ด้านนอกของหอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนน
ผู้ฝึกตนมากมายต่างมารวมตัวกัน ถนนทั้งสายถูกฝูงชนห้อมล้อมจนดูแออัด
“พวกหอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้าช่างไร้ยางอายนัก ร้านตัวเองก็ปิดไปแล้ว ยังจะมายุ่งกับหอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนนของพวกเราอีก”
“คุณชายอานคนนั้น ก็คือหลานชายคนโตของท่านอ๋องลู่หยาง เขาเป็คนร้องขอให้ท่านอ๋องส่งทหารมา”
“ไร้ยางอายเกินไปแล้ว! ทำเช่นนี้ ช่างไม่ไว้หน้าท่านอ๋องเลย!”
“เพราะไม่สามารถเอาชนะกู่ไห่ในด้านการค้าได้ จึงให้พวกขุนนางมายึดไปอย่างนั้นหรือ? นั่นมิใช่วิธีที่พวกแพ้แล้วพาลเช่นพวกเขา มักจะทำกันหรืออย่างไร?”
“ไม่นานมานี้ ท่านกู่เพิ่งจะช่วยพวกเราไว้ เช่นนี้แล้ว จะให้ข้าทนดูกิจการของเขาถูกยึดไปได้อย่างไร?”
“ท่านอ๋อง ท่านรับใช้คนพวกนี้อย่างนั้นหรือ!”
ตอนนี้ ผู้ฝึกตนมากมายต่างร้องโวยวายด้วยความโกรธ
บนถนน มีกองกำลังทหารจำนวนมาก เข้าไปล้อมหอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนนเอาไว้ ท่ามกลางสายตาของเหล่าผู้ฝึกตน ที่กำลังจดจ้องด้วยความข้องใจ
ณ ประตูของหอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนน
ศิษย์ของหออี้ผินจำนวนมากต่างแสดงท่าทีร้อนรน พากันคว้าคันธนูและลูกธนูขึ้น เตรียมรับมือกับกลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชาของคุณชายอาน ที่กำลังจะบุกหอกู่ฉินในไม่ช้า
แต่เหล่าขุนนางของกู่ไห่กับสงบนิ่ง หาได้หวาดหวั่นใดๆ ไม่
เหล่าขุนนางที่มีพลังเพียงระดับก่อกำเนิด บงการกลุ่มศิษย์สังกัดไม้ให้ช่วยกันปิดกั้นประตู และไม่อนุญาตให้ใครเข้าออกในเวลานี้ ก่อนมองไปยังอดีตหอกู่ฉินที่เคยเป็อันดับหนึ่งของเมือง ด้วยสายตาเ็า
หอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้าได้ปิดตัวลง ด้วยสภาพที่ถูกบุกรุก ทำลายจนเสียหายหนัก แต่หลายวันมานี้ ก็ทำความสะอาดไปแล้ว
ที่บริเวณหน้าประตูหอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้า มีกองกำลังทหารประจำการรออยู่
บริเวณกึ่งกลางกองกำลัง จัดวางโต๊ะและเก้าอี้สองตัว
หนึ่งในนั้น มีคุณชายอานกำลังนั่งไขว่ห้าง พลางยกแก้วชาของตนขึ้นดื่มอย่างสบายใจ เื้ัของเขา คือชายแบกดาบทองและเจียงเทียนอี้
คุณชายอานมองดูศิษย์หออี้ผิน ที่ตอนนี้มีท่าทีกระวนกระวายใจเป็อย่างมาก ด้วยสายตาเยียบเย็น
ข้างๆ กันนั้น บนเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง มีชายร่างกำยำนั่งอยู่ ดวงตาอันเย็นะเืนั้น กำลังกวาดมองไปโดยรอบ
“ไสหัวไปให้พ้น! ที่ดินตรงนี้รวมถึงหอกู่ฉิน ล้วนเป็ของพวกเรา!” ผู้ใต้บังคับบัญชาของคุณชายอานประกาศก้อง
คนใต้อาณัติกลุ่มนี้หาใช่ใครอื่น แต่คือนักธนูสามพันคน ที่เคยเผชิญหน้ากับกู่ไห่ ตอนที่เขาก้าวเข้าสู่หอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้าเมื่อครานั้น
และเวลานี้ นักธนูสามพันคนกำลังขับไล่ศิษย์ของหออี้ผินให้ล่าถอยออกไป ทว่าพวกเขาหาได้ยอมไม่ ยังคงปักหลักอยู่ด้านหน้าหอกู่ฉิน พร้อมกับง้างคันธนูขึ้น โจมตีไปยังฝ่ายตรงข้าม เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของคุณชายอานบุกเข้ามา
การทะเลาะวิวาทระหว่างทั้งสองฝ่ายได้เริ่มขึ้น โดยที่ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งได้
เหล่าขุนนางที่ยืนอยู่ใกล้ๆ มองสถานการณ์ตรงหน้าเงียบๆ
ยามนี้ หอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนนกำลังวุ่นวายอย่างหนัก แต่คุณชายอานกลับแสดงทีท่าสบายใจ มิได้รีบร้อนที่จะเข้าโจมตีอีกฝ่ายแต่อย่างใด เพราะเขากำลังรอกู่ไห่อยู่
...
บนอาคารขนาดเล็กไม่ไกลนัก
ซือหม่าฉางคงมองดูเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นอยู่ห่างๆ ก่อนที่มุมปากจะยกยิ้ม
“คุณชายอาน? ช่างโอหังเสียจริง! หวังว่าการเดินทางไปยังเมืองอิ่งโจวในคราวนี้ จะไม่มีเื่ให้วุ่นวายใจ!” ซือหม่าฉางคงกล่าว พลางลูบกู่ฉินของตน
“ท่านอ๋อง… ท่านอ๋องเหอซื่อคังขึ้นตรงกับคุณชายอาน หรือท่านอ๋องลู่หยางกันแน่?” ผู้ใต้บังคับบัญชาขมวดคิ้วเล็กน้อย
ซือหม่าฉางคงหรี่ตาลง “เหอซื่อคัง? ท่านอ๋องทุกคนในแผ่นดินเสินโจว ล้วนถูกแต่งตั้งจากจักรพรรดิ์แห่งต้าเฉียน หากเขากล้าขึ้นตรงต่อคนอื่นเช่นนี้ อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอด!”
“ขอรับ! แต่ครั้งนี้ถือว่าเป็เื่ใหญ่นัก เกรงว่าทั้งหอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนนและกู่ไห่ คงจะไม่อาจต้านทานการรุกรานได้กระมัง”
“ก็ไม่แน่!” ซือหม่าฉางคงยิ้มน้อยๆ
…
ไกลออกไป ยังคงมีการกระทบกระทั่งกันระหว่างสองกองกำลัง
“ท่านกู่มาแล้ว หลีกทางหน่อย!”
“ท่านกู่ เพียงแค่ท่านเอ่ยปาก พวกเราก็จะช่วยทวงความยุติธรรม!”
“ท่านกู่ ระวังคนร้ายกลุ่มนี้ด้วย!”
เสียงอึกทึกครึกโครมดังมาจากทั่วสารทิศ เพราะความดีที่เขาได้ทำเอาไว้ จึงทำให้เหล่าผู้ฝึกตนต่างยืนหยัดเคียงข้างกู่ไห่ ผู้คนจากทั่วทุกบริเวณ ต่างด่าทอฝ่ายตรงข้ามของเขาอย่างโกรธแค้น
“ฮึ่ม!” คุณชายอานสบถเสียงเย็น
ท่านอ๋องแห่งเมืองอิ๋นเยวี่ย ยังคงนั่งอย่างสงบ พลางยกถ้วยน้ำชาของตนขึ้นดื่ม
แม้ฝูงชนจะยืนออกันเต็มพื้นที่ แต่เมื่อรถลากของกู่ไห่มาถึง ผู้คนต่างก็พร้อมใจกันหลีกออกเป็สองฝั่งอย่างรวดเร็ว เพื่อเปิดทางให้เขา
เมื่อมาถึง ทุกคนก็ทยอยลงจากรถลากนกกระเรียน์
กู่ไห่กำลังจะจ่ายเงิน
“ไม่ต้องขอรับท่านกู่ ท่านกำลังลำบาก แล้วข้าจะรับเงินได้อย่างไร!” เ้าของรถลากนกกระเรียนปฏิเสธทันที
กู่ไห่ยกยิ้ม ก่อนจะโยนหินิญญาระดับสูงเข้าไปในรถของเขา
“เฮ้อ! ท่านกู่ อย่าทำเช่นนี้ ข้า… ข้า…” เ้าของรถลากนกกระเรียนอึกอัก อย่างไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร
แต่กู่ไห่และพวกก็เข้าไปข้างในเสียแล้ว
เมื่อเขามาถึง เสียงโวยวายของเหล่าผู้ฝึกตนพลันเงียบลง
การต่อสู้ที่หน้าหอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนนนั้น ก็ยุติลงเช่นกัน
“ท่านถังจู่ ท่านหัวหน้า ท่านหัวหน้าสังกัดวารีกู่!” เหล่าศิษย์แห่งหออี้ผินทักทายด้วยความนอบน้อม
เหล่าขุนนางแคว้นต้าฮั่น ก็คารวะกู่ไห่อย่างเคารพเช่นกัน
ชายหนุ่มรู้สึกโล่งใจ เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์มิได้เลวร้ายอย่างที่คิด พลางพยักหน้าตอบกลับทุกคน
ไม่ไกลกันนัก คุณชายอานยกยิ้มเย้ยหยัน ขณะนั่งเก้าอี้ด้วยท่าทีสบายใจ ราวกับกำลังรออีกฝ่ายอยู่
ท่านอ๋องเหอซื่อคังที่อยู่ข้างๆ กัน ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
“ข้าน้อย เหอซื่อคัง คารวะท่านถังจู่แห่งหออี้ผิน!” เขามองไปยังหลงหว่านชิง พร้อมกล่าวเสียงต่ำ
“ท่านลุงเหอ ท่านกำลังทำอะไร? เหตุใดจึงต้องนำกำลังมาปิดล้อมกิจการของหออี้ผิน?” หลงหว่านชิงถาม พลางเลิกคิ้วอย่างกังขา
เหอซื่อคังยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วจึงเอ่ย “ไม่ใช่ขอรับ! ครั้งนี้ ข้าเพียงแต่ได้รับเชิญจากคุณชายอาน มาเป็พยานในคดีข้อพิพาททางการค้า!”
“ข้อพิพาททางการค้า?” กู่ไห่ขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นจึงเดินไปข้างหน้า
“ท่านผู้นี้คือท่านกู่หรือ? ผู้กอบกู้เมืองของข้า ด้วยการบรรเลงเพลงเปย่ ข้ายังมิได้ขอบคุณท่านอย่างเป็ทางการเลย... ช่างเป็วีรบุรุษที่กล้าหาญยิ่ง!” เหอซื่อคังมองกู่ไห่ก่อนจะยกยิ้ม
“วีรบุรุษ? ข้ามิกล้า แต่เกรงว่าจะไม่กระจ่างแจ้งถึงสิ่งที่ท่านอ๋องเพิ่งกล่าวไป ร้านของข้ามีข้อพิพาททางการค้าอะไรกัน?” กู่ไห่ถามอย่างงุนงง
น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยยังคงสุภาพถ่อมตน กู่ไห่แสดงสีหน้าเรียบเฉย มองไปยังท่านอ๋องด้วยความไม่เข้าใจ พร้อมเอ่ยถาม
“ข้อพิพาททางการค้า? ฮ่าๆๆๆๆๆ!” คุณชายอานทวนคำ แล้วลุกขึ้นเดินมาข้างหน้า โดยมีเหล่าลูกสมุนตามหลังมาติดๆ
“หืม?” กู่ไห่หรี่ตาอย่างนึกสงสัย
“คุณชายอาน หอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้าเป็ของท่าน แล้วอย่างไรเล่า? หรือว่า ตอนนี้เมืองอิ๋นเยวี่ย ดินแดนของราชวงศ์์ต้าเฉียน ก็กลายเป็ของท่านไปด้วยอย่างนั้นหรือ?” กู่ไห่พูด พลางยิ้มเยาะ ก่อนเหลือบมองคุณชายอานนิ่งๆ
ใต้หล้านี้คือแผ่นดินของจักรพรรดิ! คือดินแดนของราชวงศ์์ต้าเฉียน เป็ของจักรพรรดิ์แห่งต้าเฉียน ใครจะกล้าบอกว่านี่เป็ของตนต่อหน้าผู้คน? แม้แต่ท่านอ๋องลู่หยาง ก็ยังไม่อาจกล่าวเช่นนั้น คุณชายอานก็ย่อมไม่กล้าเอ่ยปากแบบนี้ ในที่สาธารณะเช่นกัน
“ฮึ่ม! กู่ไห่ ข้าไม่มีเวลาจะมาเสวนากับพวกเ้าหรอก แต่ตอนนี้เ้ากำลังที่ดินของข้า ข้าขอสั่งให้เ้าไสหัวไปเดี๋ยวนี้ หอกู่ฉินของเ้าเป็ของข้า!” คุณชายอานพูดอย่างเยือกเย็น
“หืม? ของท่านอย่างนั้นหรือ? คุณชายอาน ท่านไม่ควรจะพูดจาไร้สาระเช่นนี้!” กู่ไห่กล่าวด้วยความฉงน
“ไร้สาระหรือ? เ้าซื้อที่นี่จากเขาใช่หรือไม่?” นายน้อยอานชี้ไปยังคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก ชายชราที่ตัวสั่นเทาเดินออกมาข้างหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะมองกู่ไห่
เหล่าขุนนางาุโรีบโต้แย้งทันที “นายท่าน ตอนที่เราซื้อร้านค้านี้ เราก็ซื้อจากชายชราผู้นี้ และไปที่สำนักงานของทางการเพื่อลงทะเบียน ทั้งยังจ่ายค่าธรรมเนียมในการดำเนินเอกสารทั้งหมด ตอนนี้ หลักฐานต่างๆ ก็ยังอยู่ในมือของเรา”
กู่ไห่ขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางมองไปยังท่านอ๋องเหอซื่อคัง
“เลิกมองท่านอ๋องได้แล้ว เอกสารการโอนของพวกเ้า มันเป็ของปลอม!” เสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลังของคุณชายอาน
แล้วชายวัยกลางคนร่างอ้วนผู้หนึ่ง ก็ค่อยๆ เดินออกมา หน้าตาของเขาคล้ายคลึงกับเจียงเทียนอี้ เถ้าแก่ของหอกู่ฉินอันดับหนึ่งในใต้หล้าไม่มีผิด
“หืม? ท่านเป็ใครกัน?” กู่ไห่ถามกลับด้วยความเคลือบแคลงใจ
“ข้าคือเถ้าแก่หอหมากล้อมอันดับหนึ่งแห่งเมืองอิ๋นเยวี่ย เจียงเทียนอี้เป็พี่ชายของข้า ส่วนข้าชื่อเจียงเทียนฉี” ชายอ้วนวัยกลางคนแนะนำตัว พร้อมรอยยิ้ม
“หอหมากล้อมอันดับหนึ่งแห่งเมืองอิ๋นเยวี่ย... เถ้าแก่? ที่แท้ก็เป็เถ้าแก่เจียง... ทำไมหรือ? หอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนนของข้า เกี่ยวข้องอะไรกับท่าน?” กู่ไห่ถามด้วยความพิศวง
“แน่นอน! เพราะตาเฒ่าผู้นี้เคยขายร้านนี้ให้กับข้า และได้ทำการลงทะเบียนกับทางการไว้แล้ว ข้าจ่ายค่าโอนและค่าดำเนินเอกสารต่างๆ อย่างเสร็จสิ้นสมบูรณ์ ดังนั้น หอกู่ฉินของเ้าจึงเป็ของข้า เพราะข้าใช้เงินซื้อมันมาก่อนแล้ว” เจียงเทียนฉีหัวเราะเสียงดังลั่น
ผู้ฝึกตนที่ได้ยินคำพูดของเจียงเทียนฉี ต่างก็ตกตะลึงเล็กน้อย
“อะไรกัน? ขายสองครั้ง? ตาแก่นั่นขายร้านซ้ำซ้อนหรือ?”
“เป็ไปไม่ได้! บ้านหนึ่งหลังจะขายสองครั้งได้อย่างไร? เอกสารการลงทะเบียนนั่น เป็ของปลอมใช่หรือไม่?”
“คุณชายอาน? เขาซื้อร้านและทำเอกสารปลอมขึ้นมา เพื่อแย่งชิงหอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนนอย่างนั้นหรือ?”
“ไร้ยางอายเกินไปแล้ว!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้คนรอบด้านต่างก็สบถด่าทอ
“ท่านลุงเหอ นี่มันเื่อะไรกัน? หนึ่งห้องขายสองครั้ง? เป็ไปได้อย่างไร ในเมื่อตอนที่เราไปลงทะเบียนเพื่อจ่ายเงิน กลับไม่มีใครเคยเอ่ยออกมา!” หลงหว่านชิงทักท้วง พร้อมขมวดคิ้วแน่น
เหอซื่อคังยิ้มเจื่อนๆ กล่าวว่า “เป็ความจริง เถ้าแก่เจียงซื้อที่นี่อยู่ก่อนแล้ว พวกเ้ามาซื้อซ้ำซ้อน! ตาเฒ่าผู้นี้ขายบ้านสองครั้ง ต้องลงโทษสถานหนัก! ที่ข้ามาในครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะจัดการทุกอย่างด้วยความยุติธรรม!”
หนึ่งห้องขายสองครั้ง?
กู่ไห่มองคุณชายอาน ก่อนยกยิ้มบางๆ “คุณชายอาน ท่านพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อแย่งชิงหอกู่ฉินของข้าเชียวหรือ? แต่รู้หรือไม่ ว่าที่เ้าจะได้ไป ก็แค่ที่ดินผืนนี้เท่านั้น
ขอเพียงป้ายหอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนนยังอยู่ ไม่ว่าจะเป็ที่ไหน ข้าก็ยังคงเปิดใหม่ได้ทุกเมื่อ”
แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มบางๆ เดินเข้ามาใกล้ พร้อมกระซิบแ่เบา “ข้ารู้… แต่ไม่สน! วันนี้เ้าจะต้องย้ายออก... เปิดใหม่เช่นนั้นหรือ? ก็คงต้องทำการตกแต่งไม่น้อย… ฮ่าๆๆ!“
น้ำเสียงของคุณชายอานเบามาก จนกระทั่งเหล่าผู้ฝึกตนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็ยังไม่อาจจับความได้
มีเพียงหลงหว่านชิงที่ได้ยินชัดเจน ดวงตาของนางเบิกกว้าง พลางเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว “เ้าลู่อาน!...”
กู่ไห่เอื้อมมือไปรั้งหญิงสาวไว้ เป็เชิงปรามอีกฝ่ายให้ยั้งโทสะ แล้วจึงหันไปมองท่านอ๋องครู่หนึ่ง
“ท่านอ๋องเหอ ท่านมาเพื่อดำรงความยุติธรรมหรือ? ข้ารู้สึกมึนงงยิ่งนัก ว่าความยุติธรรมที่ท่านเอ่ยถึงนั้น มันคืออะไร?” กู่ไห่ถามเสียงต่ำ
“ตามกฎหมายของเมืองเรา ในเมื่อร้านค้านี้ถูกขายให้กับเถ้าแก่เจียงก่อน ดังนั้นท่านจึงต้องมอบร้านนี้คืนให้เขา และคนที่ขายร้านซ้ำซ้อน ก็ต้องคืนเงินค่าร้านให้กับท่าน” เหอซื่อคังพูดอย่างเคร่งขรึม
คืนเงินค่าร้าน? ปิดกิจการ?
สีหน้าของกู่ไห่ดูจะไม่ชอบใจเท่าใดนัก แต่คุณชายอานและเถ้าแก่เจียง กลับยกยิ้มอย่างสาแก่ใจ
คนกลุ่มหนึ่งจ้องเขม็งไปยังกองทัพของท่านอ๋อง ที่มาเพื่อขับไล่หอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนนด้วยความไม่พึงใจ
“แน่นอน! ข้ายังให้ทางเลือกแก่เ้าอีกอย่างหนึ่ง” คุณชายอานกล่าว พลางยิ้มเยาะ
“หืม?” กู่ไห่ขมวดคิ้วสงสัย
เถ้าแก่เจียงเทียนฉีเดินออกมา ก่อนเอ่ยว่า “ข้าเป็ผู้ถือสัญญาซื้อขายร้านค้านี้ พร้อมเอกสารพิธีการทั้งหมด หากท่านกู่ไม่รังเกียจ ข้าสามารถเดิมพันได้!”
“การเดิมพันอะไร?”
“หากเ้าชนะ ข้าจะไม่เอาร้านคืน และมอบสัญญาซื้อขายให้กับเ้า แต่ถ้าเ้าแพ้ ก็ต้องรีบออกจากเมืองอิ๋นเยวี่ยทันที และห้ามกลับมาอีก เช่นนี้เป็อย่างไร?” เถ้าแก่เจียงเทียนฉีหัวเราะอย่างเ็า
“หากชนะ ข้าก็สามารถเปิดร้านต่อไปได้ หากเ้าชนะ ข้าต้องออกจากเมืองอิ๋นเยวี่ยอย่างนั้นหรือ?” กู่ไห่ขมวดคิ้ว ขณะถามเสียงเรียบ
“กู่ไห่ เ้าอย่าไปฟังพวกเขา ไม่เคยเห็นใครหน้าด้านเช่นนี้มาก่อน ข้าจะรีบเขียนจดหมายถึงผู้ตรวจการราชสำนักทันที ให้พวกเขามาตรวจสอบเมืองอิ๋นเยวี่ย ว่ายังคงเป็แผ่นดินของจักรพรรดิ์อยู่หรือไม่? อีกทั้งกองทัพของเมืองแห่งนี้ เป็กองกำลังของต้าเฉียน หรือของท่านอ๋องลู่หยางกันแน่!” หลงหว่านชิงกล่าวอย่างโกรธเคือง
ใบหน้าของเหอซื่อคังถอดสี
แต่คุณชายอานกลับเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน เพราะเป็เื่ยากมาก ที่จะปลอมแปลงเอกสารสัญญาซื้อขายเช่นนี้
กู่ไห่พยายามรวบรวมสติ เพราะหากก้าวพลาดแม้แต่น้อย หอกู่ฉินอันดับหนึ่งของถนนจะต้องถูกทำลายเป็แน่
“แล้วเ้าจะพนันอะไร?” กู่ไห่ถามเสียงต่ำ
“หมากล้อม!” เจียงเทียนฉีตอบ พลางหัวเราะเสียงดังลั่น
“มิใช่กู่ฉินหรือ?” กู่ไห่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น
หลงหว่านชิงพลันชะงักงัน... ได้ยินไม่ผิดใช่หรือไม่? เจียงเทียนฉีพูดถึงการเดิมพันอะไรนะ?
“มิใช่กู่ฉิน แต่เป็หมาก... พนันด้วยการเดินหมาก!” เจียงเทียนฉีย้ำอีกครั้ง
“หมากล้อม?” กู่ไห่รู้สึกพิศวงเล็กน้อย
หลงหว่านชิงก็ตะลึงงันไปเช่นกัน
“ใช่แล้ว! ฮ่าๆๆๆ! เ้าคิดว่าข้ายังจะประลองกู่ฉินกับเ้าอีกหรือ? นั่นคือสิ่งที่เ้าถนัด! มีเพียงคนโง่เท่านั้น ที่จะประลองกู่ฉินกับเ้า หากเ้า้าที่จะอยู่ในเมืองอิ๋นเยวี่ยต่อไป ก็ต้องเอาชนะการเดินหมากของข้าให้ได้!” เจียงเทียนฉีกล่าวอย่างถือตน
หลงหว่านชิงไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนได้ยินไปเมื่อสักครู่ จึงอ้าปากค้าง มองคุณชายอานและพวกด้วยความประหลาดใจ
บัดนี้ ผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนต่างมองไปยังกู่ไห่ เห็นได้ถึงชัยชนะที่อีกฝ่ายกำลังจะได้กุมมันในไม่ช้า
เมื่อเพลงเปย่ ถูกเผยแพร่ออกไป ผู้คนต่างคิดว่ากู่ไห่เป็ปรมาจารย์กู่ฉิน ผู้ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้ ดังนั้นหากคิดจะเอาชนะเขา ย่อมไม่อาจต่อสู้ด้วยกู่ฉิน
จึงท้าประลองหมากล้อมแทน!
ปกติแล้ว ผู้ฝึกตนโดยส่วนใหญ่จะเชี่ยวชาญกู่ฉิน หมากล้อม เขียนอักษร หรือภาพวาด เพียงด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น
ส่วนกู่ไห่ที่ดูอายุยังน้อย ทั้งยังเชี่ยวชาญการเล่นกางฉินเช่นนี้ น่าจะมีทักษะหมากล้อมไม่ถึงขั้น
ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะประลองหมากกับกู่ไห่
“ท่าน้าที่จะเล่นหมากล้อมกับข้า? โอ้! ข้าลืมไป ว่าท่านคือเถ้าแก่ใหญ่ของหอหมากล้อมอันดับหนึ่งแห่งเมืองอิ๋นเยวี่ย นี่ก็เป็กิจการของท่านอ๋องลู่หยางหรือ?” กู่ไห่ถาม พร้อมมองเจียงเทียนฉีด้วยความสงสัย
“ใช่แล้ว! การเล่นหมากล้อมและกู่ฉิน ต่างกันดั่งผืนฟ้าและแผ่นดิน ในเมืองอิ๋นเยวี่ย ผู้ฝึกตนโดยส่วนใหญ่จะฝึกกู่ฉิน แต่ก็ยังมีผู้ฝึกหมากล้อมเช่นกัน
ข้า เจียงเทียนฉี ในเมืองอิ๋นเยวี่ยนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจสู้ข้าได้ เซียนหมากล้อมที่มีชื่อเสียง ข้าก็เคยเห็นมาหมดแล้ว ไม่นานมานี้ คุณชายเก้าได้มาแสดงกลหมากในตำหนัก์ต้าเฉียน ข้าโชคดีมากที่ได้เห็นคุณชายเก้า ท่านรู้หรือไม่? นั่นคือหนึ่งในเก้าคุณชายที่ได้รับการสืบทอดมรดกจากท่านผู้เฒ่าเชียวนะ!” เจียงเทียนฉียิ้มเยาะ
“หา? คุณชายเก้า? ท่านเคยเห็นกลหมากของคุณชายเก้าด้วยหรือ? ” กู่ไห่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ฮึ่ม! พูดให้ถูกก็คือ เป็กลหมากที่ท่านผู้เฒ่าทิ้งเอาไว้ กลหมากยี่สิบแปดเส้น!” เจียงเทียนฉีกล่าว
“ท่านเคยเห็นกลหมากยี่สิบแปดเส้นด้วยหรือ?” กู่ไห่เบิกตากว้างอย่างใเล็กน้อย เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลงหว่านชิงก็ตื่นตระหนกเช่นกัน
“ใช่แล้ว! ส่วนกลหมากยี่สิบเก้าเส้นนั้น ข้ายังไม่เคยเห็น แต่ข้าก็ศึกษากลหมากยี่สิบแปดเส้นมานานถึงสามวันสามคืน แม้ไม่อาจแก้หมากได้ แต่ข้าก็สามารถเข้าใจมันได้เจ็ดถึงแปดส่วน... ฮึ่ม! กู่ไห่ เ้ายังมีโอกาสนะ สนใจจะเดิมพันกับข้าหรือไม่?” เจียงเทียนฉีพูดอย่างทะนงตน
กู่ไห่และหลงหว่านชิงต่างตะลึงลาน ไม่รู้จะเอ่ยอย่างไรดี?
คุณชายอานยิ้มเยาะทันที ก่อนเอ่ย “หากไม่เดิมพัน เ้าก็จงพาคนออกจากหอกู่ฉิน แล้วไปเปิดร้านใหม่เสีย เมื่อถึงตอนนั้น ข้าจะมาแสดงความยินดีอีกครั้ง แต่หากเ้าชนะเจียงเทียนฉี พวกเราจะยกร้านนี้ให้ แต่ถ้าแพ้ ก็จงไสหัวไปจากเมืองอิ๋นเยวี่ย... เ้าเลือกเองเถอะ!”
“ใช่แล้ว! ั้แ่ที่ข้าได้เห็นกลหมากยี่สิบแปดเส้น ก็เข้าใจไปแปดส่วน... กู่ไห่ เ้ากล้าเดิมพันกับข้าหรือไม่?” เจียงเทียนฉียิ้มเยาะ
ทั้งกู่ไห่และหลงหว่านชิงต่างพากันนิ่งอึ้ง ถึงกับไร้คำพูดไปแล้ว