงมา และปล่อยให้เ้าจากไปอย่างสมเกียรติ”
ถ้อยคำประโยคหลังนี้กระแทกเข้ามาในหัวใจของกู้เจิง นางชื่นชมเสิ่นเยี่ยน ชอบเสิ่นเยี่ยน ชอบครอบครัวตระกูลเสิ่น นางอยากใช้ชีวิตอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต แต่ถ้าวันไหนเขาไม่ชอบนางแล้ว ถึงขั้นอยากจะรับอนุเล่า? นางคงไม่มีทางรับได้
“ได้ ท่านพูดเองนะ หากข้าไม่ใช่สตรีเพียงคนเดียวของท่าน ท่านจะบอกข้าอย่างตรงไปตรงมา และปล่อยให้ข้าจากไปอย่างสมเกียรติ”
“มันจะไม่มีวันนั้นหรอก”
ตอนนี้เสี่ยนอ๋องสิ้นพระชนม์แล้ว ข้างนอกเรียกว่าเป็การตายฉับพลัน การสิ้นพระชนม์ของเชื้อพระวงศ์ ไม่ว่าจะป่วยตาย หรือตายฉับพลัน ล้วนจะต้องถูกพูดถึงอย่างแน่นอน
ในวันที่เสี่ยนอ๋องสิ้นพระชนม์ นักโทษอีกสิบคนก็ถูกปะาเช่นกัน คนพวกนั้นเป็พวกเดียวกับคนที่ถูกกู้เจิงสังหารไป
เื่นี้จึงถือเป็อับจบไป
เมื่อย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ าแของกู้เจิงก็เริ่มหายดี แต่ที่ศีรษะของนางยังคงรู้สึกปวดอยู่บ้าง หมอหลวงบอกว่าขอเพียงรักษาตามปกติให้ดี ก็จะไม่เกิดปัญหาใหญ่อะไร แต่ไม่ควรตากลมอีก
ชุนหงจดจำคำบอกของหมอหลวงไว้ในใจอย่างละเอียด เมื่อพบเจอกับวันที่มีลมแรง นางจะต้องเอาเสื้อคลุมและหมวกกันลมให้คุณหนู กู้เจิงรู้สึกว่าหลังจากที่นางประสบเคราะห์ครั้งนี้ ตนเองได้ก้าวเข้าสู่ชีวิตวัยชราแล้ว
กู้เจิงอยากไปดูเรือนพักหลังใหม่ที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้ และนางก็อยากย้ายไปอยู่ในเร็ววัน ทว่ากลับมีกิจธุระมากมาย ตอนนี้หอสมุดก็ตกแต่งเสร็จแล้ว วันอายุครบรอบหนึ่งเดือนเต็มของบุตรสาวคนเล็กของเสิ่นตงเถียนก็ใกล้จะมาถึงแล้ว และต่อไปก็จะเป็วันแต่งงานของเสิ่นกุ้ย พอเื่เหล่านี้ประดังประเดเข้ามา นางก็ไม่มีเวลาไปดูบ้านหลังใหม่
“คุณหนู ทำไมไม่ไปพักผ่อนดีๆ ล่ะเ้าคะ?” ชุนหงแย่งงานในมือคุณหนูของนางมาทำแทน“งานหยาบๆ พวกนี้บ่าวทำเองเ้าค่ะ คุณหนูไปพักเถอะ”
“ใช่แล้ว คุณหนูใหญ่” หม่าตงเถ้าแก่ร้านหนังสือพูดเสริม “าแของท่านเพิ่งหายดี อย่าทำเลยขอรับ เดี๋ยวข้าน้อยกับชุนหงจัดการเอง”
“งั้นข้าจะเขียนใบปลิว" กู้เจิงส่งงานที่ตนเองทำอยู่ให้หม่าตงกับชุนหง แล้วนางก็มานั่งลงที่โต๊ะและเริ่มเขียนใบปลิว สิ่งที่นางหยิบมาโฆษณานั้นคือสิ่งที่คนที่นี่ไม่เคยเห็นมาก่อน
รูปแบบของหอสมุดจะเน้นรูปแบบสมัยราชวงศ์ิเป็หลัก รูปแบบการตั้งโต๊ะจะให้ความรู้สึกสบายๆ ้าปล่อยว่าง โคมไฟที่ทำจากไม้ไผ่เรียงรายอย่างเป็สัดส่วน ด้านในมีแสงเทียนไว้ให้แสงสว่างตอนกลางคืน
อีกด้านหนึ่ง ยังมีถังกลมขนาดใหญ่ที่วางอยู่ ซึ่งนางวาดออกมาให้เสิ่นกุ้ยไปทำ สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือหัวก๊อกน้ำอันนั้น เดิมทีกู้เจิงคิดว่านางวาดออกมาก็ใช่ว่าเสิ่นกุ้ยจะทำได้ ไม่คิดว่าเขาจะทำได้จริงๆ
เสียงน้ำไหลดังแว่วมา เห็นเถ้าแก่หม่าตงเดินออกมาจากกระท่อมในลานบ้าน หม่าตงเห็นคุณหนูใหญ่มองตัวเองอยู่ก็ยิ้มร่า “กระท่อมนี้ใช้งานได้ดังใจจริงๆ ขอรับ เสิ่นกุ้ยบอกว่านี่เป็งานเขียนฝีมือคุณหนูใหญ่”
“ไม่ใช่งานเขียนของข้า เป็งานเขียนของบาทหลวงท่านหนึ่งต่างหาก” ชักโครกแรกของโลกถูกคิดค้นโดยบาทหลวงชาวอังกฤษนามว่า จอห์น แฮริงตัน
“บาทหลวงหรือขอรับ?” หม่าตงสงสัยว่ามันคืออะไร
“ไม่สำคัญหรอก ใช้สะดวกสบายเป็สิ่งสำคัญที่สุด” กู้เจิงยิ้ม
“ใช่ขอรับ ใช่” หม่าตงรีบตอบ “คุณหนูใหญ่ ทั้งสองชั้นของหอสมุดมีหนังสือทั้งหมดหกร้อยเล่ม ในจำนวนนี้ห้าร้อยกว่าเล่มเป็หนังสือที่บัณฑิตต้องใช้ รวมถึงชุดข้อสอบของราชสำนักตลอดหลายปีที่ผ่านมา ส่วนที่เหลือเป็บันทึกภาพวาดูเาลำน้ำและตำราเหรินอู้จื้อ* ขอรับ”
(*หรือ บันทึกวิสัยมนุษย์ เป็การคัดเลือกทรัพยากรมนุษย์ ตรวจสอบจริตจิตใจผู้คน เพราะคนมีหลายประเภท จึงต้องมีแนวทางการใช้คนให้เหมาะกับศักยภาพ)
กู้เจิงพลิกหน้าหนังสือ “ห้าร้อยเล่ม? มีซ้ำไปเท่าไหร่?”
“มากกว่าครึ่งขอรับ”
“แล้วไม่มีพวกวรรณกรรมหรืออะไรทำนองนั้นเลยหรือ? บันทึกพงศาวดารก็ดีเหมือนกัน”
หม่าตงนิ่งอึ้ง “หนังสือพวกนั้นไม่ค่อยนิยมกัน ไม่มีใครอยากอ่านหรอกขอรับ”
“ใครบอก ข้ายังแอบอ่านเลย” กู้เจิงนึกถึงนิยายที่อยู่บนหัวเตียงของนางเอง แม้เสิ่นเยี่ยนจะแสดงออกถึงความรังเกียจ แต่ก็มิได้ยึดไปจากนาง
“คุณหนูใหญ่พูดแบบนี้กับข้าน้อยได้ แต่ต่อหน้าคนอื่นห้ามพูดเด็ดขาดนะขอรับ มิเช่นนั้นจะถูกคนดูแคลนเอาได้”
กู้เจิงนึกหยามในใจ ปากจึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้ารู้ แต่เ้าก็ต้องเอาสมุดวาดรูปที่ได้รับความนิยมในตลาดและวรรณกรรมอะไรพวกนั้นมาด้วย ซื้อมาบ้าง ไม่ว่าหนังสืออะไรต้องเอามาใส่ไว้ แน่นอนว่าต้องอ่านได้และมีพลังบวก เ้ามาคัดกรองไป”
“ขอรับ” หม่าตงรับคำ