ขบวนรถม้ามาถึงเมืองหลวง ก็เป็เวลาห้าวันให้หลังมาแล้ว
กำแพงเมืองยิ่งใหญ่ตั้งสูงตรงตระหง่านมองเห็นได้ั้แ่ระยะไกล
เจินจูกับผิงอันคนบ้านนอกสองคน ชะโงกศีรษะออกมามองด้วยความตื่นเต้นและแปลกใหม่
เกวียนรถม้าเดินทางไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ประตูเมืองสามบานใหญ่ที่ไกลออกไปเปิดออกกว้าง ขบวนรถม้าและคนเดินถนนเข้าออกกันอย่างสบายใจ
เจินจูดึงม่านรถให้เปิดออก สังเกตสภาพการณ์โดยรอบอย่างสนใจใคร่รู้
“แค่ก!”
หลัวจิ่งขี่ม้าเข้ามาถึงหน้าต่างรถม้าของนาง แสร้งทำกระแอมไอหนึ่งที บอกใบ้ในทำนองว่าการฟุบอยู่ขอบหน้าต่างตามอำเภอใจเช่นนี้ ไม่เหมาะสมกับการเป็กุลสตรีที่มาจากตระกูลใหญ่มีฐานะ
เจินจูมองเขาปราดหนึ่ง หันไปแลบลิ้นทางเขาแล้วหดกลับเข้าไปภายในเกวียนอย่างไม่เต็มใจสักเท่าไร
เหอะ นางรู้อยู่หรอก ว่าการเข้าเมืองหลวงมีกฎระเบียบมากมาย
ขบวนรถม้าของพวกเขาเคลื่อนไปตามเกวียนข้างหน้าช้าๆ ทันใดนั้นในกระแสคนที่หลั่งไหลข้างทางได้ปรากฏม้าพันธุ์ดีหนึ่งตัวขึ้น พุ่งตรงเข้ามาทางขบวนรถของพวกเขา
“น้องชายสกุลหู!” เสียงทุ้มหนามีความดีใจที่ได้พบกันอีกครั้งดังขึ้น
ผิงอันที่ได้ยินเสียงหันไป ดวงตาเป็ประกายขึ้นทันที
“องครักษ์เฉิน!”
เฉินเผิงเฟยตบม้าเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“พวกท่านมาถึงเสียที ตลอดทั้งวันนี้คุณชายล้วนถามอยู่หลายรอบแล้ว น้องชายหู การเดินทางราบรื่นดีหรือไม่?”
หลัวจิ่งแอบถอยกลับไปที่กลุ่มผู้คุ้มกัน ตอนนี้เขาจะดึงดูดความสนใจคนไม่ได้
ผิงอันยิ้มทักทายอยู่กับเฉินเผิงเฟยไม่กี่ประโยค เจินจูก็ดึงประตูเกวียนเปิดออก พร้อมกับยิ้มและร้องทักทายขึ้น
“องครักษ์เฉิน ไม่ได้เจอกันนานเลยเ้าค่ะ”
เฉินเผิงเฟยพลิกตัวลงจากม้า เข้ามาใกล้และโค้งกายทำความเคารพ “แม่นางหู พวกท่านมาถึงได้เสียที หลังจากคุณชายข้าได้รับข่าวก็ส่งคนมารอที่ประตูเมืองอยู่หลายวัน แต่ก็รออยู่หลายวันเช่นนั้นในที่สุดพวกท่านมาถึงได้เสียที ขณะเดินทางประสบเื่อะไรเข้าหรือ?”
“อืม... แค่เจอเื่เล็กน้อยเข้า เลยเสียเวลาอยู่นิดหน่อยเ้าค่ะ”
เจินจูหันไปชี้รถม้าด้านหลัง จากนั้นก็เล่าเื่ของเซียวจวิ้นให้เขาฟัง
สีหน้าเฉินเผิงเฟยเปลี่ยนไปทันที ซื่อจื่อเจิ้นกั๋วกงถูกลอบจู่โจม ไม่ใช่เื่เล็กเลยสักนิด เขาต้องรีบกลับไปรายงายคุณชายทันที
เขาหันกลับไปโบกมือ ท่ามกลางกระแสคนได้มีบุรุษสวมชุดธรรมดาผู้หนึ่งปรากฏออกมา
หลังเฉินเผิงเฟยกำชับอยู่ข้างหูเขาเบาๆ บุรุษผู้นั้นก็ปะปนเข้าไปในกลุ่มคน พริบตาเดียวก็ไร้ร่องรอยให้ได้เห็น
“แม่นางหู คุณชายมีที่พักเป็บ้านประตูสามชั้นบริเวณใกล้เคียงฝั่งตะวันออกของเมืองอยู่แห่งหนึ่ง พวกท่านพักอยู่เป็การชั่วคราวเลยดีหรือไม่?”
เฉินเผิงเฟยขอความเห็นจากนาง เนื่องจากคุณชายกล่าวไว้ว่าทุกสิ่งอย่างให้ดูตามความเห็นของคนสกุลหูเป็หลัก
เจินจูยิ้มและส่ายหน้า “องครักษ์เฉิน ไม่ต้องหรอก พวกข้าอยากเร่งกลับไปก่อนปีใหม่ คิดจะอยู่ที่เมืองหลวงนานสุดครึ่งเดือน ค่อยหาที่พักริมทางสักแห่ง หรือเหมาโรงเตี๊ยมอยู่ก็พอ ไม่รบกวนพวกท่านจะดีกว่าเ้าค่ะ”
สิ่งเหล่านี้นางได้หารือกับหลัวจิ่งแล้ว เขาคงไม่ยินดีแน่ หากพวกนางจะไปอยู่ที่พักของกู้ฉี
เฉินเผิงเฟยได้ยินดังนั้นรีบตอบทันที “เช่นนั้นก็ได้ โรงเตี๊ยมกว่างฟาทางตะวันออกของเมืองกว้างขวาง สะอาด และคนไม่มาก ห่างจากจวนสกุลกู้เพียงสองเค่อ แม่นางหูท่านว่าดีหรือไม่?”
เจินจูคิดเล็กน้อย หลัวจิ่งให้นางหาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่ไม่ไกลจากวังหลวงเท่าไรแต่ก็ไม่ใกล้จนเกินไปสำหรับเป็ที่พัก
“ที่นั่นห่างจากวังหลวงเท่าไรหรือ?”
นางถามเสียงเบา
“หากขี่ม้าก็ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม” เฉินเผิงเฟยไม่รู้เจตนาของนาง ทว่าก็ยังตอบแต่โดยดี
เจินจูไม่สามารถเรียกหลัวจิ่งมาหารือได้ นางจึงไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าตอบรับ
มีการนำขบวนโดยเฉินเผิงเฟย รถม้าจึงมุ่งเข้าสู่เมืองได้อย่างราบรื่น
แต่เพิ่งเข้าเมืองมาได้ไม่นาน เสียงเกือกม้าดังะเืของกองกำลังหนึ่งขบวนได้ควบเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ชายสวมชุดผ้าไหมตัวยาวผู้หนึ่ง รูปร่างแข็งแรงทรงพลังทำให้คนตกตะลึงในความน่าเกรงขาม ได้ดึงบังเหียนม้าขวางอยู่หน้าขบวนรถ
รูม่านตาเฉินเผิงเฟยหดเล็กลงทันที เจิ้นกั๋วกงเซียวฉิงเหมือนดังที่ได้ยินข่าวมาเลยเชียว เขาปฏิบัติต่อบุตรชายอันเป็ที่รักราวกับอัญมณีล้ำค่า เพียงระยะเวลาสั้นๆ ก็สามารถเร่งจากจวนเจิ้นกั๋วกงมาถึงนี่ได้
เซียวฉิงลงมาจากหลังม้า ทันทีก็กระโจนเข้ามา องครักษ์ด้านหลังของเขาทยอยกันหยุดม้าและลงมายืนคอย
“จวิ้นเอ่อร์ล่ะ?”
เสียงของเขาต่ำเรียบมีพลัง ทว่าแฝงไว้ด้วยความกังวลอยู่บางเบา
“นายท่าน คุณชายซื่อจื่ออยู่นี่ขอรับ”
พานเชียนซานลงมาจากรถม้าข้างหลังสุด รายงานด้วยความเคารพนบนอบ
เซียวฉิงเดินไปทางรถม้าเกวียนที่สองในขบวนอย่างฉับไว
เซียวจวิ้นดึงประตูเกวียนเปิดออก ยิ้มไปทางเซียวฉิงที่สาวเท้าเข้ามา
“จวิ้นเอ่อร์ เ้าาเ็ตรงไหน?”
เซียวฉิงมองเขาอย่างตึงเครียด เห็นเซียวจวิ้นห่อด้วยผ้านวมนั่งอยู่ภายในเกวียน คิ้วของเขาขมวดจนแทบจะสามารถหนีบแมลงวันตายได้หนึ่งตัว
“ท่านพ่อ ข้าไม่เป็อะไร แค่เท้าเคล็ดเท่านั้นขอรับ”
ทันใดนั้นเซียวฉิงก็คิดจะเลิกผ้านวมของเขาขึ้นเพื่อเปิดออกตรวจดูทันที
“ท่านพ่อ!” เสียงของเซียวจวิ้นมีความขุ่นเคืองเล็กน้อย
มือของเซียวฉิงแข็งทื่อหยุดอยู่ที่เดิม เห็นความขุ่นเคืองในดวงตาบุตรชายจึงทำได้เพียงหดมือกลับไป
เขายืดตัวตรง พลางมองไปทางพานเชียนซานที่อยู่ด้านข้างด้วยสายตาเฉียบคม “เกิดเื่อะไรขึ้น?”
พานเชียนซานรีบรายงานเื่ที่เกิดขึ้นอย่างรวบรัดทันที
พวกเขายังอยู่บนถนนใหญ่ที่คึกคัก ฝูงชนที่มามุงดูจึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
“ท่านพ่อ มีอะไรกลับจวนไปค่อยว่ากันเถอะขอรับ” เซียวจวิ้นกุมหน้าผาก ขอแค่เื่ที่เกี่ยวโยงกับเขา ผู้เป็บิดาย่อมเร่งรีบจนแบ่งแยกความสำคัญของเื่ไม่ได้เลย
เซียวฉิงได้สติ พลางกวาดดวงตาเรียบนิ่งเ็าไปทางฝูงชนที่มุงดู ทั่วทั้งกายลักษณะน่าเกรงขามแผ่ออกไปในชั่วพริบตาเดียว ผู้คนที่เดิมทีแอบกระซิบกระซาบกัน ทันใดนั้นแผ่นหลังก็เย็นวูบวาบขึ้น ต่างก็หยุดเสียงพูดคุยลง
เขาโบกมือใหญ่ขึ้นหนึ่งที กองกำลังที่ขวางอยู่หน้าขบวนได้ถอยไปอยู่ด้านข้าง หลบออกมาเป็ทางเส้นหนึ่งอย่างฉับไว
เซียวฉิงกลับไปถึงข้างกายม้าเรียบร้อย กระโจนขึ้นหลังม้าจากนั้นตบเท้าให้ม้าวิ่งไปอยู่ด้านหน้าขบวน
หลิวอี้เร่งรถม้าตามอยู่ด้านหลังของเขาอย่างระมัดระวัง แต่จุดมุ่งหมายของพวกเขาชัดเจนว่าไม่ใช่ทางเดียวกันกับเจิ้นกั๋วกง
เขามองไปทางเฉินเผิงเฟยที่อยู่ด้านข้างอย่างขอความช่วยเหลือ
เฉินเผิงเฟยเองก็ปวดหัวเช่นกัน กล่าวตามหลักแล้ว เจิ้นกั๋วกงมารับคุณชายซื่อจื่อแล้วก็ควรแยกทางต่างคนต่างไป แต่สถานการณ์เช่นนี้ เหตุใดยังคิดจะให้สองพี่น้องสกุลหูตามไปจวนเจิ้นกั๋วกงด้วยให้ได้นะ
หลัวจิ่งตามอยู่ด้านข้างเกวียนมาติดๆ เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อยและเม้มริมฝีปากแน่น เขาตัดสินใจไม่ได้ไปชั่วขณะ
รถม้าเดินทางไปข้างหน้าช้าๆ เจินจูสังเกตได้ถึงความผิดปกตินี้ บทสนทนาเมื่อสักครู่ของพวกเขา นางได้ยินชัดเจน นางเปิดประตูรถม้าครึ่งหนึ่ง บนหลังม้าพันธุ์ดีที่นำทางอยู่ข้างหน้า มีเจิ้นกั๋วกงเซียวฉิงรูปร่างใหญ่โตแข็งแรงนั่งอยู่ ความเงียบเชียบที่ไม่กล้าทำเสียงอะไรออกมา เกรงว่าคงเป็ความเคารพยำเกรงจากก้นบึ้งในหัวใจที่มีต่อเขา
แต่ขณะนี้สีของท้องฟ้าใกล้เย็นย่ำแล้ว หากเดินไปจวนเจิ้นกั๋วกงหนึ่งรอบ เกรงว่าต้องถูกรั้งให้อยู่ทานข้าวเลี้ยงฉลองและพักอยู่หนึ่งคืนแน่นอน ไปๆ มาๆ คงเสียเวลาอยู่ไม่น้อย แต่เดิมคิดจะอยู่แค่ไม่กี่วัน กลับต้องเสียเวลาคบค้าอยู่กับคนที่ไม่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้นอีก
สีหน้าเจินจูครึ้มลง
นางสะกิดผิงอันที่นั่งอยู่ขอบเกวียน ดึงหูของเขาเข้ามากระซิบ
หลังจากนั้น นางจึงให้หลิวอี้หยุดรถม้า
ผิงอันะโลงจากรถม้า เดินไปทางเซียวจวิ้น
เซียวฉิงเห็นเช่นนั้น กระตุกบังเหียนหยุดม้าและหันไปจ้องเขม็งที่พวกเขา
หลิวอี้และเฉินเผิงเฟยต่างก็ถูกสายตาที่เต็มไปด้วยแรงกดดันอันน่าเกรงขามของเขากวาดผ่าน หนังศีรษะล้วนตึงรัดแน่นขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
แต่ผิงอันกลับไม่ได้ให้ความสนใจ เขาเคาะรถม้าของเซียวจวิ้นให้เปิดออก และกล่าวตามคำสั่งของเจินจู “พี่ชายสกุลเซียว ท่านพี่ข้าบอกว่าในเมื่อท่านพ่อของท่านมารับท่านแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็แยกทางกันที่นี่เถอะ พวกข้ายังมีธุระอยู่ อีกทั้งเวลามีจำกัดขอไม่ร่วมทางไปกับพวกท่าน อีกอย่างฟ้าก็มืดแล้ว หากมีเื่อะไรรอพวกข้าจัดหาที่พักเสร็จเรียบร้อย พวกท่านค่อยมาหาพวกข้า ตอนนี้ท่านให้ท่านพ่อของท่านหลบทางให้พวกข้าสักหน่อยเถอะ”
เซียวจวิ้นมุมปากกระตุก คำพูดนี้ช่างเป็คำที่แม่นางหูจะกล่าวออกมาได้จริงๆ ไม่กี่วันที่อยู่ร่วมกับสองพี่น้องสกุลหูมา เขาได้รู้ว่าพวกนางเป็ชาวบ้านธรรมดาที่มาจากพื้นที่ไกลโพ้น ไม่ได้มีความคิดอะไรต่อขุนนางในเมืองหลวง ตอนที่รู้ว่าเขาเป็ซื่อจื่อเจิ้นกั๋วกงก็ปฏิบัติตัวและพูดคุยด้วยเหมือนเช่นสามัญชนธรรมดา ด้วยเหตุนี้จึงกล้าเอ่ยปากพูดว่าให้ผู้เป็บิดาของเขาหลบทางออกมาได้
ผิงอันเห็นเขาไม่พูดไม่จา จึงคิดว่าเขาไม่คิดจะหลบทางให้พวกตน เลยกล่าวต่ออย่างเสียมิได้ “ท่านพี่ข้าบอกมา หากพวกท่านเยิ่นเย้อเช่นนี้ ก็คืนหมอนมาให้นางเสีย นางไม่อยากมอบให้ท่านแล้ว”
สีหน้าเซียวจวิ้นเปลี่ยนไปซีดลงทันที พร้อมกับรีบยิ้มและกล่าวเอาใจ “ไม่ใช่ๆ จะหลบทางให้เดี๋ยวนี้เลย จะไม่ทำให้พวกท่านเสียเวลาอย่างเด็ดขาด รอให้พวกน้องชายจัดหาที่พักเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าค่อยไปแสดงการขอบคุณก็ยังไม่สาย”
กล่าวจบเขาหันไปโบกมือทางพานเชียนซาน “ให้ท่านพ่อหลบทางหน่อย พี่น้องสกุลหูจะไปจัดหาที่พักค้างแรมก่อน”
พานเชียนซานสีหน้าแข็งทื่อทันที แต่ยังคงไปรายงานเซียวฉิงตามคำสั่งของเขา
ในดวงตาเซียวฉิงมีความแปลกใจระคนสงสัยวาบผ่าน เขามีวรยุทธ์ไม่ธรรมดาหูตาว่องไวเฉียบแหลม เสียงสนทนาตรงที่บุตรชายอยู่ เขาย่อมได้ยิน
สองพี่น้องค่อนข้างน่าสนใจยิ่งนัก แต่หมอนนี่คืออะไรกันนะ? เซียวฉิงพิจารณา
เขาทำตามความคิดของบุตรชาย จึงบังคับม้าไปหยุดยืนอยู่ด้านข้าง
จนกระทั่งขบวนรถม้าทั้งหมดเลี้ยวเข้าปากทางถนนหนึ่งไปแล้ว ขบวนของเซียวฉิงจึงเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง
“แม่นางหู ท่านกล้าหาญยิ่งนัก ในเมืองหลวงแห่งนี้ ผู้ที่กล้าบอกให้เจิ้นกั๋วกงหลบทางให้มีไม่กี่คนจริงๆ” เฉินเผิงเฟยทำท่าทางเช็ดเหงื่อ แต่หน้าหนาวหนักเช่นนี้เหงื่อจะมาจากที่ไหนได้กัน
เจินจูหันไปกลอกตาใส่เขาโดยไม่หลบเลี่ยง “ต่อให้เป็ขุนนางที่ใหญ่โตแค่ไหน ก็ต้องกล่าวเหตุผลหน่อยไม่ใช่หรือ พวกข้าช่วยบุตรชายของเขาไว้จะไม่ขอบคุณก็ช่าง แต่จะให้พวกข้าทำตามเขาทุกอย่าง นั่นเป็เื่ที่คนปกติเขาทำกันหรืออย่างไร?”
“เอ่อ แต่นั่นเป็เจิ้นกั๋วกงนะ!” เฉินเผิงเฟยหวาดกลัวเล็กน้อย
“เจิ้นกั๋วกงแล้วอย่างไร เขาไม่ใช่โจรหรือหัวหน้าโจรเสียหน่อย อีกอย่างไม่ใช่ล้วนบอกว่าเซียวจวิ้นเป็แก้วตาดวงใจของเขาหรือ พวกเราช่วยชีวิตคนสำคัญของเขาไว้ เขาไม่ควรตื้นตันใจหรืออย่างไร เฮ้อ นั่งรถม้ามาสิบกว่าวัน กระดูกสั่นะเืไปหมด ผู้ใดยังจะมีใจไปทำความรู้จักหรือทานเลี้ยงกับพวกเขากัน” เจินจูคุ้นเคยกับเฉินเผิงเฟยอยู่บ้าง จึงไม่ได้กังวลอะไรมากเมื่อต้องพูดจากันในเื่นี้
เฉินเผิงเฟยส่ายหน้าพลางยิ้มขมขื่น รีบนำทางพวกนางไปยังโรงเตี๊ยมกว่างฟา
โรงเตี๊ยมใหญ่โต ตั้งอยู่หลังตรอกถนนหลักฝั่งตะวันออกของเมือง เป็ที่สงบเงียบท่ามกลางเมืองวุ่นวาย รูปแบบทั้งโรงเตี๊ยมกว้างขวางและสวยงามเป็สง่าอย่างมาก
พวกเขาเหมาลานที่สงบเงียบและใหญ่ที่สุดไว้แห่งหนึ่ง และเริ่มย้ายสิ่งของสัมภาระต่างๆ บนรถม้าลงมา
เฉินเผิงเฟยช่วยพวกเขาจัดหาที่พักเรียบร้อย ก็อำลากลับไปรายงานยังจวนสกุลกู้
หลังจากเขาเดินออกไปไม่นาน หลัวจิ่งก็มาบอกกล่าวกับเจินจูเล็กน้อย และนำทางหลัวสือซานออกจากโรงเตี๊ยมไป
เจินจูให้ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมเตรียมน้ำสำหรับอาบสองถังใหญ่ ให้นางกับผิงอันอาบน้ำอุ่นอย่างสบายใจก่อนเป็อันดับแรก แล้วค่อยแบ่งกันนำเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวฮุยไปอาบน้ำให้สะอาด
หลังจัดการความเรียบร้อยของตัวเองเสร็จ นางกับผิงอันสองคนจึงไปยังโถงใหญ่ มองหามุมที่ไม่เด่นสะดุดตานั่งลง และสั่งอาหารที่เสี่ยวเอ้อในโรงเตี๊ยมแนะนำให้
หลัวจิ่งให้พวกนางทานข้าวกันก่อนไม่จำเป็ต้องรอเขา เจินจูเดาว่าเขาคงกลับไปสถานที่ที่เคยอาศัยอยู่ เกรงว่าจะมีเื่ให้ต้องจัดการไม่น้อย นางจึงไม่ได้ให้ความสนใจเขาอีก
ขณะที่สองพี่น้องกำลังรออาหารเย็นมาวางที่โต๊ะ กู้ฉีที่อยู่ในเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกตัวใหญ่ดูบริสุทธิ์เยือกเย็นเดินเข้ามาจากประตูโรงเตี๊ยม ข้างหลังยังคงเป็เฉินเผิงเฟยที่ติดตามมา
เจินจูเห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นยิ้มแล้วเดินเข้าไปต้อนรับ “พี่ชายกู้อู่!”
ผิงอันก็รีบลุกขึ้นยืนทำความเคารพด้วย
กู้ฉีมองหญิงสาวที่สวมเสื้อผ้าเรียบๆ ทว่าสง่างามเป็เอกลักษณ์จากระยะไกล เขาถอนหายใจอยู่ข้างในเล็กน้อย ไม่ได้เจอกันเพียงหนึ่งเดือนกว่าๆ ราวกับเว้นไปนานนับปี
เขาระงับความรู้สึกที่สลับซับซ้อนลงและเดินไปด้านหน้า หางตาอมยิ้ม เสียงใสเอ่ยขึ้น “น้องสาวเจินจู ผิงอัน ในที่สุดพวกเ้าก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัยเสียที”
“ใช่แล้ว ต้องขอบคุณผู้คุ้มกันของท่านที่เดินทางคุ้มครองมาส่ง นับว่ามาถึงได้อย่างสงบสุขเลยล่ะ” เจินจูยิ้ม
ใบหน้ายิ้มแย้มของกู้ฉีหดหู่ลงในทันที เขาโค้งกายลงกล่าวแสดงความรู้สึกเสียใจด้วยเสียงหนักแน่น “กู้ฉีรู้สึกละอายใจอย่างยิ่ง ล้วนเป็ความสะเพร่าของคนสกุลกู้ จึงทำให้ครอบครัวเ้าทั้งครอบครัวต้องตกอยู่ในอันตราย โชคดีที่สกุลหูไม่มีคนาเ็หรือล้มตายลงไป หากเป็เช่นนั้นแล้ว กู้ฉีคงไม่มีหน้ามาเผชิญกับพวกเ้าได้”
ท่าทางขออภัยของเขาจริงใจและจริงจังอย่างมาก
รอยยิ้มเจินจูเลือนหายไป นางปรับสีหน้าให้เป็ปกติ “เมฆฝนบนฟ้าไม่อาจคาดการณ์ มนุษย์เรามีโชคมีภัยก็ไม่อาจคาดเดา ในเมื่อเื่ดำเนินมาถึงขั้นนี้ จะมัวมายุ่งอยู่กับว่าเป็ความถูกผิดของผู้ใดก็ไร้ความหมาย พี่ชายกู้อู่ ตอนนี้พวกเราต้องใคร่ครวญว่าจะทำอย่างไรต่อไปจึงจะถูก”
นางมองเขาอย่างสื่อความหมายลึกซึ้ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้