เมื่อสิ้นประโยคซูฉางอันกับพวกก็มีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมาทันที ซูโม่เองก็หน้าซีดเผือดหัวใจกระวนกระวายไปหมดแล้วหากไม่ใช่เพราะกู่หนิงที่อยู่ข้างกันสังเกตเห็นอาการของนางและส่งพลังิญญาเข้าไปคุ้มกันร่างของนางเอาไว้ได้ทันล่ะก็ซูโม่คงจะถูกพลังของชายตรงหน้ากดทับจนหมดสติไปแล้ว
เมื่อเวลาเลยผ่านไปสถานการณ์ของกู่หนิงกับคนอื่นๆ ก็น่าเป็ห่วงมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกันร่างของพวกเขาเริ่มโอนเอนไปมาจี้เต้าที่มีพลังอ่อนแอที่สุดถึงกับต้องให้ลิ่นหยูคอยพยุงเลยทีเดียว จึงจะทนยืนต่อไปได้
แน่นอนว่าซูฉางอันรับรู้ได้ถึงสถานการณ์ของพวกพ้องที่ยืนอยู่ทางด้านหลังดีตัวเขาเองก็อ่อนแรงเต็มทีแล้ว เดิมที พลังิญญาของเขาก็อ่อนแอมากอยู่แล้วแล้วยังเพิ่งผ่านการต่อสู้มาได้ไม่นานแถมตอนนี้ยังต้องแบ่งพลังไปช่วยปกป้องกู่หนิงกับพวกอีก เขาในตอนนี้ก็มีสถานการณ์ที่ลำบากไม่น้อยไปกว่ากันเลยแต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังกัดฟันอดทนต่อไป เดิมทีเขาก็มีเพื่อนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นอีกอย่าง เื่นี้ยังเกิดเพราะความวู่วามของตัวเขาเองอีกภาพเหตุการณ์ที่เขาโยวหยุนยังติดตาเขามาจนถึงทุกวันนี้เลย แล้วแบบนี้ เขาจะทนเห็นพวกพ้องได้รับาเ็อีกได้อย่างไร
แต่เขาจะทำอะไรได้ล่ะตัวเขาเองก็แทบจะเอาตัวไม่รอดแล้วแม้แต่เซี่ยโหวฟ่งอวี้ที่มีพลังอยู่ในระดับเก้าดาราก็ยังลำบากจนแทบจะทนรับมือไม่ไหวเลยที่หน้าผากของนางมีเหงื่อซึมออกมาไม่อย่างขาดสาย
ซูฉางอันครุ่นคิดอยู่นานว่ายังมีทางออกอื่นอยู่บ้างหรือไม่แต่พลังที่พวกเขามี แตกต่างกับพลังของชายคนนี้มากไม่ต่างไปจากฟ้ากับเหวเลยเขาต้องยอมรับอย่างไม่อาจปฏิเสธ ว่าครั้งนี้ตนจมเข้าสู่ทางตันแล้วจริงๆ
“เป็เช่นไรดีเล่า? คุณชายซูยอมรับข้อเสนอนี้หรือไม่?” ชายคนนั้นพูดด้วยท่าทางสบายๆขณะที่ดวงตาก็เปล่งประกายไปด้วยความกลั่นแกล้ง “หรือคุณชายซูคิดว่าจะมีคนมาช่วยเหมือนในสำนักปาฮวงเมื่อวานนี้?”
สำนักปาฮวง? ซูฉางอันชะงักอึ้งไปดูเหมือนเขาจะนึกอะไรออกแล้ว เขาตาเป็ประกายขึ้นมาทันทีซูฉางอันยอมกล่าวขึ้นในที่สุด “ข้าตกลงข้าจะทำตามกฏระเบียบของเ้า!”
ดวงตาหรี่เล็กถูกเบิกขึ้นอีกครั้งชายตรงหน้ากลับมามีใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนเดิมแล้ว
พลังกดดันที่หนักหนาราวกับขุนเขาที่คอยกดทับมลายหายไปทว่าสีหน้าของคนทั้งหลายกลับดูแย่กว่าเดิมมาก
“ฉางอัน! เ้า!” จี้เต้าะโเสียงดังเขาไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรซูฉางอันถึงตอบตกลงออกไป
กู่หนิงกับลิ่นหยูบังร่างของซูโม่เอาไว้ด้วยสีหน้าเย็นเยียบขณะที่สายตาก็เพ่งตรงไปที่ชายคนนั้นอย่างระแวดระวังเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ยอมรับข้อเสนอของชายคนนี้ และไม่ยอมทิ้งซูโม่เอาไว้ที่นี่ด้วย
แม้แต่เซี่ยโหวฟ่งอวี้ก็ยังมองตรงไปที่ซูฉางอันนางรู้ดีว่าซูฉางอันไม่ใช่คนแบบนั้นแค่ตู้หงฉางพูดิ่มั่วทิงอวี่เพียงประโยคเดียวเขาก็ยอมต่อสู้กับคนทั้งงานด้วยตัวคนเดียวแล้วแม้แต่กับยอดฝีมือที่ปกปักชายแดนมานานอย่างอินซานโจ๋ว เขาก็ไม่ยอมอ่อนข้อหรือถอยหนีแม้แต่ก้าวเดียวแล้วคนเช่นนี้น่ะหรือ จะทิ้งซูโม่ได้ลงคอ เซี่ยโหวฟ่งอวี้ดูออกว่าซูฉางอันชอบซูโม่มาก
“ได้ยินมาว่าคุณชายซูเป็คนทำอะไรตามกฎระเบียบวันนี้ข้าได้เห็นด้วยตาของตัวเองแล้ว ว่าคุณชายยึดตามกฎระเบียบจริงๆ” ชายคนนั้นกล่าวขึ้น “เช่นนั้นก็ทิ้งสาวน้อยคนนี้เอาไว้ที่นี่ส่วนทุกท่านก็ไปได้แล้ว”
กลุ่มคนมีสีหน้าย่ำแย่จนถึงขีดสุดซูโม่ก้มหน้าลงต่ำอย่างสิ้นหวัง คิดไม่ถึงเลยว่าเื่จะเป็เช่นนี้ไปได้ทนสู้ตายต่อไปยังจะดีเสียกว่าต้องยอมรับบทสรุปเช่นนี้เลย
กู่หนิงกับจี้เต้าโกรธจนอยากจะพุ่งเข้าไปหาชายคนนั้นแต่ก็ถูกเซี่ยโหวฟ่งอวี้กับลิ่นหยูรั้งเอาไว้แล้วส่งสายตาเป็เชิงว่าให้ดูสถานการณ์ไปก่อน
เมื่อได้ยินดังนั้นซูฉางอันที่กำลังก้มหน้าก็เงยหน้าขึ้นอย่างกะทันหัน เขามองไปยังชายคนนั้นแล้วส่ายหน้า พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกเราไม่มีวันทิ้งโม่โม่เอาไว้ที่นี่แน่พวกเราจะพานางไปด้วย”
ชายคนนั้นหรี่ตาลงอีกครั้งเขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นะเืจนบาดลึกเข้าไปถึงกระดูก “คุณชายซูกำลังปั่นหัวข้าอยู่รึ?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่แบบนั้น” ซูฉางอันส่ายหน้า “ข้าเพียงจะทำตามกฎระเบียบของท่านเท่านั้น”
“กฎระเบียบของข้า?” ชายคนนั้นชะงักนิ่งไปอีกครั้งก่อนจะประกายรอยยิ้มบางๆ ออกมา “คุณชายซูจะชดใช้ด้วยเงินรึ?”
แต่ใครจะไปคิดว่าซูฉางอันกลับส่ายหน้าขึ้นอีกครั้ง “ข้าไม่มีเงิน”
เงินแปดพันตำลึงไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆด้วยสภาพเศรษฐกิจของแผ่นดินต้าเว่ยแล้วเงินแปดพันตำลึงมีค่ามากจนเพียงพอให้ครอบครัวหนึ่งใช้ชีวิตอย่างสุขสบายได้เป็สิบปีแล้วซูฉางอันยังไม่เคยเห็นเงินเยอะขนาดนั้นเลยด้วยซ้ำแม้แต่เซี่ยโหวฟ่งอวี้ที่เป็องค์หญิงผู้แสนสูงส่งก็ยังหาเงินมากมายขนาดนั้นมาอย่างฉุกละหุกแบบนี้ไม่ได้เลยทว่าเงินแปดพันตำลึงนี้กลับเป็เงินสำหรับคืนแรกของแม่นางฝานเท่านั้นหากอยากไถ่ตัวนางออกไป ก็ต้องบวกเพิ่มเข้าไปอีก
“แบบนี้ก็แปลว่าเ้ายังคิดจะปั่นหัวข้าอยู่สินะ” ดูเหมือนความอดทนของชายคนนั้นกำลังจะหมดลงแล้วเขาเก็บพัดในมือลง พลันรังสีอำมหิตก็ประกายขึ้นในดวงตาที่หรี่เล็กคู่นั้น
“แต่... สำนักปาฮวงมี”
เมื่อจบประโยคเซี่ยโหวฟ่งอวี้กับพวกก็จมเข้าสู่ความงุนงงในพริบตา ลูกค้ามากมายภายในร้านไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังพูดถึงเื่อะไรอยู่พวกเขารู้สึกว่าคำพูดของซูฉางอันช่างพิลึกยิ่งนัก
ทว่าชายคนนั้นกลับหัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเขาหัวเราะอย่างมีความสุข ทั้งยังปรบมืออย่างต่อเนื่องราวเพิ่งได้ฟังเื่ที่น่าสนใจมากที่สุดในโลกไปก็ไม่ปาน “ดีมาก! คุณชายซูตัดสินใจเด็ดเดี่ยวจริงๆ”
ซูฉางอันชะงักนิ่งราวเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว “เ้าวางแผนเอาไว้ั้แ่แรกแล้วสินะ?”
“ข้าเพียงทำการค้าคุณชายซูก็ไม่ได้เสียเปรียบอะไร แถมข้าก็ยังได้เงินอีกแล้วแบบนี้จะเรียกว่าวางแผนได้เยี่ยงไรกัน” ชายคนนั้นพูดตอบ
ทว่าซูฉางอันกลับไม่มีความสุขเลยสักนิดแน่นอนว่าความปลอดภัยของกู่หนิงกับคนอื่นๆ เป็สิ่งที่สำคัญมากที่สุดแต่การติดกับที่คนอื่นวางเอาไว้ ทำให้เขารู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย ซูฉางอันหยุดพูดแล้วจ้องมองชายตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถอนสายตาออกมา แล้วพูดขึ้นอีกครั้ง “ถูกของท่านข้าจะทำการค้านี้กับท่านเอง”
ณ สำนักเทียนหลาน ภายในหออวี้เหิง
ฉู่ซีฟงมองไปยังชายชราที่นั่งกึ่งหลับตาตรงหน้าก่อนจะถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ท่านผู้ดูแลทำไมถึงไม่ยอมให้ข้าไปช่วยพวกเขาเล่าขอรับ”
อวี้เหิงหาวหวอด จากนั้นจึงกล่าวด้วยท่าทางเบื่อหน่าย “ไหนเ้าบอกว่าไม่ชอบเ้าเด็กซูฉางอันจอมเขลาคนนั้นไง?”
ฉู่ซีฟงชะงักไปเล็กน้อยจากนั้นจึงพูดขึ้นอีกครั้ง “ซูฉางอันเพียงไม่เหมาะกับกระบวนดาบของข้าไม่นับว่าเขลา อีกอย่างเขาก็ตั้งใจมากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เขาจะไม่เอาไหนมากขนาดไหนแต่อย่างไรเสีย ตอนนี้ข้าก็รับหน้าที่เป็อาจารย์ในสำนักไม่ว่าอย่างไรเขาก็ถือเป็ศิษย์คนหนึ่งของข้าอยู่ดีแล้วแบบนี้จะให้ข้าทนเห็นเขาตกอยู่ในอันตรายได้เยี่ยงไร?”
“อันตราย? เขาเป็ตัวแทนของสำนักเทียนหลานในแผ่นดินต้าเว่ยแห่งนี้ มีใครกล้าทำอันตรายเขางั้นรึ?” อวี้เหิงส่ายหัวพลางกล่าว
“แต่หลงเซี่ยงจวินของหอหมู่ตันหาใช่คนธรรมดาทั่วไปแม้เขาจะไม่กล้าทำอันตรายซูฉางอัน แต่ซูฉางอันก็ย่อมลำบากมิใช่น้อยเป็แน่” ฉู่ซีฟงยังคงขมวดคิ้วมุ่นแล้วพูดแย้งไม่หยุด
“กาลเวลาช่างเืเย็นนัก ข้าปกป้องเขาไปตลอดไม่ได้ดอกโลกใบนี้แสนกว้างใหญ่ เ้าเองก็ปกป้องเขาไปตลอดไม่ได้เช่นกันให้เขาเผชิญกับความลำบากเสียบ้าง จะได้รู้ว่ายุทธภพนี้น่ากลัวมากเพียงใดอย่างไรเสีย สุดท้ายเขาก็ต้องเผชิญกับโลกใบนี้ด้วยตัวเองในสักวัน” อวี้เหิงราวกำลังทอดถอนใจน้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความขมขื่นซึ่งพบเห็นได้ไม่บ่อยนัก
ฉู่ซีฟงราวจะรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างเขาเบิกตากว้าง แล้วมองไปยังอวี้เหิง จากนั้นจึงกล่าวถามราวไม่มั่นใจ “ท่านผู้ดูแล ท่าน...”
ทว่าอวี้เหิงกลับส่ายหน้าแล้วพูดขัดประโยคที่ฉู่ซีฟงกำลังจะพูดออกมา
“สักวันทุกคนก็ต้องสิ้นอายุลงสรรพสิ่งในโลก ไม่ว่าจะเป็อ๋อง โหว ชนชั้นสูง หรือสามัญชนและขอทานไม่ว่าใครก็หนีวันนั้นไม่พ้นอยู่แล้ว ข้าทำได้เพียงพยายามอดทนต่อไปให้นานที่สุดปกป้องเขาให้ได้นานเท่าที่จะทำได้เท่านั้น”
ฉู่ซีฟงนิ่งเงียบไป เขาก้มหน้าลงต่ำไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“จริงสิจัดการเื่นังหนูกู่เซี่ยนจวินเสร็จรึยัง?” จู่ๆอวี้เหิงก็กล่าวถามขึ้น เขายังคงมีท่าทางง่วงซึมไม่เปลี่ยนไปราวกับว่าสิ่งที่พูดออกมาเมื่อครู่ไม่ใช่เื่ของตัวเองเช่นนั้น
ฉู่ซีฟงพยายามทำให้ตัวเองกลับมาสงบลงอีกครั้งแต่ริมฝีปากที่สั่นน้อยๆ ขณะพูดของเขาก็ยังเผยให้เห็นอยู่ดีว่าหัวใจของเขาไม่สงบเลยสักนิด “อืม ข้าให้นางเข้าพักในห้องข้างๆซูฉางอันเรียบร้อยแล้ว”
ในที่สุดอวี้เหิงก็ประกายความรู้สึกอื่นนอกจากความง่วงขึ้นมาทางสีหน้าเสียทีเขาพูดระคนหยอกล้อขึ้น “เ้าหนุ่มนั่นน่ะเื่อื่นไม่ได้เื่สักอย่าง แต่มีโชคเื่ผู้หญิงอยู่ไม่น้อยเลย”
“แต่...” ดูเหมือนฉู่ซีฟงจะลังเลเล็กน้อย เขาทำท่าราวจะพูดอะไรออกมาแต่ก็หยุดเอาไว้เพียงเท่านั้น
“ซีฟง มีอะไรก็พูดออกมาเถอะ”
“อย่างไรเสีย กู่เซี่ยนจวินก็เป็คนของตระกูลกู่รับเข้ามาในสำนักเทียนหลานเช่นนี้ มหาจักรพรรดิอาจไม่พอใจได้”
“นังหนูกู่เซี่ยนจวินไม่เหมือนที่เ้าคิดเอาไว้หรอกนะ” อวี้เหิงชะงักนิ่งไปราวกำลังคิดอะไรบางอย่าง สักพักจึงพูดขึ้นอีกครั้ง “นาง... สำคัญกับฉางอันมาก”
“สำคัญมากหรือขอรับ?” ฉู่ซีฟงไม่เข้าใจสักเท่าไหร่
“อืม สำคัญมาก” อวี้เหิงพยักหน้าตอบ หลังพูดจบเขาก็นิ่งเงียบไป ดวงตาคู่นั้นหรี่เล็กจนกลายเป็เส้นตรงเหลือช่องว่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ฉู่ซีฟงรู้ดีว่าอวี้เหิงไม่มีทางพูดอะไรเพิ่มแน่เขากล่าวอำลาเบาๆ แล้วออกไปจากห้องของอวี้เหิงในที่สุด
เมื่อเดินไปหยุดอยู่ในพื้นที่โล่งกว้างนอกห้องก็เป็เวลาค่ำคืนแล้ว
ต้นไม้ที่สูงประมาณฟุตถึงสองฟุตหน้าหออวี้เหิงเอนเอียงไปตามแรงลมราตรีในเดือนสามของเมืองฉางอันใบไม้กระทบกันจนเกิดเสียงดังภายใต้แสงอันน้อยนิดจากดวงดาวอาจเป็เพราะสำนักเทียนหลานในตอนนี้เงียบเหงาเกินไปดังนั้นแม้เสียงนั้นจะไม่ได้ดังอะไร แต่มันก็ลอยมากระทบหูได้อย่างชัดเจนผนังของหอต่างๆ รอบด้านแลดูกระดำกระด่างไปเล็กน้อยคล้ายว่าไม่ได้รับการทำความสะอาดมานานแล้ว
เขาสติหลุดลอยออกไปเล็กน้อย จู่ๆก็คิดถึงเื่ราวเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ได้เจอกับมั่วทิงอวี่เป็ครั้งแรกที่นี่
ในตอนนั้น สำนักเทียนหลานมีดาวส่องประกายมากถึงเจ็ดดวงทุกคนในใต้หล้ายกย่องว่าสถานที่แห่งนี้เป็สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่าจะเป็นักสู้หรือนักพรตต่างก็ถือว่าการได้เข้าศึกษาในสำนักเทียนหลานเป็ความทรงเกียรติด้วยกันทั้งสิ้น
แต่ใครจะไปคิด ว่าเพียงสิบกว่าปีต่อมาที่แห่งนี้จะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้เสียได้
เขาถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้เมื่อแหงนหน้ามองหมู่ดาวบนท้องนภามองดาวทั้งเจ็ดที่เคยส่องให้สำนักเทียนหลานและเผ่ามนุษย์สว่างเจิดจ้าในอดีต
“เทียนจี เทียนเฉียน เทียนซูเทียนเสียน เหยากวง ไคหยาง”
เขาพูดชื่อเ่าั้ขึ้นในใจเงียบๆคนเดียว ราวกำลังนึกย้อนไปถึงอดีตบางอย่าง จากนั้นที่มุมปากก็ประกายรอยยิ้มบางๆออกมาในที่สุด
รู้สึกราวได้เห็นยุคที่รุ่งโรจน์นั้นอีกครั้ง...
ในตอนนั้น ดาวทั้งเจ็ดส่องประกายท้องฟ้าสว่างไสวราวกับกลางวัน
เทียนซูช่ำชองการรบ เทียนเฉียนปราดเปรื่องเื่ดาบ
เผ่าหมานในตะวันตกไม่กล้ากล้ำกรายปีศาจในดินแดนทางเหนือไม่กล้าลบหลู่
แผ่นดินต้าเว่ยในตอนนั้นรุ่งโรจน์และสงบสุขถึงปานนั้น