เมื่อเดินออกมาจากหอหมู่ตันก็เป็เวลาทุ่มกว่าแล้ว
บัดนี้ ร้านค้ามากมายรวมไปถึงผู้คนที่ยืนเบียดกันอยู่หน้าหอหมู่ตันก่อนหน้านี้สลายกันไปั้แ่เมื่อใดก็ไม่ทราบมีเพียงกลุ่มคนสอง หรือสามคนเท่านั้น ที่ยังคงเดินผ่านไปผ่านมาเป็ระยะๆ
แสงดาวริบหรี่ส่องลงบนพื้นถนนที่ปูด้วยหินอ่อนภายในเมืองทำให้เงาของซูฉางอันกับพวกถูกลากให้ยาวออกไป
ซูฉางอันเงียบขรึมั้แ่ออกมาจากหอหมู่ตัน เขาก็เอาแต่นิ่งเงียบเช่นนี้มาตลอดทาง
ความเงียบของเขาทำให้บรรยากาศเงียบสงัดและน่าอึดอัดไปด้วย บรรยากาศเช่นนี้ทำให้แม่นางฝานหรูเยว่รู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อยนางกอดผีผา เครื่องดนตรีคู่ใจที่อยู่เคียงข้างนางมานานหลายปีเอาไว้ในอ้อมกอดพลางก้มหน้า เดินตามหลังกลุ่มคนไป เพียงแต่นางมักจะแอบชำเลืองมองซูฉางอันอย่างระมัดระวังเป็ระยะตลอดทาง
“ฉางอัน เ้าเป็อะไรไป?” จี้เต้าไม่ใช่คนที่จะเก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจเงียบๆได้ ดังนั้น เขาจึงเดินเข้าไปถามตรงๆ พลางมองไปยังซูฉางอันด้วยสายตาหลบหลีกไม่กล้ามองตรงๆ “เ้าโกรธที่พวกเราเข้าใจเ้าผิดตอนอยู่หอหมู่ตันใช่ไหม? ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่เชื่อใจเ้าหรอกนะแต่เ้าผู้ชายปวกเปียกนั่นบอกว่าจะให้โม่โม่ไปเป็ยอดบุปผาอะไรนั่นข้าโกรธมากเกินไป ก็เลย...”
เมื่อพูดมาจนถึงตรงนี้เขาก็รู้สึกผิดที่เคยสงสัยซูฉางอันเหลือเกิน
ซูโม่กับกู่หนิงเองก็มองไปยังซูฉางอันอย่างไม่สบายใจเช่นกันเมื่อนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น ความเชื่อมั่นที่เซี่ยโหวฟ่งอวี้กับลิ่นหยูมีต่อซูฉางอันกับปฏิกิริยาที่ตนแสดงออกไป ช่างแตกต่างกันเหลือเกิน
เมื่อได้ยินจี้เต้าพูดดังนั้นซูฉางอันจึงเงยหน้าขึ้นมาแล้วมองไปยังกลุ่มคนที่กำลังมองมาทางตนอย่างเป็ห่วงเป็ใย วินาทีนั้นเขาราวกับเพิ่งตื่นจากภวังค์ รีบโบกมือพลางกล่าวขึ้นทันที “เปล่าในตอนนั้นพวกเ้าก็แค่เป็ห่วงโม่โม่มากเท่านั้นแล้วข้าจะไปโกรธพวกเ้าได้ยังไงล่ะ ข้าเพียงกำลังคิด....คิดเื่บางอย่างเท่านั้น”
“คิดเื่บางอย่าง? เื่อะไร? บอกมาเถอะ ทุกคนจะได้ช่วยกันคิด” จี้เต้าพูดด้วยรอยยิ้มสดใส เขามีนิสัยตรงไปตรงมาอยู่แล้วไม่รู้เหมือนกันว่าคนเช่นนี้สอบเข้าสำนักในเมืองฉางอันด้วยการสอบทางบุ๋นได้ยังไงเมื่อได้ยินว่าซูฉางอันไม่ได้โกรธตนกับพวก เขาก็วางใจลงในที่สุดกลับไปมีท่าทางโหวกเหวกโวยวายเหมือนเดิมทันที
ซูฉางอันชะงักฝีเท้าลงแล้วประกายความกลัดกลุ้มขึ้นทางใบหน้า ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากบอกหรอกนะแต่ไม่รู้เพราะอะไร ทำไมเขาถึงรู้สึกลำบากใจเช่นนี้
กลุ่มคนพากันหยุดตามพวกเขาเพ่งมองไปที่ซูฉางอัน ราวกำลังรอให้เขาพูดคำตอบออกมาแม้แต่ฝานหรูเยว่ก็ยังเบิกดวงตากลมโตที่ส่องประกายระยิบระยับของตัวดองแล้วมองไปที่ซูฉางอันตาไม่กะพริบเช่นกัน
นั่นทำให้ซูฉางอันรู้สึกลำบากใจยิ่งขึ้นเขาพยายามเรียบเรียงคำพูดในหัวใจด้วย้าจะแสดงความรู้สึกของตนออกไปอย่างชัดเจนมากที่สุดนั่นเอง
“งานหลอมดาว” ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ลิ่นหยูก็พูดขึ้น
กลุ่มคนชะงักนิ่งไปซูฉางอันถึงกับอึ้งไปเลยทีเดียว
แม้ลิ่นหยูคนนี้จะมีร่างกายใหญ่โตทั้งยังเป็นักสู้ แต่กลับเป็คนละเอียดอ่อนเหลือเกิน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังใจเย็นเมื่อเจอปัญหา สามารถเสนอวิธีแก้ไขปัญหาที่ทั้งง่ายดายและมีผลมากที่สุดในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานได้เสมอเขากับจี้เต้าที่เป็นักพรตช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับดินคนหนึ่งก็ละเอียดก่อนเกินใคร ส่วนอีกคนก็ไม่สนใจอะไรเลย
ซูฉางอันพยักหน้าแล้วกล่าวขึ้นในที่สุด “ถูกต้องแล้วงานหลอมดาว”
“ข้าได้เป็จอมดารา ตามกฎแล้วข้าสามารถขออะไรกับสำนักปาฮวงก็ได้หนึ่งข้อ เดิมทีข้าอยากให้คนที่ชื่อตู้หงฉางออกมาสู้กันสักครั้ง แต่เขาไม่ตกลง ดังนั้นตอนนี้สำนักปาฮวงจึงยังค้างคำขอของข้าอยู่”
“ดังนั้นสหายซูจึงใช้คำขอหนึ่งประการที่มีช่วยไถ่ตัวให้แม่นางฝานหรูเยว่ทั้งยังปกป้องพวกเราได้อีกสินะ” กู่หนิงเข้าใจในที่สุด
แม้จะมาฉางอันได้เพียงสองเดือนแต่พวกเขารู้ดีว่าสำนักปาฮวงยิ่งใหญ่มากขนาดไหน และคำขอหนึ่งประการจากพวกเขาล้ำค่ามากเพียงใดในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจแล้ว ว่าเมื่อครู่ซูฉางอันยอมสละสิ่งที่มีค่ามากขนาดไหนไปแม้แต่ฝานหรูเยว่เอง บัดนี้สายตาที่นางมองไปยังซูฉางอันก็เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแล้ว
นางไม่รู้จักเด็กหนุ่มที่โพล่งเข้ามาปกป้องตัวเองคนนี้เลยสักนิดแต่วินาทีนั้น ดวงตาของเขาเปล่งประกายสว่างไสวเหลือเกิน มันทำให้นางรู้สึกเชื่อใจและอยากเข้าใกล้เขาอย่างอดไม่ได้
แม้นางจะเป็เพียงยอดบุปผาของหอหมู่ตันทว่าั้แ่ถูกประมุขหอซื้อเข้ามา นางก็อาศัยอยู่ในเมืองฉางอันมาโดยตลอดเมื่อเห็นมากเข้า ย่อมเข้าใจธรรมเนียมภายในเมืองไปด้วย ดังนั้นนางจึงรู้ดีว่าคำขอหนึ่งประการจากสำนักปาฮวงล้ำค่ามากขนาดไหน
นางไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ตนมีดีอะไร ซูฉางอันจึงยอมทำเพื่อนางเช่นนี้เกรงว่าแม้แต่องค์ชายห้าที่นางพะวงหาอยู่ทุกวี่ทุกวันก็คงไม่ยอมสละของที่สำคัญมากขนาดนี้เพื่อนางแน่ ยิ่งไปกว่านั้น ในวันนี้ในเวลาเช่นนี้ เขายังไม่แม้แต่จะมาเลย เมื่อคิดมาจนถึงตรงนี้ฝานหรูเยว่ก็รู้สึกผิดหวังเหลือเกิน นางก้มหน้าลงต่ำอีกครั้งแล้วเพ่งสายตาไปที่ปลายเท้าซึ่งโผล่ออกมาจากชายกระโปรงลูกไม้เบื้องล่างไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“อืม” ซูฉางอันพยักหน้าเป็การยืนยันสิ่งที่กู่หนิงพูดมาจากนั้นจึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “แต่สิ่งที่ข้าคิดอยู่ไม่ใช่เื่นี้”
“แล้วมันเื่อะไรกัน?” กู่หนิงชะงักนิ่งไป แล้วถามขึ้นอีกหน
“เป็กับดักที่เขาวางเอาไว้ต่างหากเขาวางแผนมาั้แ่แรก เขาจงใจลงไม้ลงมือกับพวกเราจงใจยกโม่โม่ขึ้นมาขู่เพื่อบีบให้ข้ายอมจำนน”
“แต่ข้าไม่แน่ใจว่าเขาวางกับดักนี้ขึ้นั้แ่เมื่อไหร่เป็ตอนที่ข้าออกตัวปกป้องแม่นางฝาน ตอนที่พวกเราเข้าไปในหอหมู่ตันหรือกับดักนี้เริ่มมาั้แ่วินาทีที่ข้าะโออกมาจากสำนักเทียนหลานแล้ว” ซูฉางอันพูดอย่างใจเย็นสีหน้าของเขาแลดูเย็นะเืและหนักอึ้งมากยิ่งไปกว่าเดิมแล้ว
ความเย็นะเืเช่นนี้ยังไม่เคยปรากฏอยู่บนใบหน้าของซูฉางอันมาก่อนเลย อย่างน้อยจี้เต้า กู่หนิงและเซี่ยโหวฟ่งอวี้ก็ไม่เคยเห็นมาก่อน
ความเย็นเยียบที่เขาแสดงออกมาในตอนนี้ไม่ต่างไปจากก้อนน้ำแข็งพันปีที่ไม่มีวันละลายลง ทั้งดื้อรั้น แข็งแกร่งและให้ความรู้สึกห่างเหินเหลือเกิน
ดังนั้น จู่ๆเซี่ยโหวฟ่งอวี้ก็มีท่าทางแปลกไป นางเก็บกลั้นความรู้สึกบางอย่างที่มีเอาไว้ในใจแล้วแสร้งพูดด้วยท่าทางผ่อนคลาย “มันคงไม่ร้ายแรงเหมือนที่เ้าพูดหรอกมั้งเขาไม่ใช่นักพรตไท่ไป๋ในหอชมดาวเสียหน่อยแล้วเขาจะรู้ได้ยังไงว่าวันนี้พวกเราจะไปที่นั่น?”
“ก็อาจจะใช่” ซูฉางอันส่ายหน้าสลัดความกังวลในใจทิ้งไป แต่จนแล้วจนรอด เขาก็ยังรู้สึกหวั่นใจไม่หายเขารู้สึกราวมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังมองดูตนอยู่ตลอดเวลาซึ่งนั่นไม่ใช่ความรู้สึกที่น่าพิสมัยเลย
“จริงสิ ศิษย์พี่วันนี้ท่านพาพวกเราเข้าไปในหอหมู่ตันได้อย่างไรกัน? ข้าเห็นว่าพวกคนที่ไล่ตามเรามาถูกคนเฝ้าประตูขวางเอาไว้หมดเลยทำไมพวกเขาถึงเข้าไปไม่ได้ล่ะ?” ซูฉางอันถามขึ้นอย่างกะทันหัน
เขากลับมามีท่าทีปกติอีกครั้งกลับมาเป็ศิษย์น้องที่อวี้โหวฟ่งอวี้คุ้นเคยแล้ว...เด็กหนุ่มที่ทั้งทึ่มและหัวรั้น
จู่ๆเซี่ยโหวฟ่งอวี้ก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นในหัวใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ นางฝืนยิ้มแล้วหยิบตราทองคำออกมาจากหน้าอก ก่อนจะส่งมันเข้าไปในมือของซูฉางอัน
“นี่เป็สิ่งที่เสด็จพ่อประทานให้ข้าเป็ตราแสดงตัวตนของราชวงศ์ เมื่อมีมันอยู่ นอกจากสถานที่สำคัญเช่นสำนักเทียนหลานก็ไม่มีที่ไหนที่ข้าเข้าไม่ได้อีก” ดูเหมือนจะปรับอารมณ์ให้กลับมาปกติสำเร็จแล้วขณะกำลังกล่าว เซี่ยโหวฟ่งอวี้ก็เชิดหน้าขึ้นอย่างได้ใจคล้ายกับหงส์จอมเย่อหยิ่งไม่มีผิด
เมื่อได้ยินดังนั้นกลุ่มคนก็ประกายความตกตะลึงขึ้นทางใบหน้าจี้เต้ากับซูฉางอันถึงกับทั้งลูบคลำและสำรวจตราทองคำในมืออยู่นานพลางกล่าวชื่นชมขึ้นอย่างต่อเนื่อง เล่นเอากลุ่มคนหัวเราะครืนขึ้นมาทันที
ในที่สุดบรรยากาศก็กลับมามีชีวิตชีวาเหมือนเดิมแล้วแม้แต่ซูฉางอันเองก็สลัดความกังวลภายในหัวใจทิ้งไปเป็การชั่วคราวแล้วเริ่มพูดหยอกล้อกับเพื่อนๆ ในกลุ่ม
แต่กลับไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่าทันทีที่คำว่าราชวงศ์หลุดออกมาจากปากของเซี่ยโหวฟ่งอวี้ จู่ๆฝานหรูเยว่ที่ก้มหน้าลงต่ำก็เงยหน้าขึ้นอย่างกะทันหัน นางมองไปยังเซี่ยโหวฟ่งอวี้ราวอยากจะถามอะไรออกไป ทว่าขณะกำลังนึกลังเลกลุ่มคนก็พูดคุยหยอกล้อกันขึ้นมาเสียก่อน ดังนั้นนางจึงกลืนคำพูดที่ติดอยู่ตรงปากกลับเข้าไปในท้อง แล้วก้มหน้าลงเยี่ยงคนขี้ขลาดอีกครั้ง
พวกเขาพูดคุยและหยอกล้อกันไปตลอดทางทำให้ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเลยแม้แต่น้อย พอมารู้ตัวอีกทีพวกเขาก็มาหยุดอยู่หน้าสำนักเทียนหลานเสียแล้ว
หน้าประตูของสำนักเทียนหลานยังคงเงียบเหงาดังเดิมไม่มีเปลี่ยนมีเพียงโคมไฟที่แขวนอยู่ตรงมุมประตูเท่านั้นที่ยังคงส่องแสงริบหรี่ออกมาอย่างโดดเดี่ยว
“สหายซู ตอนนี้ก็ดึกมากแล้วพวกเราไม่รบกวนเ้าดีกว่า แล้ววันหลังค่อยมาพบกันใหม่ เื่ในวันนี้ ข้าจะจดจำอย่างไม่มีวันลืม” กู่หนิงยกมือเป็เชิงคารวะพลางกล่าวขึ้น
“อืม แล้วพบกันใหม่!” ซูฉางอันประสานมือเป็เชิงคารวะกลับแล้วบอกกับทุกคน ทว่าสายตาก็ยังแอบปรายไปมองที่ร่างของโม่โม่อีกครั้งเขารู้สึกอาลัยอาวรณ์เหลือเกิน
แต่หลังร่ำลากันเสร็จ กู่หนิงกับพวกก็ยังเดินจากไปอยู่ดีซูฉางอันทำได้เพียงมองตามร่างของคนทั้งหลายไป มองพวกเขาเล็กลงเรื่อยๆจนหายไปลับตาในที่สุด
“ยังจะมองอะไรอีก พวกเขาไปกันหมดแล้ว!”
เสียงบ่นด้วยความไม่สบอารมณ์ของเซี่ยโหวฟ่งอวี้ดังมากระทบหูซูฉางอันจึงได้สติกลับมาอีกครั้ง เขาเกาหัวตัวเองอย่างทำตัวไม่ถูก แล้วพูดขึ้น “ศิษย์พี่ พวกเราเข้าไปข้างในเถอะ”
“ไปอะไรเล่า!” ทว่าเซี่ยโหวฟ่งอวี้กลับมองบนใส่แล้วชี้ไปที่ฝานหรูเยว่ ซึ่งกำลังยืนอยู่ข้างกันอย่างเงียบๆจากนั้นจึงกล่าวถามขึ้น “จะทำยังไงกับนาง?”
ราวจะรับรู้ได้ถึงสายตาของคนทั้งสองฝานหรูเยว่ที่กำลังก้มหน้าลงต่ำเงยหน้าขึ้นอีกครั้งนางกอดผีผาเอาไว้แน่นอย่างตื่นตระหนก ดูเหมือนมีเพียงทางนี้เท่านั้นที่จะทำให้นางรู้สึกวางใจได้บ้าง
“อะไรกันที่บอกว่าจะทำยังไงก็ต้องให้นางอยู่ด้วยกันที่นี่น่ะสิ” ซูฉางอันพูดด้วยท่าทางสมเหตุสมผล
เมื่อสิ้นเสียงกล่าวมือที่กำลังกอดผีผาอยู่ก็สั่นเทาขึ้น ฝานหรูเยว่ถอยกลับไปทางด้านหลังโดยสัญชาตญาณขณะที่ใบหน้าก็เริ่มซีดเผือดลงอย่างฉับพลัน
ทว่าเซี่ยโหวฟ่งอวี้กลับหน้าแดงไม่ต่างไปจากลูกท้อนางยื่นมือออกไป แล้ววางมันลงบนหูของซูฉางอัน
หลังรับรู้ได้ถึงััอันแสนวาบหวิวที่ส่งผ่านมาทางใบหูซูฉางอันก็ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที แต่ยังไม่ทันที่จะได้ถามอะไรออกไป จู่ๆความรู้สึกเจ็บอย่างแสนสาหัสก็ปะทุขึ้นเสียก่อน
“โอ้ย!!!” เสียงโหยหวนดังขึ้นและก้องอยู่หน้าสำนักเทียนหลานเป็เวลานาน
“ทำไมไม่รู้จักเรียนสิ่งดีๆ บ้าง!เ้าเพิ่งอายุเท่าไหร่! ก็... ก็คิดแต่เื่น่าละอายแบบนั้นแล้วรึ!!! ” เห็นได้ชัดว่าเซี่ยโหวฟ่งอวี้โมโหเป็อย่างมากนางจับหูของซูฉางอันเอาไว้แน่น จากนั้นก็ดึงขึ้นไป้าอย่างแรงดูเหมือนร่างของเขากำลังจะลอยออกจากพื้นดินอยู่แล้ว
ในตอนนั้นเองในที่สุดซูฉางอันก็เข้าใจว่าเซี่ยโหวฟ่งอวี้กำลังเข้าใจตนผิด เขารีบพูดอธิบายแต่เพราะถูกดึงหูอยู่ คำพูดของเขาจึงขาดห้วงไปเล็กน้อย
“ศิษย์พี่ ข้า... ข้าหมายความว่า...ให้แม่นางฝานหาห้อง... หาห้องอีกห้องในสำนัก... แล้วพักอยู่ที่นี่ไปก่อน”
เซี่ยโหวฟ่งอวี้ชะงักอึ้งไปมือที่จับหูของซูฉางอันอยู่ก็คลายออกในที่สุด สักพักกว่านางจะพูดขึ้นด้วยท่าทางเขินอายเล็กน้อย “อย่างนั้นรึใครใช้ให้เ้าไม่พูดให้มันชัดๆ เล่า”
หลังพูดจบไม่รู้ว่าเป็เพราะรู้สึกผิดหรือเพราะอะไรกันแน่เซี่ยโหวฟ่งอวี้จึงแอบหันหน้าไปอีกทางไม่กล้ามองใบหูที่ถูกบีบจนแดงก่ำของซูฉางอันอีก
“ข้าพูดชัดเจนมากแล้วท่านนั่นแหละที่คิดไปเรื่อย” ซูฉางอันบ่นอย่างไม่พอใจนัก
คำพูดของเขาทำเอาเซี่ยโหวฟ่งอวี้กับฝานหรูเยว่หน้าแดงไปตามๆ กัน