บนยอดเขาน้ำแข็งนั้นมีเปลวเพลิงแผดเผาอยู่จริงๆ
พลังของเปลวเพลิงนั้นเข้าคู่กันได้ดีกับจิตสังหารอันโหดร้ายของยอดเขาน้ำแข็ง
“ขึ้นไปดูดีกว่า”
เ่ิูใจเต้น กระตุ้นปีกอาชาขาวมุ่งสู่เบื้องฟ้า
เสียวจิ่วกัดรองเท้าเ่ิูแน่นๆ เพื่อบินไปกับเ้านายด้วย
ความกดอากาศรอบด้านน่ากลัวยิ่งยวด ัปราณหิมะลวงตายี่สิบสายพันรอบกายเ่ิูอย่างบ้าคลั่ง เขากระตุ้นกำลังภายในทั้งตัวจนถึงขีดสุด ปีกสีเงินเบ่งบานเป็แสงแจ่มจรัส ใช้เวลายี่สิบอึดใจเต็มถึงมาถึงยอดของยอดเขาหิมะเดียวดายแห่งนี้
เขาร่อนลงบนยอดเขาเบาๆ
“นี่มัน...”
ยอดเขากว้างยาวแค่หนึ่งหมู่ มันวับราวกับกระจก ประหนึ่งมีคนขัดมันอย่างประณีตทีละจุดๆ
ตรงกลางของที่ราบยอดเขานั้นเป็แท่นบูชาผลึกน้ำแข็งเก้าชั้น ราวกับเจดีย์อักขระทอง มีขนาดเล็กมาก ผลึกน้ำแข็งแวววาวโปร่งใส ไม่มีราคีแม้แต่น้อย มีสีสันปลอดโปร่ง มองด้านหนึ่งเห็นทะลุยันอีกด้านหนึ่ง สูงไม่ถึงเมตรหนึ่งดี ส่วนบนสุดของแท่นบูชาผลึกน้ำแข็งนี้มีหินหยกขนาดเท่าหัวแม่มืออยู่ มันปล่อยเปลวเพลิงสีเงินแผดเผาได้ที่
หินหยกนี้ราวกับหยกหยางจื่อ มันสั่นไหวเล็กน้อย ไม่อาจรู้ว่าคืออะไรกันแน่
เปลวเพลิงสีเงิน้าดุจเงินน้ำดีกำลังโลดโผน ะโอย่างไร้สุ้มเสียง พิสดารแปลกประหลาดเป็ที่สุด
เสียงเพรียกร้องหาอย่างสนิทสนมที่เ่ิูรู้สึกถึง ต้องมาจากเปลวเพลิงนี้อย่างแน่นอน
ตอนนี้ยืนอยู่ใกล้มันแล้ว ความรู้สึกชิดเชื้อยิ่งกระจ่างชัดขึ้นไปอีก
ความรู้สึกเช่นนี้ เสมือนญาติสนิทร่วมสายเืเดียวกัน กำลังยืนเรียกชื่อเขาจากในเปลวเพลิงพิสดารไม่มีผิด
เ่ิูย่างกรายเข้าใกล้แท่นบูชาผลึกน้ำแข็งนี้ทีละก้าวๆ
ทว่าแท่นบูชามาปรากฏต่อหน้าต่อมา แน่นอนว่าต้องมีปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ
ในภพไทวะแห่งนี้ แท่นบูชาเป็สัญลักษณ์แสดงถึงพลังเร้นลับอยู่แล้ว
เ่ิูไม่กล้าประมาท
พอเขาสำรวจมันอย่างละเอียด ก็ไม่เห็นจุดพิเศษอะไร
ท้ายสุดเขาจึงมายืนอยู่ตรงหน้าแท่นบูชา มองเปลวไฟผลึกน้ำแข็งกับหยกหยางจื่อ
เด็กหนุ่มยกมือขึ้น อังมือกับเปลวเพลิงห่างไม่ถึงครึ่งเมตรก็ยังไม่รู้สึกถึงเศษเสี้ยวความร้อน
“เปลวไฟสีเงิน ประหลาดดีแท้...ตำนานกล่าวว่าในภพไทวะมีเพียงสิบไฟประหลาดเท่านั้น ที่ไม่เหมือนกับเปลวไฟธรรมดา เป็ไฟที่น่าพิศวงที่สุดของใต้หล้า เช่น ไฟพิสุทธิ์บัวเขียว ไฟมารผลาญภพ ไฟิญญาจิตเทพ ไฟหทัยยอดเซียน ไฟแท้ศักราช เป็เปลวไฟที่หาพบยากเหมือนกันหมด มีอานุภาพพิเศษ พลังของไฟนั้นน่ากลัวยิ่งนัก กระทั่งเทพมารยังหวาดหวั่น เป็หนึ่งในพลังงานที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า”
เ่ิูพิจารณาในใจ
เขาเคยอ่านเจอข้อมูลด้านนี้จากหนังสือของสำนักกวางขาวมาบ้าง ในจำนวนนั้นมีหนังสือเฉพาะทางแนะนำคุณสมบัติพิเศษของอัคคีประหลาดในภพไทวะ รวมทั้งสภาพและถิ่นกำเนิดมันด้วย เ่ิูอ่านรายละเอียดเฉพาะอย่างมาแล้ว เด็กหนุ่มเป็คนที่เห็นเพียงคราเดียวมิลืมเลือน ดังนั้นจึงจดจำได้อย่างแม่นยำ
เปลวไฟสีเงินตรงหน้านี้ ไร้ซึ่งความร้อน มันเริงระบำไม่หยุด ไม่มีเสียง ราวกับเงินน้ำเอกแขวนลอยกลางอากาศ
จากที่เห็น คงไม่พ้นเป็ไฟประหลาด
ทว่าเ่ิูไม่อาจยืนยันได้ว่าเพลิงสีเงินนี้เป็อัคคีประหลาดประเภทไหน
“หรือว่าจะเป็ไฟิญญาจิตเทพ? สีคล้ายกันมาก ความร้อนก็ใกล้เคียง ทว่าในตำราโบราณบันทึกไว้ว่าตอนไฟิญญาแผดเผาจะมีเสียงแปลกๆ ตามมาเสมอ เสมือนเสียงขับขานของิญญาศักดิ์สิทธิ์ สะท้อนก้องในสรวง์ ชวนให้คนต้องกราบกราน...หรือว่าจะเป็ไฟหทัยยอดเซียน? ไม่ใช่น่า ตำราบอกว่า ตอนไฟหทัยยอดเซียนแผดเผา ต้องมีปรากฏการณ์ประหลาดตามมา อากาศธาตุจะมีเืเซียนหยดลงมาจนท่วม...”
เ่ิูระลึกลักษณะพิเศษของสิบไฟประหลาดมาเปรียบเทียบกัน สุดท้ายก็ไม่ได้ข้อสรุป
เขาคิด แล้วหยิบดาบโค้งสลักอักษรเงินด้ามหนึ่งออกมาจากหม้อทองเหลืองยอดเมฆา
ดาบเล่มนี้เป็อาวุธที่นายแห่งหอคอยอาชาขาวรุ่นก่อนเก็บเอาไว้ ฝีมือการสร้างและวัสดุที่ใช้หล่อหลอมล้วนคือชั้นยอด คมมีดตัดขาดไร้ใย นับได้ว่าเป็อาวุธเฉียบคมขั้นสูง
เขาจับดาบโค้งไว้ ยื่นเข้าไปให้คมมีดแตะกับเปลวเพลิงสีเงิน
ต่อมา เ่ิูก็เปลี่ยนสีหน้า
ความเย็นะเืสุดขั้วะเิกระจายออกมาจากเปลวเพลิงนั้น
วินาทีที่ดาบโค้งััเปลวเพลิง คมดาบก็ถูกแช่แข็งจนเป็ผุยผง
ขณะเดียวกัน เปลวเพลิงที่เริงระบำไร้สุ้มเสียงก็พลันแผดร้อง ราวกับัั์ที่ตื่นจากนิทรา ถูกปลุกอย่างฉับพลันและรุนแรง เปลวเพลิงสีเงินลุกลามตามแนวดาบโค้งอย่างบ้าคลั่ง สิ่งที่ตามมาคือปณิธานหทัยอันยิ่งใหญ่ รั่วไหลจากในหยกหยางจื่อขาวราวกับน้ำหลาก ท่วมหลุมศพัหิมะทั้งหลุมจนมิด
เ่ิูผู้อยู่ในเหตุการณ์ ถูกปณิธานหทัยอันมหาศาลและแข็งกล้านั้นเอ่อท่วมจนไม่อาจขยับตัว ราวกับทั้งร่างกลายเป็หิน
“เวรล่ะ...นี่มัน...ปณิธานวรยุทธ์ของสุดยอดผู้แข็งแกร่งวรยุทธ์หรือ?”
เมื่อฝึกวรยุทธ์จนถึงขีดสุด ปณิธานจะเข้าถึงระดับเทพ ผู้แข็งแกร่งขั้นสุดยอดเ่าั้จะประทับปณิธานตัวเองลงไปในของที่ทำขึ้นเป็พิเศษ เก็บรักษาไว้ตลอดกาล แม้พวกเขาจะสิ้นชื่อ แต่ปณิธานจะยังคงอยู่ในโลก หากคนรุ่นหลังอยู่ต่อหน้าปณิธานวรยุทธ์เช่นนี้ ก็ประหนึ่งมดน้อยที่จมอยู่ในมหาสมุทร ไม่อาจต่อต้าน หากคิดเป็ปฏิปักษ์กับปณิธานแม้เพียงเสี้ยว ตัวของเขาจะแหลกเป็ผงธุลี
เ่ิูถูกปณิธานวรยุทธ์ลึกลับนี่หยุดเอาไว้ เขาไม่อาจอ้าปากพูด ไม่อาจกะพริบตา ขาไม่เขยื้อน
ดาบโค้งถูกเพลิงสีเงินลุกลามแผดเผาแช่แข็งเป็ธุลีดิน มันลุกลามสู่มือของเ่ิู
ััเย็นส่งผ่านเข้ามา มือของเ่ิูไร้ความรู้สึกไปแล้ว เปลวเพลิงกลืนกินแขน หัวไหล่ อก ศีรษะของเด็กหนุ่ม...
ท้ายที่สุด เ่ิูก็ถูกปกคลุมไว้ด้วยเปลวเพลิงลึกลับสีเงินทั้งตัว
ร่างกาย หมดสิ้นความรู้สึก
ทว่าจิตใจของเ่ิูยังรู้สึกตัวดีอยู่
เหมือนิญญาหลุดจากร่าง
เ่ิูพบอย่างน่าใว่า ตาของเขายังมองเห็นอยู่
ทว่าการมองเห็นของเขากลับแปลกเหลือเกิน
เขาเห็นยอดเขาน้ำแข็งเดียวดายตระหง่านอยู่ในหลุมศพัหิมะ เขาเห็นแท่นบูชาผลึกน้ำแข็งบนยอดเขานั้น และเห็นว่าด้านข้างแท่นบูชาผลึกน้ำแข็งมีใครบางคนที่ถูกเพลิงสีเงินปกคลุมหมดทั้งตัว ร่างกายเลือนราง เพลิงสีเงินทวีขนาดขึ้นทุกที ท้ายสุดจึงสูงถึงหลายสิบเมตร ราวกับร่างมนุษย์เพลิงั์...
แล้วก็เห็นเสียวจิ่วเห่าอย่างบ้าคลั่ง มันวิ่งวนรอบร่างที่ถูกเพลิงเงินกลืนกินนั้นเหมือนหมาบ้า หลายครั้งที่มันกระโจนเข้ากองไฟ แต่กลับถูกไฟเงินกันออกมา
ไม่รู้เพราะเหตุใด เพลิงสีเงินถึงไม่อาจแผดเผาร่างเ้าตะกละเสียวจิ่วได้เลย!
เ่ิูรู้สึกเหมือนตัวเขาเป็คนนอก ราวกับิญญาศักดิ์สิทธิ์มองโลกมนุษย์จากเบื้องบน คอยดูอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทีเ็า มองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนยอดเขานั้นอย่างเมินเฉย
คนที่ถูกเพลิงแผดเผานั่น มองด้วยตาเหมือนคนที่ถูกแผดเผาเป็ผุยผงเหมือนดาบโค้งคนนั้น เป็ตัวข้าเองนี่ แต่ทำไมข้าถึงมองภาพนั้นจากมุมนี้ได้นะ? หรือว่าข้าตายไปแล้ว ิญญากลับสู่สรวง์ เพราะงั้นถึง...
เ่ิูไม่มีทางเข้าใจเื่ที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้เลย
ตอนนั้นเองที่สุรเสียงหนึ่งดังก้องอยู่ข้างหู
“มนุษย์?”
น้ำเสียงฉงนและแปลกใจ เป็พยางค์อันเก่าแก่สองพยางค์เท่านั้น
เ่ิูนิ่ง ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจความหมายแฝงของสองพยางค์นี้
พยางค์ประเภทนี้ ข้องเกี่ยวกับภาษาของคนในสมัยเทพมาร หลังยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนผ่าน ภาษาเก่าแก่พวกนี้มีเพียงน้อยคนที่พูดกัน มีเพียงอาจารย์กระบวนอักขระที่แตกฉานหนังสือโบราณ หมอยาและเหล่าช่างหลอมทองคำเท่านั้นถึงจะใช้ภาษานี้ได้คล่องแคล่ว ภาษาที่มนุษย์ใช้สื่อสารในภพไทวะได้เปลี่ยนแปลงไปนานแล้ว
เ่ิูเคยศึกษาท่วงทำนองยุคเทพมารอย่างละเอียด จึงต้องใช้เวลาส่วนหนึ่งศึกษาอักษรโบราณและภาษาโบราณ ดังนั้นในด้านนี้ ขอแค่ไม่ให้เป็ภาษาที่ชนกลุ่มน้อยใช้เท่านั้น เขาย่อมเข้าใจมันได้
ยังไม่ทันฟังคำตอบของเ่ิู น้ำเสียงนั้นก็ดังขึ้นอีกครา
“มนุษย์คนหนึ่งจริงๆ ด้วย...เลอะเลือน หรือว่าจะเป็ลิขิตฟ้า?”
เหมือนจะพูดคนเดียวนะ
เ่ิูเข้าใจขึ้นมาบ้าง
สุรเสียงนี้ต้องมาจากปณิธานวรยุทธ์ลึกลับ เพิ่มจำนวนม้วนเอาทั้งหลุมศพัไว้ใต้อาณัติเหมือนมหาสมุทรนั่นแน่ๆ
“หนุ่มน้อย อย่ากลัวไป...” สุรเสียงผ่านโลกมามากดังก้องขึ้นอีกครา ยังคงเป็ภาษายุคเทพมาร่หลังที่ใกล้จะสาบสูญไปจากภพไทวะแล้วอยู่ เ่ิูฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจทั้งหมด แต่ก็พอคาดเดาได้ส่วนมาก เสียงนั้นยังดังต่อไป พร้อมกับคำไถ่ถาม “ตอนนี้ปีศักราชสามจักรพรรดิที่เท่าไรแล้วหรือ?”
ศักราชสามจักรพรรดิ?
เ่ิูไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
ยุคเทพมารตอนหลังนั้น เผ่ามนุษย์มีสามจักรพรรดิผงาดขึ้นมา ประคองเผ่ามนุษย์ไม่ให้สูญสิ้นไปในโลกอันโกลาหล ภายหลังจึงมีห้าราชันต่อสู้่ชิง เกรียงไกรในใต้หล้า เผ่ามนุษย์ยินดีเป็อย่างมาก จากนั้นเมื่อสิ้นห้าราชัน เผ่ามนุษย์จึงแผ่ขยายและสืบเผ่าพันธุ์ต่อมาหลายศักราช จวบจนปัจจุบันก็ผ่านสมัยสามจักรพรรดิห้าราชันมานานมากแล้ว ให้คนหวนถึงยุคสมัยนั้น ราวกับปุถุชนเอ่ยภาษาเทพ เสียงนี้ถามว่าศักราชสามจักรพรรดิที่เท่าไร หรือว่าเขาจะเป็คนสมัยศักราชสามจักรพรรดิ?
สมัยสามจักรพรรดิห่างจากปัจจุบันมาเป็ล้านปีแล้วนะ!
เมื่อไม่ได้คำตอบจากเ่ิู เสียงนั่นก็เงียบลงไปพักหนึ่ง เหมือนล่วงรู้บางอย่าง เขาถามอีก “หรือว่าสามจักรพรรดิตแล้ว? ตอนนี้สมัยไหนแล้วหรือ?”
เ่ิูระงับความตระหนกของตัวเองแล้วจึงตอบ “ผู้าุโ สมัยศักราชสามจักรพรรดินั้น เป็เื่เมื่อหกสิบเจ็ดล้านปีที่แล้ว ตอนนี้สมัยจักรพรรดิมนุษย์ ที่นี่คือที่ราบทุ่งน้ำแข็งทลายหิมะในภพไทวะ...” เขาใช้คำศัพท์ง่ายๆ อธิบายเื่ความเปลี่ยนแปลงของวันเวลาให้ฟังรอบหนึ่ง ภาษายุคเทพมารตอนปลายช่างตะกุกตะกัก เ่ิูพูดยังพูดลำบาก เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายฟังออกหรือไม่
เงียบไปแสนนาน
ตามมาด้วยเสียงทอดถอนใจยาวๆ
เสียงถอนหายใจแฝงความรู้สึกไว้มากมายเหลือเกิน
“พลังเ้าต่ำต้อยถึงเพียงนี้ ทำไมมาที่นี่ได้เล่า” เสียงนั้นเหมือนพูดกับตัวเอง จากนั้นปณิธานวรยุทธ์อันแกร่งกล้าก็เคลื่อนที่และลุกลามออกไปไกล ราวกับว่ารู้ทุกอย่างรอบด้าน สามสี่อึดใจต่อมา เขาเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา น้ำเสียงถึงได้แฝงความตระหนกเป็อย่างมาก “ฟ้าดินนี้ มีเื่เช่นนี้ด้วยหรือ...าาน้ำแข็งตกต่ำเพียงนี้ ผู้ปกปักตายจากหมดสิ้น เกิดอะไรกันขึ้น ไฉนร่างของหนุ่มน้อยชาวมนุษย์ถึงมีชีพจรัเทพอยู่ได้...”
พยางค์อันเข้าใจยาก เ่ิูฟังออกบ้างเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้กำลังปลงตกกับความเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน
ทว่าเ่ิูกลับร้อนใจตัวเขาที่อยู่ในตอนนี้มากกว่า ในครรลองสายตา เปลือกนอกคือร่างกายของเขาถูกไฟสีเงินกลืนกินจนหมด สามารถมองเห็นเืเนื้อและกระดูกวับวาวเปล่งแสงบางๆ ราวกับกลายเป็น้ำแข็ง กลายเป็น้ำแข็งชัดๆ เหมือนาาัหิมะที่ตายมาแล้วหลายหมื่นปี ร่างกายกลายเป็น้ำแข็งปริศนา น่าพิศวงเหลือเกิน
ราวกับล่วงรู้จิตใจอันร้อนรนของเ่ิู เสียงนั้นดังขึ้นอีกครา
“อย่าร้อนใจไป คนหนุ่มเอ๋ย เ้าถูกเพลิงน้ำแข็งยอดยุทธ์กลืนกิน คือโชคชะตาของเ้า เ้ามีชีพจรัเทพอยู่ในร่าง เพราะเหตุนั้นเ้าถึงมาที่นี่ได้ เห็นข้าได้...ลิขิตฟ้ามาถึงแล้ว เพลิงน้ำแข็งยอดยุทธ์ไม่มีทางทำร้ายเ้า...นี่คือปรารถนาแห่งฟ้าดิน...ลิขิตฟ้ามาถึงแล้ว...คนหนุ่มเอ๋ย ข้าขอมอบสัจธรรมัฟ้าหนึ่งในสิบยอดสัจธรรมวรยุทธ์ เ้าช่วยรับเพลิงน้ำแข็งยอดยุทธ์เถิด...”
สุรเสียงเงียบลง
ปณิธานอันแรงกล้าราวกับกระบี่คมกริบที่ทิ่มแทงประสาทรับรู้ของเ่ิู