เล่มที่ 2 บทที่ 41
ดังนั้นคำพูดของมู่หรงฉิงจึงเอ่ยเพื่อให้เฉินเทียนหยูเปิดใจให้กว้าง และทำให้เฉินเทียนหยูพึ่งพานางมากขึ้น เนื่องจากนางยัง้าใช้ประโยชน์จากเฉินเทียนหยูอีกมาก ด้วยการใช้ประโยชน์เ่าั้ หลังจากเฉินเทียนหยูคืนสติการรับรู้ เขาย่อมเข้าใจความจริงอย่างแน่นอน และเมื่อคำนึงถึงความรู้สึก เขาย่อมไม่ทำอะไรกับนาง ในเวลานั้นถ้านางพูดว่าจะแยกจากกันอย่างสงบ เฉินเทียนหยูก็คงจะไม่โต้แย้ง
ความคิดหนึ่งปรากฏวับในใจของมู่หรงฉิง หลังจากเฉินเทียนหยูฟังถ้อยคำ เขาก็คิดตรึกตรอง ก่อนพยักหน้าอย่างหนัก “อืม วันข้างหน้าน้องหญิงทำของอร่อยๆ ให้ข้าคนเดียวเท่านั้น ข้าจะไม่ให้คนอื่นกินแล้ว”
ขณะพูดคำว่า ‘คนอื่น’ สองคำ เฉินเทียนหยูก็ชายตามองไปทางจ้าวจื่อซินด้วยความไม่พอใจ พิสูจน์ให้เห็นว่า คนที่ไม่ชื่นชมขนมที่น้องหญิงของเขาทำก็อยู่ในขอบเขตของ ‘คนอื่น’ เช่นกัน
หลังจบคำพูดซึ่งแสดงออกถึงความไม่พอใจของเฉินเทียนหยู จ้าวจื่อซินก็ยิ้มเล็กน้อย “สิ่งที่ฮูหยินน้อยทำนั้นอร่อยอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ผู้น้อยโชคดีทั้งสามชาติที่ได้ลิ้มรสความอร่อย คิดว่าคุณชายรองไม่น่าจะขูดรีดสวัสดิการนี้ออกไปใช่หรือไม่?”
สาเหตุที่เฉินเทียนหยูรู้สึกหงุดหงิดคือ จ้าวจื่อซินกล่าวหาว่าขนมที่มู่หรงฉิงทำนั้นไม่อร่อย แต่เมื่อจ้าวจื่อซินเปลี่ยนคำพูด เขาย่อมมีความสุขโดยปริยาย เขาจะจำความหงุดหงิดเมื่อครู่ก่อนได้อย่างไร ชายหนุ่มจึงรีบลากจ้าวจื่อซินมากินขนมกรอบเทพีอย่างมีความสุข
นี่... ปรากฏว่าไม่สามารถตั้งความหวังไว้สูงได้จริงๆ...
เห็นเฉินเทียนหยูให้อภัยจ้าวจื่อซินง่ายๆ มู่หรงฉิงก็ยกตะเกียบขึ้นอย่างจนใจ ก่อนจะกินอาหารต่อไป
ปรากฏว่า ด้วยคำพูดของจ้าวจื่อซินที่ว่า “ผู้น้อยยังไม่ได้กินข้าวเลย” เขาก็ถูกเฉินเทียนหยูดึงให้นั่งลงกินข้าวข้างๆ
ครั้นกินข้าวเสร็จ เขาก็ดูมีความสุข
หลังจากรับประทานอาหาร จ้าวจื่อซินพูดเพียงคำเดียวจากนั้นก็เดินออกไป ฝั่งมู่หรงฉิงจึงอ้างว่าเมื่อยล้า และแนะนำให้เฉินเทียนหยูไปหาจ้าวจื่อซินในเรือนหยางเซิง แม้ว่าเฉินเทียนหยูจะโง่งม แต่ถึงอย่างไร เขาก็รักและชื่นชอบมู่หรงฉิงมาก เขาเห็นมู่หรงฉิงมีท่าทางเหนื่อยล้าก็ไม่รบกวนนางอีกต่อไป เขาหมุนตัวเดินออกจากเรือนและไปหาจ้าวจื่อซินจริงๆ
“คุณหนูมีคำสั่งอะไรหรือ?” ปี้เอ๋อร์เห็นมู่หรงฉิงเอ่ยบอกเฉินเทียนหยูให้ออกไปที่เรือนหยางเซิง นางจึงเอ่ยถามเบาๆ พร้อมเดินไปประคองมู่หรงฉิงเพื่อพาเข้าไปในห้อง
ความเฉลียวฉลาดและไหวพริบของปี้เอ๋อร์เป็สาเหตุให้มู่หรงฉิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าหลังจากอาการประหลาดใจ นางก็ลดเสียงเบาลง “เ้าไปสำรวจก่อนว่ายวี้เอ๋อร์ได้มีการติดต่อกับใครในจวนเฉินนี้บ้าง?”
นางเพิ่งแต่งเข้ามาในจวนเฉิน แต่ยวี้เอ๋อร์กลับแทบจะรอไม่ไหวจนต้องเริ่มวางกับดัก คิดว่ามีอะไรบางอย่างที่จะต้องใช้ประโยชน์จากนางในเร็ววัน นอกจากนั้นอนุหนิงยังได้วางยาพิษกับนางแล้ว คิดว่าจะต้องดำเนินแผนการให้สำเร็จลุล่วงภายในระยะเวลาอันสั้น
นางจะต้องคุมคนให้ได้เสียก่อน และต้องไม่รอให้ผู้อื่นวางหมากอย่างไรก็ได้
“บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้” ปี้เอ๋อร์เอ่ยตอบ หลังจากช่วยประคองมู่หรงฉิงพาไปนั่งลงบนเก้าอี้ยาวด้านข้างหน้าต่างแล้ว นางก็เดินออกจากห้อง
มู่หรงฉิงเอนกายลงบนเก้าอี้ยาว หลังจากครุ่นคิดชั่วครู่หนึ่ง นางจึงหยิบสมุดบันทึกสองเล่มออกมาอ่าน หลังจากอ่านไปครึ่งทางก็ได้ยินเสียงของแม่นมฟางและแม่นมจิ่นจากด้านนอกห้อง กำลังเดินมายังเรือนหลัก
เสียงของแม่นมทั้งสองคนทำให้มู่หรงฉิงนึกขึ้นได้ว่า เมื่อเช้านางไม่เห็นแม่นมทั้งสองคน นี่ก็จะครึ่งวันแล้ว คนทั้งคู่ไปทำอะไรที่ไหนกัน?
เนื่องจากความทรงจำของแม่นมทั้งสองถูกคนสับเปลี่ยนไปแล้ว ย่อมไม่อาจรับรองได้ว่าจะไม่ถูกคนอื่นทำอะไรอีก? คิดได้ดังนั้น มู่หรงฉิงจึงซ่อนสมุดบันทึกไว้ใต้หมอน ก่อนหยิบหนังสือบทกวีที่วางอยู่ด้านข้างมาเปิดอ่าน
“คุณหนูใหญ่กลับมาแล้วหรือ?”
เสียงของแม่นมจิ่นและแม่นมฟางยังคงเจือด้วยความใจดีเสมอ สำหรับแม่นมจิ่น มู่หรงฉิงปฏิบัติต่ออีกฝ่ายเช่นเดียวกับมารดาผู้ให้กำเนิด ถึงอย่างไรนางก็เติบโตขึ้นมาจากการกินน้ำนมจากอกแม่นมจิ่น ย่อมเกิดความรักความผูกพันมากกว่า
เพียงแต่ในเวลานี้แม่นมจิ่นถูกยวี้เอ๋อร์เปลี่ยนความทรงจำไปแล้ว นางหวังเพียงว่า จ้าวจื่อซินจะสามารถค้นพบยาแก้พิษ ‘ทางเลือก’ ได้ในเร็ววัน ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับแม่นมจิ่น นางคงจะรู้สึกไม่สบายใจเป็แน่
หลังจากคิดในใจก็ได้ยินสาวใช้ที่เฝ้าประตูพูดอะไรกับแม่นมจิ่น หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางได้ยินเสียงฝีเท้าที่เบาค่อยเป็อย่างมาก
ทันทีที่แม่นมจิ่นสาวเท้าเข้ามาในห้องก็เห็นมู่หรงฉิงนั่งอ่านหนังสืออย่างเงียบๆ นางถึงออกอาการคล้ายโล่งใจ “ช่างดีจริงที่คุณหนูใหญ่กลับมาแล้ว คุณชายรองพาคุณหนูใหญ่ออกไปั้แ่เช้าตรู่ บ่าวรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ”
มู่หรงฉิงได้ฟังเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้น ทำให้เห็นใบหน้าแดงก่ำเล็กน้อย และเห็นดวงตาทั้งสองข้างเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มของแม่นมจิ่นระหว่างก้าวเท้าเดินเข้ามา
ก่อนหันไปมองดูท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่าง นี่เป็เวลาเที่ยงวันแล้ว เป็่เวลาที่ดวงอาทิตย์สาดแสงร้อนแรงมาก แม่นมเพิ่งจะกลับมา คิดว่าคงถูกแดดร้อนแผดเผา ทว่าแดดแรงถึงเพียงนี้ แม่นมทั้งสองคนไปทำอะไรกัน?
นางครุ่นคิดในใจพลางวางหนังสือลงบนโต๊ะ “ดูเหมือนแม่นมจะถูกแดดเผาแล้ว ดื่มน้ำให้ชุ่มคอก่อน”
แม่นมจิ่นเปล่งเสียงตอบรับก่อนจะรินน้ำหนึ่งถ้วย และดื่มน้ำหลายอึกในรวดเดียว จากนั้นจึงหันหลังกลับไปพูดกับมู่หรงฉิง “คุณหนูใหญ่เดาสิว่า วันนี้บ่าวเห็นใครด้านนอกจวน?”
“ใครหรือ?” ดูจากสีหน้าและทีท่าของแม่นมจิ่นแล้ว คล้ายกับดีใจที่ได้เห็นคนประสบกับหายนะอยู่หลายส่วน สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยอาการถากถางดูถูก มู่หรงฉิงย่อมคิดไม่ออกเนื่องจากตอนนี้แม่นมจิ่นถูกเปลี่ยนความทรงจำไปแล้ว ยังจะมีเื่อะไรที่สามารถทำให้อีกฝ่ายแสดงสีหน้าเช่นนั้นได้อีก?
“จะเป็ใครไปได้อีกล่ะ? ถ้าไม่ใช่เ้ากีบเล็กที่ทรยศเ้านายคนนั้น” พูดถึงคำว่า ‘เ้ากีบเล็ก’ น้ำเสียงของแม่นมจิ่นถึงกับเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม แน่นอนว่ามากไปกว่านั้นคือดีใจที่ได้เห็นคนประสบกับหายนะ
มู่หรงฉิงคิดเกี่ยวกับคำพูดของแม่นมจิ่นสักครู่ ทันใดนั้นผิวหน้าของนางก็เปลี่ยนสี “แม่นมหมายถึงจื่อเอ๋อร์หรือ?”
“จะไม่ใช่ได้อย่างไร” แม่นมจิ่นทั้งส่ายศีรษะทั้งถอนหายใจ “โธ่ คุณหนูใหญ่ คุณหนูบอกข้าทีว่า เพื่อทำร้ายคุณหนู เ้ากีบเล็กนั่นทำอะไรก็ได้จริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะยวี้เอ๋อร์รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของเ้ากีบเล็กนั่น เกรงว่าคุณหนูใหญ่คงจะ…”
เกรงว่าจะถูกทำลายไปนานแล้ว ใช่หรือไม่?
เฮอะ! ยวี้เอ๋อร์รู้ทัน? ดูเหมือนว่ายวี้เอ๋อร์จะสร้างความทรงจำให้แม่นมทั้งสองคนไว้มากมายจริงๆ นอกจากทำให้แม่นมทั้งสองคนจำได้ว่าอนุหนิงเป็ศัตรูแล้ว ยังทำให้แม่นมทั้งสองเชื่อถืออย่างสุดใจด้วยว่ายวี้เอ๋อร์เป็ผู้ช่วยชีวิตที่มีพระคุณของมู่หรงฉิงใช่หรือไม่?
เพียงแต่แม่นมจิ่นไปเห็นอะไรมา? ความปีติยินดีที่ได้เห็นคนประสบกับหายนะปรากฏในดวงตาของแม่นมจิ่นเป็สาเหตุให้มู่หรงฉิงรู้สึกวิตกกังวลเป็อย่างมาก
จื่อเอ๋อร์ถูกทำร้ายเพียงเพื่อนาง และไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่ายหลังจากถูกจางเฟิงเฉิงนำตัวกลับไป? ถ้าจางเฟิงเฉิงคนนั้นเป็คนที่มีมโนธรรม นางย่อมไม่กลัวว่าจื่อเอ๋อร์จะถูกทำร้าย ในทางตรงกันข้ามจางเฟิงเฉิงคนนั้นเป็เพียงชายชั่วไร้ขอบเขต เขาจะปล่อยให้จื่อเอ๋อร์มีชีวิตที่ดีได้อย่างไร?
ครั้นพิจารณาจากสีหน้าและท่าทีของแม่นมจิ่นเมื่อครู่ก่อน จื่อเอ๋อร์คงจะต้องใช้ชีวิตอย่างไม่น่าพึงพอใจเป็แน่
ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่งหลังจากระงับความวิตกกังวลก็ทำสีหน้าเ็าประดุจน้ำแข็ง แม้แต่น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “วันนี้แม่นมเห็นนางด้วยหรือ? นางปีนกิ่งไม้สูงแล้ว สันนิษฐานว่านางจะได้สวมทองและเงิน ใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายมากกระมัง?”
“นั่นสิ” แม่นมจิ่นอ้าปากหมายจะพูดแต่เสียงตอบกลับนั้นดังมาจากประตู เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นแม่นมฟางเดินเข้ามาพร้อมกับจานแตงโมเย็น
“ตอนนี้นางอยู่เคียงข้างคุณชายจาง เข้าหอนางโลม เข้าโรงสุรา มีใครไม่รู้บ้างว่าคุณชายจางมีผู้ติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด กินอาหารก็มีคนคอยรับใช้เคียงข้าง ผ้าแพรที่สวมใส่เรียกได้ว่าทันสมัยและน่าดึงดูดใจ”
ระหว่างพูด แม่นมฟางหยิบแตงโมแช่เย็นสีแดงชิ้นหนึ่ง จากนั้นค่อยๆ ตักเนื้อแตงโมใส่ลงในชามลายคราม หลังจากตักได้ครึ่งชามใบเล็ก นางก็ยกชามมาให้มู่หรงฉิง “คุณหนูใหญ่ ลองกินดูสิ ครู่ก่อนบ่าวกับแม่นมจิ่นไปเลือกมาด้วยตัวเอง ตั้งใจเลือกแตงโมที่แช่น้ำแข็งมาให้เพราะเหมาะที่สุดที่จะกินในเวลานี้”
มู่หรงฉิงวิตกกังวลเกี่ยวกับจื่อเอ๋อร์ นางจึงไม่อยากกินแตงโมแช่น้ำแข็ง โดยอ้างว่าตนเพิ่งกินข้าวเที่ยงไป ถึงไม่อยากกินอะไรในตอนนี้ แต่ในขณะที่้าจะวางชามไว้ข้างๆ แม่นมฟางกลับรับไปก่อนแล้ว “คุณหนูใหญ่โกรธเ้ากีบเล็กคนนั้นหรือ? ไม่เป็ไร เดี๋ยวบ่าวจะเล่าเื่ที่น่าสนใจให้คุณหนูฟัง คุณหนูใหญ่จะได้กินไปพลาง มีความสุขไปพลาง”
เห็นท่าทีเช่นนั้นของแม่นม ทำให้นางรู้สึกว่าไม่กินแตงโมไม่ได้แล้วจริงๆ
ก็ใช่ แม่นมทั้งสองคนอุตส่าห์ออกไปข้างนอกท่ามกลางแดดจัดเพื่อเลือกแตงโมมาให้ ถ้านางไม่กิน สิ่งที่คนทั้งสองพยายามไป มันก็จะเปล่าประโยชน์ใช่หรือไม่?
คิดได้ดังนั้น จึงยื่นมือไปจับช้อนและตักแตงโมเข้าปาก
่นี้อากาศร้อนจัดถึงในห้องจะวางน้ำแข็ง แต่ในท้ายที่สุดก็ไม่อาจสู้แสงแดดร้อนแรงบนท้องฟ้าได้ แม้กระทั่งสายลมพัดเข้ามาในห้องก็ยังคงร้อนอบอ้าว หลังจากกินแตงโมเย็นๆ จึงรู้สึกสดชื่นขึ้นมาก นางรู้สึกเย็นฉ่ำในปากซึมซาบเข้าสู่หัวใจ เป็ความสดชื่นที่บอกไม่ถูก
กอปรกับเป็แตงโมแก่จัดและเนื้อแตงโมสีแดงสดในปากก็หวานฉ่ำมาก ทำให้คนรู้สึกสงบจิตใจขึ้นอยู่หลายส่วน
หลังจากกินไปสามคำติดต่อกัน ทันใดนั้นนางก็จำได้ว่าเฉินเทียนหยูชอบกินของหวานมาก “แม่นมแช่แตงโมที่เหลือในก้อนน้ำแข็งไว้ด้วย อีกสักพักเมื่อคุณชายรองกลับมา ให้นำไปให้คุณชายรองกินด้วย”
คำพูดของมู่หรงฉิงส่งผลให้แม่นมทั้งสองคนตกตะลึงในทันใด นี่คุณหนูใหญ่หมายความว่าอย่างไรหรือ? คุณชายรองเ้าปีศาจคนนั้น พวกนางเกลียดและไม่อยากให้เขาเข้ามาในห้องนี้ แต่ทำไมคุณหนูใหญ่ถึงได้คิดคำนึงถึงคุณชายผู้โง่งมและกลายร่างเป็ปีศาจเป็ครั้งคราวคนนั้นด้วย?
“คุณหนู จงอย่าได้วิตกกังวลไปเลย ส่วนของคุณชายรอง บ่าวซื้อมาด้วยและก็แช่ก้อนน้ำแข็งไว้ให้แล้ว แตงโมส่วนนี้เตรียมไว้สำหรับคุณหนูใหญ่ ท่านทานอย่างวางใจเถิด” แม่นมฟางคิดเพียงว่ามู่หรงฉิงอยากจะเอาอกเอาใจคนโง่งมนั่นจึงพูดปลอบประโลมเช่นนั้น
พยักหน้าเพื่อบอกว่ารู้แล้วก่อนจะกินแตงโมต่อไป และเอ่ยถามด้วยทีท่าสบายๆ “บอกมาสิว่าวันนี้แม่นมทั้งสองคนไปเห็นอะไรมา ดูพวกเ้าแล้วเหมือนจะอารมณ์ดี”
มู่หรงฉิงลากประเด็นสำคัญกลับมาอีกหน ฉับพลันนั้นใบหน้าที่เข้มงวดของแม่นมฟางก็ปรากฏความเย้ยหยัน ก่อนมู่หรงฉิงจะได้ฟังแม่นมฟางพูดสิ่งที่อัดอั้นตันใจออกมาอย่างมีความสุข
“คุณหนูใหญ่ จื่อเอ๋อร์คนนั้นมีความทะเยอทะยานสูงนัก นางไม่อยากเป็สาวใช้บริสุทธิ์อยู่เคียงข้างคุณหนูใหญ่ แต่ดึงดันจะขึ้นเตียงคุณชายจาง ตามคุณชายจางเข้าไปในหอนางโลม จะต้องขายตัวแลกเงิน ตามไปที่โรงสุรา ก็ต้องขายเสียงอีก ในเวลานี้ขอแค่สอบถาม ใครๆ ก็รู้ดีว่าเคียงข้างคุณชายสามมีคนสนิทที่รู้รสนิยมมากกว่านางโลมเสียอีก”
คำพูดของแม่นมฟางส่งผลให้มือที่จับช้อนของมู่หรงฉิงสั่นเล็กน้อย นางเคยคิดไว้ล่วงหน้าเป็พันครั้ง จื่อเอ๋อร์มีหน้าตารูปร่างดี ขณะเดียวกันคุณชายจางคนนั้นเป็คนไร้ขอบเขตและดื้อรั้น แม้เขาจะถูกคนวางกับดัก ถึงกระนั้นก็คิดว่าเขาไม่น่าจะทำให้จื่อเอ๋อร์ต้องลำบาก
แต่สิ่งที่มู่หรงฉิงไม่คาดคิดก็คือ เ้าจางเฟิงเฉิงสารเลวนั่นจะทำกับจื่อเอ๋อร์คล้ายสินค้าราคาถูก
เนื่องจากจื่อเอ๋อร์เคยยืนยันว่านางหลงใหลในตัวจางเฟิงเฉิง ทั้งยังพูดตรงๆ ว่า แม้จะต้องเป็บ่าว นางก็จะติดตามจางเฟิงเฉิง ดังนั้นแม้ว่าจื่อเอ๋อร์จะถูกทรมาน นางก็จะไม่ฆ่าตัวตาย
จื่อเอ๋อร์ไม่ฆ่าตัวตายก็เพื่อมู่หรงฉิง อย่างน้อยในระยะเวลาอันสั้น จื่อเอ๋อร์จะไม่มีทางปลิดชีพตัวเอง จางเฟิงเฉิงที่ถูกคนวางกับดักกำลังโกรธแค้นอยู่ เขาย่อมไม่ปล่อยให้จื่อเอ๋อร์เสียชีวิต บางทีการทรมานจื่อเอ๋อร์ อาจจะทำให้เขารู้สึกดีมากกว่าการฆ่าจื่อเอ๋อร์ก็เป็ไปได้
หัวใจของมู่หรงฉิงปวดร้าวราวกับถูกมีดกรีด ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยจะต้องอยู่เคียงข้างคนเลวเช่นคุณชายจางนั่น ความคับข้องใจของจื่อเอ๋อร์นั้นแค่คิดก็รู้แล้ว
จื่อเอ๋อร์ทุ่มเทเพื่อนาง แต่นางทำเพียงกินแตงโมเย็นอยู่ที่นี่และฆ่าเวลาด้วยการเสียดสี คิดๆ ดูแล้ว มู่หรงฉิงอยากจะกระโจนออกไปสับร่างของยวี้เอ๋อร์ให้กลายเป็หมื่นชิ้นอย่างสุดจะทน และนางอยากจะจับดาบมาสับอนุหนิงให้กลายเป็พันชิ้น
จื่อเอ๋อร์ เ้าจะต้องอดทนนะ ต้องรอข้าด้วย เ้ารอข้าล้างแค้นให้เ้าและรอให้ข้าช่วยเ้าออกจากขุมนรกนั่น
เมื่อคิดหาวิธีการช่วยเหลือจื่อเอ๋อร์ให้ออกจากขุมนรก มู่หรงฉิงกลับได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นในใจ ตอนนี้นางอยู่ในจวนเฉิน แม้แต่ตัวของนางเองยังยากที่จะป้องกันตัวเอง นางยังคิดอยากจะช่วยเหลือจื่อเอ๋อร์?
กินไปเกินครึ่งแล้ว แต่นางยังตักแตงโมเข้าปากอีกหน แม้จะไม่รู้สึกถึงความหวานฉ่ำอีกต่อไป ทว่านางกลับรู้สึกได้ถึงความขมจากก้นบึ้งของหัวใจ
ขณะถือชาม มองดูเนื้อแตงโมสีแดงฉ่ำน้ำ มู่หรงฉิงรู้สึกคล้ายกำลังถูกไฟเผาในใจ นางรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
อาจกล่าวได้ว่า ความเกลียดชังในหัวใจของนางเพิ่มขึ้นเนื่องจากรับรู้สิ่งที่จื่อเอ๋อร์ประสบ
“คุณหนูอย่าโกรธเลย ขณะที่บ่าวกลับมา บ่าวพบเจอกับยวี้เอ๋อร์ด้วย ได้ยินบ่าวในจวนบอกว่า ยวี้เอ๋อร์ไปสารภาพผิดแทนคุณหนูใหญ่ ตอนนี้นางกำลังทานอาหารกลางวันอยู่ ยวี้เอ๋อร์เป็คนซื่อสัตย์และใส่ใจ บ่าวจะไปเรียกยวี้เอ๋อร์มาดูแลคุณหนูนะ”
มู่หรงฉิงมีความเกลียดชังในหัวใจ นั่นเป็ต้นเหตุให้ใบหน้าของนางราวกับปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็ง ดวงตาของนางเ็าจนผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้ แม้แต่แม่นมฟางผู้เข้มงวดยังรู้สึกว่าท่าทีของมู่หรงฉิงแตกต่างจากเมื่อก่อนเป็อย่างมาก
หลังจากได้ยินคำพูดของแม่นมฟาง มู่หรงฉิงจึงพูดพึมพำในใจ ยวี้เอ๋อร์ช่างเป็คนฉลาดจริงแท้ รู้จักหลอกใช้แม่นม แม้กระทั่งแม่นมฟางที่เป็คนเข้มงวดเสมอมายังเข้าข้างยวี้เอ๋อร์ ดูเหมือนว่านางจะต้องเร่งจ้าวจื่อซินให้ค้นหายาแก้พิษ ‘ทางเลือก’ ให้ได้โดยเร็วที่สุด หากเป็สถานการณ์นี้ยังดำเนินต่อไป เกรงว่าเวลายิ่งยาวนาน อุปสรรคก็จะยิ่งมีมาก หากแม่นมสองคนถูกยวี้เอ๋อร์หลอกใช้อย่างสมบูรณ์นั่นจะกลายเป็ปัญหาไม่รู้จักจบเป็แน่