ณ ห้องโถงใหญ่ จวนสกุลกู่
หลังจากที่กู่ไห่ได้นำของเซ่นไหว้ ไปวางที่สุสานของภรรยาแล้ว ก็กลับมายังจวนด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า รอบกายปกคลุมไปด้วยบรรยากาศอันน่าพรั่นพรึง เขาสวมชุดผ้าไหม และเอาแต่นั่งอยู่ในห้องโถงเป็เวลานาน
ที่ด้านข้างทั้งสองฝั่ง มีร่างของกู่ฉินและกู่ฮั่น เกาเซียนจือ ฮวางบู ซ่างกวนเหิน และเฉินเทียนซานประกบอยู่
กู่ไห่ดื่มชาในแก้ว พลางฟังสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเฉินเทียนซาน ก่อนขมวดคิ้วแน่น
“ตอนแรกที่พวกเ้าไปถึงสำนัก ก็ถูกศิษย์ชิงเหอล่อไปยังหุบเขาแห่งหนึ่ง ก่อนถูกศิษย์ทั้งของชิงเหอและซ่งเจี่ยล้อมโจมตี อีกทั้งคนของเรา ยังโดนสังหารไปสิบห้าคน อย่างนั้นหรือ?” กู่ไห่ดื่มชาในมือ แล้วจึงเอ่ยเสียงต่ำ
“ใช่ขอรับ! พวกเราาเ็ไปมากถึงสามร้อยคน แถมยังถูกไล่ล่าตลอดทางที่หนีมา ระหว่างทาง เราสามารถจับศิษย์สำนักชิงเหอได้คนหนึ่ง จึงรีดเอาความมาได้ ว่าก่อนที่จะไปยังพรรคต้าเฟิง ก็ได้มีการวางแผนที่จะทำลายสำนักชิงเหอแล้ว
ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าหัวหน้าสำนักอยู่ที่ใด และเป็อย่างไรกันบ้าง ทั้งท่านถังจู่ก็ยังถูกจับกุมตัวไปเช่นกัน” เฉินเทียนซานกล่าว ด้วยความหดหู่ใจ
“แล้วคนที่จับได้ล่ะ?” กู่ไห่ถาม
“ข้ายังไม่ได้สังหารเขา และนำตัวกลับมาด้วยขอรับ นายท่านโปรดรอสักครู่” เอ่ยจบ เฉินเทียนซานก็รีบวิ่งออกจากห้องโถงทันที
ไม่นาน ชายชุดเขียวคนหนึ่ง ก็ถูกคนโฉดหลายคนพาตัวเข้ามาในห้องโถงใหญ่
“ปล่อยข้าไปเถอะ! อาจารย์อา… ข้าเองก็ถูกบีบบังคับเช่นกัน” ชายชุดเขียวร้องขอความเมตตาต่อเฉินเทียนซาน ที่ยืนห่างออกไป
กู่ไห่หรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วหันไปมองซ่างกวนเหิน
ซ่างกวนเหินพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนเดินตรงไปที่ชายชุดเขียว ดวงตาหรี่ลง พลางยื่นมือไปวางบนศีรษะของชายตรงหน้า
ฟู่!
ทันใดนั้น ไอพลังชี่สีแดงจำนวนมาก ก็พุ่งออกจากร่างชายคนนั้น ดวงตาของชายชุดเขียว พลันเปลี่ยนเป็สีแดงเข้ม
ฟึ่บ!
เส้นผมยาวของเขากลายเป็งูตัวเล็กๆ
“อ๊าก!” ท่าทีของคนโฉดที่กุมตัวเขามา พลันเปลี่ยนไป เกือบจะปล่อยร่างที่ตนจับกุมอยู่ ด้วยความใ
ปัง!
ซ่างกวนเหินเพ่งจิตที่อยู่ตรงหว่างคิ้วของเขา ทันใดนั้นร่างกายของชายชุดเขียวก็สั่นสะท้าน หัวอสรพิษตัวน้อยทั้งหลายจึงค่อยๆ อ่อนกำลังลง
“เกิดอะไรขึ้น? บนศีรษะของเขา มันคืออะไรกัน?” เฉินเทียนซานเอ่ยถามด้วยความสงสัยระคนหวาดกลัว
“คนผู้นี้รู้ว่าแม้จะแปลงร่าง ตนก็คงหนีไม่พ้น ดังนั้นจึงพยายามปิดบังพลังเอาไว้... หึ!” ซ่างกวนเหินกล่าว พลางยิ้มเยาะ
“ดูเหมือนว่า ไม่เพียงแต่อาจารย์อาไป๋เท่านั้นที่ถูกอสูรสิงร่าง แต่ที่สํานักซ่งเจี่ย คงจะมีผู้คนมากมายโดนสิง จนกลายเป็คนละคน แม้แต่ผู้นำสูงสุดก็เช่นกัน” ฮวางบูเอ่ยอย่างกังวล
“พวกเ้าถูกเปลี่ยนให้เป็อสูรได้อย่างไร? มีใครโดนสิงอีกบ้าง?” เกาเซียนจือกลับถามตรงๆ
“ข้า... ข้า... ข้า...” ชายคนนั้นเหลือบมองทุกคน ด้วยความหวาดหวั่น
“หากไม่บอก... ตาย!” เกาเซียนจือกล่าวเสียงเ็า
“บอกแล้วๆ... แต่ข้าก็ไม่รู้อะไรมากนัก ตอนนั้นอาจารย์้าจะขอความช่วยเหลือ จึงพาพวกเราไปยังสํานักซ่งเจี่ย ขณะนั้นข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่จู่ๆ ก็สลบไป
พอฟื้นขึ้นมา พบว่าร่างกายเปลี่ยนไป ข้าเปลี่ยนร่างได้ จึงหวนกลับไปไม่ได้อีกแล้ว” ชายคนนั้นเอ่ย เสียงสั่นอย่างหวาดผวา
“ถูกเปลี่ยนร่างในสำนักซ่งเจี่ยอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้น อสูรใหญ่ตนนั้นน่าจะอยู่ในสำนักซ่งเจี่ย!” ซ่างกวนเหินเอ่ย พร้อมขมวดคิ้วแน่น
“ต่อให้มีเื่อะไร หากรวมพลังกัน สำนักชิงเหอก็ไม่มีทางเสียท่าแน่ ท่านหัวหน้าสำนักไม่ได้ต่อต้านเลยหรือ?” เฉินเทียนซานถลึงตาถาม
“ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด วันนั้นอาจารย์ได้พาชายชุดดำคนหนึ่ง เข้าไปในค่ายกลป้องกันูเาของสำนักชิงเหอ จากนั้นเขาก็วางยาพิษท่านหัวหน้าสำนักและอาจารย์ลุง ทุกคนในหออี้ผินก็โดนด้วยเช่นกัน
ในคราแรก พวกเขาก็ยังไม่รับรู้ถึงความผิดปกติ จนกระทั่งชายชุดดำสะบัดแขนเสื้อ หมอกสีแดงพลันปกคลุมไปทั่วทั้งสำนัก ทุกคนล้วนถูกพิษเล่นงาน” ชายคนนั้นเอ่ย
“ท่านหัวหน้าสำนักชิงเหอ และท่านถังจู่แห่งหออี้ผิน ก็ถูกจับอย่างนั้นหรือ? ตอนนี้อยู่ในความดูแลของสำนักชิงเหอ? แล้วไต้ซือหลิวเหนียนล่ะ?” กู่ไห่เอ่ยถามเสียงต่ำ
คนอื่นๆ อาจไม่รู้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น แต่ไต้ซือหลิวเหนียนผู้นั้นมิใช่คนประมาท กู่ไห่รู้ว่าเขาไม่เคยพลาดมาก่อน
“ข้าไม่รู้! ไต้ซือหลิวเหนียนมิได้อยู่ที่สำนัก ไม่รู้ว่าหายไปไหน ตอนนี้ศิษย์ของสำนักชิงเหอก็ยังถูกคุมขังอยู่” ชายคนนั้นเอ่ยเสียงแ่
“ไต้ซือหลิวเหนียนหลบหนีไปได้หรือ?” กู่ไห่ถามเสียงต่ำ
“เมื่อครู่ เ้าบอกว่าศิษย์สำนักชิงเหอยังมีชีวิตอยู่ อย่างนั้นหรือ?” ดวงตาของเฉินเทียนซานเป็ประกาย
ชายคนนั้นก้มหน้างุด ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองอีกฝ่าย
“พูดสิ!” เฉินเทียนซานถลึงตา
“ศิษย์ส่วนใหญ่ตายไปแล้ว ถ้าพวกเขาไม่สามารถจับตัวไต้ซือหลิวเหนียนได้ ก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ ดังนั้น...” ชายคนนั้นพูดเสียงเบา
“พวกเขาทั้งหมดจึงถูกสังหารหรือ?” เฉินเทียนซานทรุดตัวลงอย่างหมดแรง
“ไม่ทั้งหมดขอรับ!” ชายคนนั้นตอบ
ซ่างกวนเหินหรี่ตาลง “ฆ่าหรือกินกันแน่?”
“อะไรนะ?” เฉินเทียนซานที่อยู่ด้านข้าง พลันเบิกตากว้าง... หมายความว่าอย่างไร?
กินหรือ?
ชายคนนั้นก้มศีรษะ ไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก
“หัวหน้าซ่างกวนเหิน เ้าหมายความว่าอย่างไร? กินอะไร?” เฉินเทียนซานถลึงตาใส่
“ข้าจะอธิบายให้ฟังทีหลัง” ซ่างกวนเหินมองชายชุดสีเขียวอีกครั้ง
“แล้วท่านถังจู่แห่งหออี้ผินล่ะ? พวกเขาจับตัวนางไปเพื่ออะไร?”
“ข้าก็ไม่รู้! แต่ท่านถังจู่แห่งหออี้ผิน ถูกชายชุดดำคนนั้นส่งตัวไปสำนักซ่งเจี่ย แล้วเขาก็อยู่ต่อ เพื่อสอบปากคำท่านหัวหน้าสำนักชิงเหอ” ชายคนนั้นกล่าว
“ชายชุดดำ? เ้าหัวหน้าอสูรนั่น!” กู่ไห่เอ่ยขึ้นทันที มือใหญ่พลันทุบไปบนโต๊ะที่อยู่ตรงหน้า
“พ่อบุญธรรม ก่อนหน้านี้ พวกเขาก็ส่งคนมาที่นี่ หมายจะจับพวกเราสองคนไป เพื่อข่มขู่พ่อบุญธรรม ครั้งนี้ยังโจมตีหัวหน้าเฉินและพวกอีก
ไม่นาน ต้องบุกมาที่นี่แน่ พวกเขา้าที่จะจับกุมพ่อบุญธรรม มิใช่เพียงเพื่อล้างแค้นให้พรรคต้าเฟิง แต่ยังเพื่อปกปิดความลับของตนด้วย” กู่ฮั่นกล่าว พลางขมวดคิ้วแน่น
“ไม่จำเป็ต้องมา เพราะข้าจะเป็ฝ่ายไปหาพวกมันเอง” กู่ไห่กล่าวเสียงต่ำ
“ท่านหัวหน้าสังกัดกู่ ข้าบอกทุกอย่างที่ท่าน้าแล้ว อีกทั้งทุกสิ่งที่ข้าทำ ก็เป็เพราะถูกบังคับ วันหน้าข้าจะเป็คนดี ได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะ” ชายคนนั้นคุกเข่าอ้อนวอนอย่างกลัวตาย
ฉึกๆ!
จู่ๆ ซ่างกวนเหินที่ยืนเงียบอยู่ด้านข้าง ก็ก้าวไปข้างหน้า และเจาะเข้าที่หว่างคิ้วของเขา
“เ้า!” ชายคนนั้นร้อง ก่อนแน่นิ่งไป
“ลากมันไปเผา!” ซ่างกวนเหินสั่งเสียงต่ำ
“ขอรับ!” คนโฉดเมื่อได้ยินเช่นนั้น จึงลากร่างของอสูรครึ่งมนุษย์ตรงหน้าออกไปข้างนอก
“หัวหน้าซ่างกวนเหิน บางที...” เฉินเทียนซานแย้งทันที ไม่อาจทนดูต่อไปได้
“หัวหน้าเฉิน อย่าไปฟังคำล่อลวงของเขาเลย หลังจากกลายเป็อสูรแล้ว ก็ไม่อาจหวนคืนได้อีก ไม่ช้าก็เร็วเขาต้องกินคนแน่” ซ่างกวนเหินเอ่ย น้ำเสียงจริงจัง
“กินคน? เ้าหมายความว่าอย่างไร?” เฉินเทียนซานเบิกตากว้างอย่างตระหนก
“หลังจากที่ถูกอสูรสิงร่างแล้ว ก็จะทำให้ผู้ที่ถูกสิง มีสัญชาตญาณบางอย่างขึ้น นั่นก็คือจะกระหายเืเนืุ้์ ข้าเคยเห็นคนที่ถูกอสูรค้างคาวทำให้กลายเป็อสูรมาก่อน
พวกเขาจะกระหายเืมนุษย์มาก จนไม่อาจควบคุมได้ อสูรประเภทนั้นถูกเรียกว่าผีดิบ ครึ่งมนุษย์ครึ่งอสูร เพราะถูก์ทอดทิ้งจึงต้องดำรงชีพด้วยการดื่มเืมนุษย์ สภาพของพวกเขาในตอนนี้ ถือว่าเป็อสูรไปแล้ว
และคนที่อยู่ตรงหน้าเ้า ก็คือคนที่ถูกอสูรอสรพิษทำให้กลายเป็อสูร พวกเขาต้องกินหัวใจมนุษย์เพื่อเพิ่มพลัง อย่าได้หลงเชื่อคำพูดเขา เมื่อเห็นหัวใจมนุษย์ เขาจะกระโจนเข้าใส่ในทันที เช่นนี้แล้ว เ้าคิดว่าเราควรจะปล่อยเขาไปอีกอย่างนั้นหรือ?” ซ่างกวนเหินอธิบาย
“กินคน? แต่ถึงอย่างไร เขาก็เป็ศิษย์สำนักชิงเหอของข้า...” เฉินเทียนซานเบิกตากว้างอย่างตื่นตะลึง เมื่อได้ฟังคำอธิบายของอีกฝ่าย
“หัวใจของมนุษย์ คือสิ่งที่ช่วยเพิ่มพลังของพวกเขา” ซ่างกวนเหินเสริม
เฉินเทียนซานขนหัวลุกขึ้นมาทันที มองไปยังทิศที่เ้าสัตว์ประหลาดเพิ่งถูกลากออกไป พลันรู้สึกสยดสยองเกินทน
“อสูรกินคนนั่น ถือเป็สิ่งที่เลวร้ายนัก คนกินคนเป็เพียงเื่หลอกลวง เพราะผู้ที่ทำเช่นนั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับอสูร สำหรับอสูรตนนี้ ข้าต้องฆ่ามันให้ได้!” ซ่างกวนเหินเอ่ย เสียงหนักแน่น
“นายท่าน ศิษย์กลุ่มนั้นคงจะไม่บุกเข้ามาในเร็ววันนี้หรอกกระมัง? ถึงอย่างไร สำหรับค่ายกลใหญ่ของนายท่าน ผู้คนต่างก็ทราบดีว่ามันอันตรายแค่ไหน ผู้ฝึกตนที่ระดับพลังต่ำกว่าหยวนอิง ก็ไม่อาจเข้ามาได้ มิใช่หรือ?” เกาเซียนจือถาม พลางมองไปยังกู่ไห่
กู่ฉินที่ยืนอยู่ด้านข้าง แสดงสีหน้ากังวลออกมา เพราะมีเพียงกู่ฉินเท่านั้น ที่รู้ว่าค่ายกลขนาดใหญ่นอกคฤหาสน์โบราณ เป็เพียงค่ายกลอันว่างเปล่าเท่านั้น
“กู่ฉิน” กู่ไห่เรียกเสียงต่ำ
“ขอรับ!” กู่ฉินตอบทันที
“เอาบัตรเชิญมาสักใบ” กู่ไห่เอ่ยเสียงเรียบ
“ขอรับ!” กู่ฉินเดินออกจากห้องโถงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลับมาพร้อมบัตรเชิญใบหนึ่ง
กู่ฮั่นเองก็รีบไปเตรียมพู่กันและหมึกดำ
กู่ไห่ยกพู่กันขึ้น บรรจงเขียนคำว่า ‘สาส์นท้ารบ’ ไว้ที่ด้านนอกของบัตรเชิญ ก่อนจะเปิดกระดาษออก เพื่อเขียนเนื้อหาด้านใน
“ผู้กระทำผิดต่อท่านถังจู่และหออี้ผิน ทุกคนต้องถูกลงโทษ!
ในเร็ววันนี้ ข้าจะนำศิษย์หออี้ผินจำนวนสามพันหนึ่งร้อยคน ไปยังสำนักชิงเหอ เพื่อต่อสู้ชี้เป็ตายกับท่าน
หออี้ผิน หัวหน้าสังกัดวารี กู่ไห่”
ฟู่!
เขาเป่าเบาๆ บนกระดาษ เพื่อให้หมึกแห้งสนิท
พั่บ!
กู่ไห่ปิดสาส์นท้ารบของตนอย่างประณีต
ทุกคนต่างมองดูการกระทำของเขา แต่กลับไม่มีใครเอ่ยวาจา
“กู่ฮั่น” กู่ไห่เรียก
“ขอรับ!”
“เ้ารู้หรือไม่ว่าศิษย์ของสำนักซ่งเจี่ยอยู่ที่ใด?” กู่ไห่ถาม พลางมองไปยังกู่ฮั่น
“พ่อบุญธรรมโปรดวางใจ ภายในด่านหู่เหลาแห่งนี้ล้วนเป็คนของพวกข้า ผู้ฝึกตนที่พักอยู่ในโรงเตี๊ยมโดยรอบ รายงานมาว่า มีคนจากสำนักซ่งเจี่ยสามคนถูกส่งมา เพื่อสอดแนมจวนสกุลกู่ของเรา” กู่ฮั่นพยักหน้า พลางตอบ
“มอบสาส์นท้ารบนี่ แก่ศิษย์สำนักซ่งเจี่ย ให้พวกเขาส่งต่อไปยังหัวหน้าสำนัก” กู่ไห่สั่งเสียงเรียบ
“ขอรับ!” กู่ฮั่นรับมาอย่างระมัดระวัง แล้วรีบออกจากห้องโถง ไปจัดการตามที่ผู้เป็บิดาบัญชาทันที
“นายท่าน พวกเราจะไปสำนักชิงเหอจริงๆ หรือ? จะไปกันเมื่อใด?” เฉินเทียนซานถามอย่างร้อนรน
แม้ว่าสำนักชิงเหอจะถูกทำลายไปแล้ว แต่หัวหน้าสำนักยังมีชีวิตอยู่ และถูกขังไว้ ความแค้นของเขาที่มีต่อสำนักซ่งเจี่ยนั้น ทำให้เฉินเทียนซานเกลียดชังอีกฝ่ายเป็ที่สุด
“พวกเราจะไม่ไปสำนักชิงเหอ” กู่ไห่กล่าวเสียงเรียบ
“หา?”
“แต่เราจะเดินทางไปยังสำนักซ่งเจี่ย” กู่ไห่บอก
“สำนักซ่งเจี่ย?”
“ใช่แล้ว! ข้าเขียนสาส์นท้ารบนี้ เพื่อทำให้เหล่าศิษย์จากสำนักซ่งเจี่ยเ่าั้หวั่นเกรง จะได้ไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม ตอนนี้เราต้องซื้อเวลาไปก่อน และต้องช่วยหลงหว่านชิงออกมาให้ได้” กู่ไห่เอ่ยเสียงต่ำ
“ขอรับ!” เฉินเทียนซานทำได้เพียงตอบรับเท่านั้น
“การต่อสู้ของเฉินซ่ง ข้าช่วยเฉินหลียงอี้ไว้มาก คิดว่าเขาจะเชื่อฟังข้าหรือไม่?” กู่ไห่มองเฉินเทียนซาน
“แน่นอน! แคว้นเฉินนี้ เป็เพราะข้า เขาจึงได้ขึ้นครองบัลลังก์ แต่เ้าเด็กนั่นกลับไม่เชื่อฟังข้า” เฉินเทียนซานกล่าว พลางถลึงตาด้วยความโมโห
“หากเชื่อฟังก็ดี ส่งจดหมายถึงเขา บอกให้เตรียมราชโองการเปล่าหนึ่งร้อยชุด แต่ต้องประทับตราทั้งหมด แล้วส่งมาให้ข้าโดยเร็วที่สุด!” กู่ไห่กล่าวเสียงต่ำ
“ราชโองการเปล่าร้อยชุด ที่ประทับตราฮ่องเต้?” เฉินเทียนซานกล่าวอย่างงุนงง
“ข้าจะเข้าควบคุมแคว้นเฉินชั่วคราว ใช้ราชโองการเพื่อสั่งการใต้หล้า เนื้อหาราชโองการ ข้าจะเป็ผู้เขียนเอง... รีบไป!” กู่ไห่สั่ง
“อา... ขอรับ!” เฉินเทียนซานตอบรับ ก่อนเร่งรุดออกจากห้องโถง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้