“พระชายาสิ่งนี้เรียกว่าอะไร มีสรรพคุณอย่างไร” หมอหลวงยื่นสมุนไพรชนิดหนึ่งให้จางเหม่ย ท่ามกลางสายตาแน่นิ่งของต้าเหรินซี จะจับจ้องมองอีกฝ่ายแน่นิ่ง
“สิ่งนี้คือเมล็ดหวางซื่อ มีสรรพคุณบรรเทาอาการปวด แต่ต้องใช้ร่วมกับต้นเง็กเต็ง จะบรรเทาปวดได้ดีกว่า” หมอหลวงพยักหน้า แล้วหันไปหยิบสมุนไพรอีกอันขึ้นมา
“สิ่งนี้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ เรียกว่าอะไร” พระชายาเอื้อมไปหยิบสมุนไพรที่ว่าขึ้นมอง พร้อมดมกลิ่น ก่อนจะยิ้มหวานแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“เรียกว่าตังเซียม หรือตานเซินก็ได้ สิ่งนี้มีสรรพคุณช่วยเจริญอาหาร ช่วยให้นอนหลับดี และลดการวิงเวียน” หมอหลวงหันมองไปยังฮองเฮา แล้วตัดสินใจหยิบสมุนไพรอีกอย่างยื่นให้พระชายา ท่ามกลางความแปลกใจของหลิวเหมย
‘เป็ไปได้ยังไง เหตุใดนางจึงมีความรู้ด้านสมุนไพรได้ล่ะ’ ก่อนเสียงของพระชายา จะเอ่ยขึ้นเมื่อหยิบสมุนไพรอีกอย่างขึ้นพิจารณา
“สมุนไพรชนิดนี้เรียกว่าซวงเกียง มีสรรพคุณ แก้ไข้ แก้ไอ แล้วขับลม ลดอาการจุกเสียด” หมอหลวงพยักหน้า แล้วยื่นยาสมุนไพรชนิดอื่น ๆ ให้จางเหม่ย ไม่ว่าหมอหลวงยื่นสมุนไพรชนิดใดมา พระชายาก็ตอบชื่อได้อย่างถูกต้อง ซ้ำยังรู้สรรพคุณของสมุนไพรนั้น ๆ อย่างถ่องแท้ เป็ข้อพิสูจน์ว่าพระชายามีความรู้ด้านสมุนไพร
หลิวเหมยเห็นดังนั้น นางกลืนน้ำลายอึกใหญ่ แล้วจับจ้องไปยังร่างของพระชายาที่ยืนอยู่ด้านหน้า ก่อนหมอหลวงสิ้นข้อสงสัยแล้วเดินเข้ามาน้อมกายลงต่อหน้าฮ่องเต้
“ทูลฝ่าา ความรู้ด้านสมุนไพรของพระชายา ข้าน้อยขอยอมรับว่าโดดเด่นเป็อย่างมาก นางสามารถบอกสรรพคุณต่าง ๆ ของสมุนไพรได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ไม่เหมือนกับการท่องจำ แต่เป็ความสามารถที่สั่งสมมานาน อีกทั้งยังสามารถผสมยา ได้เหมือนกับที่เคยถวายให้ฮองเฮาเสวย จนพระอาการหายดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เป็ไปไม่ได้!” เสียงของหลิวเหมยพูดขึ้น ก่อนนางจะกล่าวต่อ
“พี่ใหญ่ของข้าไม่เคยมีความรู้ด้านสมุนไพร ข้าเห็นกับตาว่าน้องสามเป็คนยื่นยานั้นให้กับพี่ใหญ่ ไม่มีทางที่ยาจำนวนนั้นจะเป็ฝีมือของนาง!” จางเหม่ยได้ยินดังนั้นจึงยิ้มเล็กน้อย หันใบหน้างดงามไปหาหลิวเหมย
“ยาของน้องสามที่เ้าเห็น ข้าทิ้งไปหมดแล้วล่ะ ข้าใช้เวลาทั้งคืนปรุงยาขึ้นมาใหม่ แล้วนำไปถวายฮองเฮา ขอโทษด้วยที่ข้าไม่ได้บอกเ้าเื่นี้ ทำให้เ้าเข้าใจผิดมาตลอด!” หลิวเหมยอ้าปากค้าง จับจ้องมองเข้าไปั์ตาของอีกฝ่ายแล้วขมวดคิ้วด้วยความผิดหวัง
ร่างของพระชายาหันกลับมายังองค์ชายสามและฮองเฮา ก่อนจะย่อตัวลงแล้วน้อมกายเล็กน้อย
“หม่อมฉันได้ตำแหน่งพระชายามาอย่างถูกต้องทุกอย่างเพคะ เป็เพราะหม่อมฉันเองที่ไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดแก่หลิวเหมย จึงทำให้นางเข้าใจผิด เื่ราวใหญ่โตเช่นนี้หม่อมฉันจะเป็คนอบรมนางเองเพคะ” สายตาเสี้ยวหนึ่งของพระชายาเหลือบมายังหลิวเหมย ให้นางเสียวสันหลังวาบ ก่อนองค์ชายสามจะลุกขึ้นยืน แล้วทอดสายตามองมายังจางเหม่ย เขาไม่พูดสิ่งใด ทว่าสะบัดตัวเดินจากไป ท่ามกลางความเงียบของทุกคน
ภายในตำหนักเฉินกง สองเท้าของหลิวเหมยเดินเข้ามาหาพระชายาช้า ๆ ก่อนจางเหม่ยจะหันกลับมา แล้วฟาดมือลงใบหน้าอีกฝ่ายอย่างแรง ซูเยว่รีบหดศีรษะลงด้วยความใอย่างถึงที่สุด
“เ้าทำเช่นนี้ คิดว่าข้าไม่รู้เหรอ ว่าเ้ากำลังทำอะไร?” หลิวเหมย ยกมือขึ้นจับใบหน้าของตัวเอง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ความดีความชอบนี้ ไม่ใช่ของท่านแต่แรก แต่ท่านก็รับไปอย่างหน้าตาเฉย”
“เมื่อครู่ยังพิสูจน์ไม่ได้อีกงั้นรึ ว่าความดีความชอบนี้ ข้าได้มาอย่างถูกต้อง” คำพูดเ็าของจางเหม่ย ทำให้หลิวเหมยน้ำตาเอ่อขึ้นด้วยความคับแค้นใจ
“พี่ใหญ่ก็รู้ ว่าข้ารักองค์ชายสามมาก่อน แต่เหตุใดจึงคิดแย่งชิง?” พระชายาขมวดคิ้วเล็กน้อย พลันขบคิดในใจเงียบ ๆ
‘ที่แท้ หลิวเหมยก็มีใจให้องค์ชายสามเช่นกัน! เพราะงั้นจึงอยากให้ข้าเปิดโปงความจริง คิดใช้ข้าเป็เครื่องมือแต่แรกสินะ’ จางเหม่ยหันมองไปยังหลิวเหมยด้วยสายตาเ็า แล้วกำมือแน่น เตรียมจะฟาดมือไปที่หน้าของหลิวเหมยอีกครั้ง ก่อนมือขององค์ชายสาม จะเอื้อมมาคว้าได้ทัน
“ตำหนักข้า ไม่มีการตบตีบ่าวไพร่ ไม่มีการทำร้ายร่างกายผู้ใดทั้งสิ้น! การกระทำเช่นนี้เป็การกระทำชั้นต่ำ” สายตาคมจับจ้องไปยังพระชายาไม่วางตา จางเหม่ยค่อย ๆ ดึงมือกลับ แล้วตวัดสายตากลับไปยังหลิวเหมย ก่อนนางจะรีบวิ่งเข้าไปหลบหลังองค์ชายสามในทันที
“องค์ชายสาม ช่วยหม่อมฉันด้วยเพคะ พระชายามักจะใช้วิธีนี้แก้ปัญหาเสมอ กับน้องสามพระชายาก็มักลงโทษนางอย่างไม่มีเหตุผลด้วยเช่นกันเพคะ” ชายหนุ่มเลื่อนสายตาไปยังจางเหม่ย ก่อนร่างสูงตัดสินใจ เดินเข้ามาพระชายาแล้วเอ่ยขึ้นด้วยวาจาสุขุม
“สายตาร้ายกาจเช่นนี้ ยังเหมาะที่จะเป็ชายาของข้าอยู่งั้นเหรอ” จางเหม่ยสบตาองค์ชายสาม แม้ความรักความผูกพันยังมีอยู่มาก แต่การตายของนางอาจพัวพันกับเขา
‘สำหรับเขาแล้ว ข้าต้องสืบหาความจริง ว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้น’ จางเหม่ยสัดส่ายสายตามองอีกฝ่ายด้วยความเ็ป ทว่ายอมลดโทสะลงช้า ๆ
“ไปสงบสติอารมณ์ในห้อง!” สุรเสียงราบเรียบพูดเป็คำสั่ง พลางดึงมือนางกลับเข้าตำหนักไป
“องค์ชายสามเพคะ องค์ชายสาม” เสียงเรียกของหลิวเหมยไม่ทำให้เขาตอบกลับหรือสนใจ
“ท่านกลับจวนไปก่อนเถอะเ้าค่ะ” ซูเยว่รีบเดินมาดักแล้วพูดขึ้น พร้อมผายมือให้อีกฝ่ายออกจากตำหนักไปแต่โดยดี ก่อนเยว่หลิวเหมย จะตัดใจแล้วเดินจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใดออกมา
องค์ชายสามดึงมือจางเหม่ยเข้ามาภายในห้อง แล้วปิดประตูอย่างแ่า พลันจับจ้องมายังอีกฝ่ายราวกับจะกินเืกินเนื้อ ใบหน้าหล่อเหลาทอดมองตรงมาแล้วเอ่ยขึ้น