ดาบเจินหยวนเปล่งแสงเจิดจ้า มันเต็มไปด้วยความแหลมคมไร้ที่ติ และเจตจำนงแห่งการทำลายล้าง รวมไปถึงเจตจำนงแห่งการต่อสู้
ดาบนั้นคืออาวุธเพื่อสังหาร ในขณะเดียวกันก็เป็อาวุธแห่งการทำลายล้างเช่นกัน
ทูจิ้วถึงกับตกตะลึงไป เมื่อลูกพลังเจินหยวนพุ่งปะทะกับดาบ ทันใดนั้นก็เกิดเสียงะเิขึ้น กระแสไฟฟ้าจากกลุ่มพลังปกคลุมดาบเจินหยวน ซึ่งเป็แสงที่เจิดจ้าอย่างมาก
ทว่าลูกพลังเจินหยวนกลับไม่สามารถต้านทานความแหลมคมได้ ดาบในมือของหลินเฟิงยังคงฟาดฟันและตัดผ่านทุกสิ่ง แม้กระทั่งลูกพลังเจินหยวนก็ถูกตัดเป็สองส่วน พลังเจินหยวนที่รุนแรงทำให้ทั้งสองส่วนกระเด็นออกไปคนละทาง และมันก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการทำลายล้าง
“ข้าไม่้าไฟปีศาจแล้ว!”
ทูจิ้วะโออกมา เนื่องจากเขาไม่อาจต้านทานดาบเจินหยวนของหลิงเฟิงได้ ขณะนั้นหลินเฟิงก็ยังคงกวัดแกว่งดาบมาทางเขา ซึ่งมันสามารถฆ่าเขาให้ตายได้ ฉะนั้นเขาจึงเอ่ยปากออกมาเสียก่อน
“ยอมแพ้ ทูจิ้ว... ยอมแพ้!”
ผู้คนต่างใจเต้นแรง ทูจิ้วผู้แข็งแกร่งและเย่อหยิ่ง เขา้าที่จะแย่งชิงไฟปีศาจไปจากหลินเฟิง ดังนั้นทุกคนจึงคิดว่าหลินเฟิงช่างโชคร้าย หากเขายอมทูจิ้วเสียแต่โดยดี อย่างน้อยที่สุดหลินเฟิงก็แค่ไม่สามารถปกป้องไฟปีศาจของจิ้งจอกเจ็ดหางได้
เมื่อพวกเขาเห็นหลินเฟิงปฏิเสธทูจิ้วอย่างแข็งกร้าว ในขณะนั้นพวกเขาต่างคิดว่า หลินเฟิงจะต้องตายอย่างแน่นอน
แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกลับเกินความคาดหมายของทุกคน ผู้คนต่างรู้กันดีว่าทูจิ้วเป็ถึงผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตแห่งจิติญญา ทว่าเขากลับพ่ายแพ้ให้กับดาบเจินหยวนของหลินเฟิง ในตอนนี้เขาจึงไม่้าแย่งชิงไฟปีศาจแล้ว
“หมายความว่ายังไง?”
หลินเฟิงยิ้มอย่างเยือกเย็น ทูจิ้วผู้นี้ดูเหมือนจะคิดง่ายเกินไป อยากสู้ก็สู้ อยากได้ไฟปีศาจก็ต้องได้ แม้กระทั่งชีวิตของหลินเฟิง ทว่าพอเขารู้ว่าต่อสู้ไม่ได้ก็ยอมแพ้ แค่นี้ก็จบแล้วเหรอ?
มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ? คิดอยากเหยียบย่ำก็เหยียบ แต่พอเหยียบไม่ได้ก็แค่ถอย อย่างนั้นก็ได้เหรอ?
ทั้งๆ ที่หลินเฟิงให้เขาเลือกแล้วแท้ๆ ว่าอยากจะไสหัวไปหรืออยากตาย!!!
“ข้าเป็คนของป้อมอีแร้ง เ้ากล้าดียังไงมาหยามข้า?” เมื่อทูจิ้วเห็นดาบเจินหยวนของหลินเฟิงที่ยังฟันลงมา และทำลายลูกพลังเจินหยวนอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาถึงกับหน้าถอดสี
ที่ทูจิ้วกล้าอวดเบ่งในเมืองเทียนลั้วเช่นนั้น เพราะนอกจากความแข็งแกร่งของเขาแล้ว เขายังเป็คนของป้อมอีแร้ง ซึ่งเป็กลุ่มคนชั่วร้ายและมีอำนาจที่สุดในเมืองเทียนลั้ว
ป้อมอีแร้งเป็กลุ่มที่สามัคคีอย่างมาก ใครก็ตามที่กล้าแตะต้องคนของพวกเขา ผู้นั้นย่อมถูกไล่ล่าจนถึงที่สุด เพราะความสามัคคีนี้จึงทำให้ป้อมอีแร้งมีอำนาจในเมืองเทียนลั้วมาโดยตลอด แม้พวกเขาจะทำร้ายผู้คนมากมาย แต่ผู้คนที่ทำร้ายพวกเขาก็ไม่มีทางเหมือนพวกเขาได้ นั่นจึงกลายเป็กลุ่มที่มีความสามัคคีไร้ผู้เทียบเคียงได้
ผู้คนต่างใจเต้นไม่เป็จังหวะ หลินเฟิง... หรือว่าเขา้าสังหารทูจิ้ว? นั่นคือสิ่งที่พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อน
ถึงแม้นิกายเฮ่าเยว่จะตั้งอยู่ใกล้กับเมืองเทียนลั้ว แต่ตราบใดผู้คนของนิกายเฮ่าเยว่และหมู่บ้านเสวี่ยอิงซานอยู่ในเมืองเทียนลั้วนั้น พวกเขาย่อมไม่สามารถขัดใจกับป้อมอีแร้งได้ ป้อมอีแร้งนั้นตั้งฐานอยู่ที่เมืองเทียนลั้วมานานหลายปีแล้ว หาก้าจะแยกพวกเขาออกจากกันเกรงว่ามันคงเื่ยาก
“ในเมื่อเ้า้าสังหารข้า งั้นเ้าก็ควรคิดถึงผลที่ตามมาด้วย”
น้ำเสียงที่เยือกเย็นของหลินเฟิงทำให้ผู้คนต่างสั่นเทา ทันใดนั้นได้มีเสียงะเิเกิดขึ้น ดาบเจินหยวนที่ฟาดฟันลูกพลังสายฟ้าได้ฟาดฟันมาที่ทูจิ้ว
“เ้ากล้า...”
เสียงคำรามดังก้องไปทั่วบริเวณ เมื่อเห็นดาบที่อยู่เหนือศีรษะนั้น สายตาของเขาจึงเผยความสิ้นหวังและเศร้าสลดออกมาอย่างปิดไม่มิด ซึ่งปกติแล้วผู้คนของป้อมอีแร้งจะเคยชินกับการทำตัวเย่อหยิ่งและอวดเบ่งในเมืองเทียนลั้ว เขาจึงไม่คิดว่าตัวเองจะต้องตาย และไม่คาดคิดว่าจะมีใครกล้าสังหารเขา
ทว่าวันนี้ความตายได้มาเยือนอย่างไม่ทันตั้งตัว!
“ฉึก!!!”
เสียงคลื่นดาบดังขึ้นเบาๆ หลังจากที่ดาบของหลินเฟิงฟันลงมา เจินหยวนแห่งการทำลายล้างก็ค่อยๆ สลายไป ส่วนทูจิ้วก็ยืนนิ่งไม่ไหวติง จากนั้นเขาก็ล้มลงไปอย่างเชื่องช้า
ดวงตาของทูจิ้วยังคงเบิกกว้าง หว่างคิ้วของเขามีรอยเืยาวลงมา
ตายแล้ว!
ทูจิ้วแห่งป้อมอีแร้ง... ตายแล้ว? เขาผู้อยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตแห่งจิติญญาถูกหลินเฟิงสังหารเพียงดาบเดียว แม้เขาจะใช้พลังเจินหยวนแล้วแต่มันก็ไร้ผล
ผลลัพธ์ดังกล่าวช่างเกินความคาดหมายของใครหลายคน มันทำให้ผู้คนใจเต้นไม่เป็จังหวะ
ดวงตาของหลันเจียวเบิกกว้างขณะอยู่ด้านหลังหลินเฟิง หลังจากนั้นไม่นาน นางก็ถอนหายใจออกมา ขณะมองไปยังแผ่นหลังที่เย่อหยิ่งด้วยดวงตาที่งดงามของนาง
ชายผู้เปี่ยมไปด้วยความเด็ดเดี่ยวและองอาจ
เ้า้าสังหารข้า อย่างนั้นข้าก็จะสังหารเ้าเช่นเดียวกัน ในใต้หล้านี้ไม่มีคำว่าต่อรอง ไม่ว่าจะเป็ใครก็ตาม หากบอกว่าสังหารก็คือสังหาร!
ตอนนี้เองหลันเจียวเดินไปอยู่ข้างหลินเฟิงขณะทำหน้ามุ่ย จากนั้นนางก็กล่าวว่า “หลินเฟิง เ้าต้องรีบไปจากที่นี่ ไปจากเมืองเทียนลั้วเสียตอนนี้!”
“จากไป?”
หลินเฟิงส่ายหัวเล็กน้อยขณะมองหลันเจียว “ทำไมข้าต้องจากไปด้วย?!”
“ให้ตายสิ!” หลันเจียวสบถออกมาและกล่าวว่า “ทูจิ้วเป็คนของป้อมอีแร้ง นอกจากนี้ยังมีสถานะที่สูงส่ง ในเมื่อเ้าสังหารเขาไปอย่างนี้ แล้วป้อมอีแร้งจะปล่อยเ้าได้ยังไง เกรงว่าพวกเขาต้องมาตามหาเ้าเร็วๆ นี้แน่”
“ป้อมอีแร้ง?” หลินเฟิงขมวดคิ้ว เมื่อวานเขาได้นัดกับท่านหัวเอาไว้ว่า อีกสามวันจะมาเจอกันที่ภัตตาคารเทียนซานแห่งนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจไปจากที่นี่ได้
“ข้าไม่ไป” หลินเฟิงกล่าวอย่างไม่แยแส ทำให้หลันเจียวยิ่งประหลาดใจ และด่าเขาในใจว่า เ้าหมอนี่... ช่างไม่รู้จักคำว่าตายเสียจริง
“หลินเฟิง เ้ากำลังรนหาที่ตายนะ!” หลันเจียวกล่าวด้วยความโกรธ
หลินเฟิงประหลาดใจขณะมองหลันเจียว จากนั้นก็กล่าวเสียงแ่เบาว่า “ทำไมเ้าถึงต้องเป็ห่วงข้านัก?”
หลันเจียวดูประหลาดใจจนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น ใช่... มันเกิดอะไรขึ้นกับนาง? ทำไมต้องห่วงเขาด้วย? นางต้องเกลียดหลินเฟิงและ้าให้เขาตายสิ ทำไมนางต้องช่วยเขา?
“ทำไมข้าต้องเป็ห่วงเ้าด้วย? เ้ากำลังรนหาที่ตาย นั่นมันก็เื่ของเ้าคนเดียว ข้าไม่เกี่ยวเลย” หลันเจียวกล่าวประชดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด หญิงสาวในยามนี้ราวกับเปลี่ยนไปเป็คนละคนกับสาวงามผู้มีเสน่ห์เมื่อคืนโดยสิ้นเชิง
ขณะมองหลันเจียวที่จากไปด้วยความโกรธเกรี้ยว หลินเฟิงเองก็มึนงง จากนั้นเขาก็มุ่งหน้าเข้าไปในภัตตาคารเทียนซาน
ฝูงชนต่างส่ายหัว เ้าหมอนี่… ช่างโง่เขลายิ่งนัก ขนาดมีสาวงามมาเตือนก็ยังไม่ฟัง ดูเหมือนคราวนี้เขาจะต้องตายแน่ๆ
กลุ่มป้อมอีแร้งใช่ว่าจะต่อกรได้ง่ายๆ พวกมันเป็กลุ่มที่มีอำนาจที่สุดในเมืองเทียนลั้วและยังสมาชิกนับพันคน นอกจากคนรุ่นเยาว์ที่ล้วนเป็ผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตแห่งจิติญญาที่แข็งแกร่งแล้ว ยังมีผู้นำป้อมอีกสามคนของป้อมอีแร้ง ทั้งสามคนล้วนอยู่ขอบเขตลี้ลับซึ่งทรงพลังอย่างมาก โดยเฉพาะผู้นำเจิ้งของป้อมอีแร้งที่อยู่ระดับขอบเขตลี้ลับขั้นที่ 3 มีน้อยคนนักจะกล้ายั่วยุเขา
ถึงแม้หลินเฟิงจะแข็งแกร่งและมีพร์แค่ไหน หากต่อสู้กับป้อมอีแร้งด้วยตัวคนเดียว นั่นเท่ากับว่าเขารนหาที่ตาย
ผู้คนที่อยู่ไกลออกไปไม่ได้จากไปไหน เกรงว่าข่าวการตายของทูจิ้วคงจะถึงหูของป้อมอีแร้งเร็วๆ นี้ พวกเขาอยากเห็นว่าเมื่อถึงตอนนั้นมันจะเกิดอะไรขึ้น
แล้วก็เป็ไปตามคาด ไม่นานหลังจากนั้นก็มีเสียงดังมาแต่ไกลจนพื้นดินต้องสั่นะเื ราวกับมีม้านับพันตัวกำลังวิ่งอยู่
“มาแล้ว!” หัวใจของฝูงชนเริ่มเต้นโครมคราม คนของป้อมอีแร้งได้มาถึงอย่างรวดเร็ว
“หลินเฟิงช่างโชคดีเสียจริง” เมื่อได้ยินเสียงกีบเท้าม้าที่ดังสนั่น ฝูงชนต่างเข้าใจทันทีว่าป้อมอีแร้งกำลังมาแก้แค้นแล้ว เมื่อเผชิญกับกลุ่มป้อมอีแร้งที่ทรงพลัง เกรงว่าครานี้หลินเฟิงจะต้องถูกสังหารอย่างแน่นอน
หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนจำนวนหนึ่งควบม้าสีดำเข้ามา ผู้คนเหล่านี้ดูชั่วร้ายและโเี้ แน่นอนว่านี่คือเอกลักษณ์ของคนของป้อมอีแร้ง มือของพวกเขาอาบไปด้วยเืของผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก
พวกเขาก็เหมือนกับทูจิ้ว เมื่อเห็นสิ่งที่ชอบก็จะแย่งชิงมา หากอีกฝ่ายไม่ให้ก็จะสังหารอย่างไร้ปรานี
ผู้คนจำนวนมากต่างหลบลี้จากภัตตาคารเทียนซาน เมื่อได้ยินว่าป้อมอีแร้งมาแก้แค้นหลินเฟิง ทุกคนจึงต้องออกห่างจากเขา ไม่อย่างนั้นอาจโดนลูกหลงไปด้วย
ไม่นานนักบรรยากาศในภัตตาคารเทียนซานได้กลายเป็เงียบสงัด และม้าศึกที่กำลังวิ่งใกล้เข้ามานั้น ก็มองไปยังซากศพของทูจิ้วที่อยู่บนพื้น สีหน้าของผู้นำกลุ่มดูเยือกเย็นเป็ที่สุด ดวงตาของเขาที่ราวกับเหยี่ยวกลายเป็แหลมคมมากขึ้น
คนคนนี้คือลุงของทูจิ้ว และเป็หนึ่งในรองผู้นำของป้อมอีแร้ง
“ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้!”
เสียงของผู้นำป้อมอีแร้งเด็ดขาดเป็อย่างมาก
“แข็งแกร่งยิ่งนัก!”
ม่านตาของฝูงชนล้วนหดแคบลง เสียงะโของรองผู้นำป้อมอีแร้งแฝงไปด้วยเจินหยวนที่แข็งแกร่ง
ภายในภัตตาคารเทียนซาน บรรยากาศยังคงเงียบสนิท
ในใจของฝูงชนลอบคิดว่า ต่อให้คนของป้อมอีแร้งไม่สังหาร แต่หลินเฟิงจะออกมาได้อย่างไร? หรือว่าความจริงแล้วหลินเฟิงกำลังรนหาที่ตาย?