หอกระสาเยี่ยมเยือนตั้งอยู่บนถนนใหญ่ ประตูด้านหน้าร้านคึกคักเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก
แม้เป็ฤดูหนาวที่หนาวเหน็บ ผู้คนบนถนนก็ยังคงสัญจรไปมาขวักไขว่
มีร้านค้ามากมายตั้งอยู่สองข้างทางของถนนใหญ่ ใต้ชายคาหอมีสีสันสวยสดใส ป้ายแต่ละร้านสะบัดลู่ไปตามแรงลม
‘กุบกับๆ’ รถม้ากำลังขับเคลื่อนอยู่บนถนนอิฐสีฟ้า เกิดเสียงะโร้องเรียกลูกค้าจากพ่อค้ามากมาย เสียงสนทนาของผู้สัญจรไปมาและเสียงร้องของม้าปะปนกันไป ภาพถนนเมืองหลวงอันแสนเจริญรุ่งเรือง ดั่งภาพเงาที่ปรากฏเลื่อนผ่านไปทีละฉากตรงหน้า
เจินจูคล้ายกับเอาตัวเองเข้ามาอยู่ในม้วนภาพโบราณที่งดงาม
รู้สึกได้ว่าตนเองเหมือนคนนอก ที่ใช้ฐานะของแขกมาท่องเที่ยวชมภาพผู้คนและถนนที่เต็มไปด้วยสีสันสลับไปมาช่างงดงามยิ่งนัก แต่นางกลับไม่รู้เลยว่าตัวนางเองก็รวมเป็หนึ่งในสถานะที่คึกคักนี้ด้วย
“ว้าว! หอนั้นสูงจริงๆ หนึ่ง สอง สาม… มีตั้งห้าชั้นเลยหรือนี่ สูงกว่าหอที่รัฐโจวของพวกเราตั้งสองชั้น ช่างโอ่อ่าและยิ่งใหญ่นัก” ผิงอันออกมานั่งอยู่ข้างหลิวอี้ และชื่นชมความคึกคักนี้อยู่นานแล้ว
“แหะๆ คุณชายหู หอที่สูงที่สุดของเมืองหลวงอยู่ในวังขอรับ เป็หอเลี่ยวว่างที่ไว้เฝ้ามองจากที่สูงและไกลมีจำนวนเก้าชั้น เป็ที่ไว้สำหรับชื่นชมท้องนภาและเฝ้ามองปรากฎการณ์ต่างๆ ว่ากันว่าหากยืนอยู่บนจุดที่สูงที่สุดจะสามารถเห็นทั่วทั้งเมืองหลวงสะท้อนอยู่ในดวงตาได้เลยขอรับ” หลิวอี้หัวเราะและเผยแพร่เขตทิวทัศน์ที่มีชื่อเสียงของเมืองหลวงให้ผิงอันฟัง
“โอ้ว หอเก้าชั้น เช่นนั้นคงสูงมากเลยสินะ หากข้าขึ้นไปได้สักครั้งคงจะดียิ่งนัก” ผิงอันดวงตาผุดแววประกายระยิบระยับ เต็มไปด้วยความใฝ่ฝัน
“ฮ่าๆ คุณชายหู ที่นั่นไม่ใช่ที่ที่คนธรรมดาจะสามารถขึ้นไปได้หรอกขอรับ” หลิวอี้ส่ายหน้า
“เช่นนั้นก็น่าเสียดายจริงๆ มันไม่เปิดรับคนภายนอกเลยงั้นหรือ?” ผิงอันทอดถอนใจ
“เหมือนจะไม่เคยได้ยินนะขอรับ” หลิวอี้กล่าวตอบ
ขณะที่กล่าวเขาก็ดึงเชือกบังคับม้าไว้
ผิงอันเงยหน้าขึ้น พบตัวอักษรสลักสีทองตัวใหญ่อยู่บนแผ่นป้ายร้าน ‘กระสาเยี่ยมเยือน’
เป็เวลายามอู่พอดี ภายในโถงใหญ่มีผู้คนจอแจ ลูกจ้างะโกล่าวรายการอาหาร แขกผู้มาเยือนพูดคุยกันเสียงดังสนุกสนานเต็มที่
เจินจูลงจากรถม้าโดยมีผิงอันคอยประคอง
หลิวอี้มอบรถม้าให้ผู้คุ้มกันที่ติดตามมา แล้วนำทางพวกนางเข้าไปในโถงใหญ่
ในโถงใหญ่ที่เดิมทีส่งเสียงวุ่นวายจอแจ จู่ๆ ก็เริ่มเงียบเสียงลงเรื่อยๆ
หญิงสาวงดงามไร้ผู้ใดเทียมเทียบสวมเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกสีขาวงาช้างค่อยๆ เดินเข้ามาภายในห้องโถงใหญ่ นางยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ ด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงามและท่าทีที่สงบนิ่ง บุคลิกท่าทางดูสุขุมไม่หยิ่งผยอง
ดวงหน้าสุขสงบ ลักษณะใจเย็น ลูกตาสีดำดูฉลาดเปล่งประกายคล้ายกลุ่มดาวในยามค่ำคืน ไม่มีการปั้นแต่งและความขลาดกลัวเลยสักนิด
ยามที่เจินจูจะออกมาข้างนอก เยว่อิงตั้งใจแปรงผมมวยวงระย้าห้อยให้นางเป็พิเศษ อีกทั้งบนมวยผมยังปักปิ่นผลึกหินสีชมพูห้อยพู่ผีเสื้อ และใบหูได้ติดต่างหูผลึกหินชุดเดียวกันไว้ด้วย
เมื่อแต่งกายออกมาเช่นนี้ จึงขับให้นางโดดเด่นประหนึ่งสาวงามที่สูงศักดิ์ สดใสอย่างยิ่ง
นางลืมตัวไปว่าควรสวมผ้าคลุมหน้าออกมา
หลังจากภายในห้องโถงเงียบลงก็เริ่มมีเสียงกระซิบบางเบา ทยอยกันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้น... นี่เป็บุตรสาวคนงามจากจวนไหน ถึงได้มีรูปโฉมงดงามสะโอดสะองเช่นนี้
ผิงอันมองไปบริเวณโดยรอบอย่างตื่นตัว เขายืนอยู่ข้างหน้าเจินจู เพื่อ้าปิดบังสายตาของผู้คนให้นาง
เจินจูรู้สึกอบอุ่นอยู่ข้างใน กำลังคิดจะลูบศีรษะเล็กๆ ของเขา
ทว่าเขากลับโบกมือไปข้างหน้าอย่างกะทันหัน “องครักษ์เฉิน!”
เฉินเผิงเฟยกำลังเดินลงมาจาก้า เมื่อเห็นพวกนางก็รีบสาวเท้าเข้ามาแสดงความเคารพทันที
“เมื่อครู่ข้าเพิ่งเดินไปจากตรงนี้ได้สักพัก พวกท่านก็มาถึงเสียแล้ว เชิญท่านด้านนี้เลย คุณชายรออยู่ที่ชั้นสามแล้ว”
เขาร่างกายสูงใหญ่และแข็งแรงบึกบึน แผ่รังสีดุดันออกมาภายนอก ทำให้ผู้คนที่กำลังซุบซิบวิจารณ์ไม่หยุดจำนวนหนึ่งสะดุ้งใกลัว ผู้ที่สามารถเชิญองครักษ์ที่มีวรยุทธ์สูงฝีมือไม่ธรรมดาเช่นนี้ได้ ผู้ใดยังจะกล้ายั่วยุ
คนกลุ่มหนึ่งเดินขึ้นไปบนชั้นสาม ผิงอันและเฉินเผิงเฟยพูดคุยกันไม่หยุดปาก
“องครักษ์เฉิน หอที่ท่านเคยขึ้นไปสูงที่สุดคือที่ไหนหรือขอรับ?”
“…อืม เป็วัดของทางใต้ มีเจดีย์เชียนเฟิงอยู่แห่งหนึ่ง สูงถึงสิบเอ็ดชั้นเลย”
“ว้าว เช่นนั้นไม่ใช่ว่าสูงกว่าหอเลี่ยวว่างของในวังหรือขอรับ?”
“…ข้าไม่แน่ใจนัก หอเลี่ยวว่างในวังค่อนข้างสูงใหญ่และกว้างขวาง ส่วนเจดีย์เชียนเฟิงแต่ละชั้นไม่ได้สูงเพียงนั้น”
“โอ้ มีความแตกต่างกันเช่นนี้ด้วย”
“…”
่ระยะทางที่เดินไปอันสั้น ผิงอันล้วนตื่นเต้นดีใจจนดูมีชีวิตชีวาน่าเอ็นดู
เมื่อดันประตูห้องส่วนตัวเปิดออก กู้ฉียืนขึ้นเพื่อต้อนรับพวกเขา
“พี่ชายกู้อู่” ใบหน้าเจินจูปรากฏรอยยิ้มจริงใจขึ้น
รู้จักกับเขามานานหลายปี เขาจึงเหมือนสหายเก่าก็ไม่ปาน
กู้ฉีตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ถูกการแต่งกายแต่งผมอันงดงามของนางทำให้ประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด เขารู้ว่านางงดงามมาโดยตลอด แต่พอแต่งกายขึ้นมาเล็กน้อยเช่นนี้ นางกลับเปล่งประกายแวววาวยิ่งขึ้นไปอีก
ในดวงตาของเขาปรากฏความสลับซับซ้อนวาบผ่าน และมุมปากก็เริ่มยกยิ้มขึ้นใหม่อีกครั้ง
หลังร้องทักให้พวกนางนั่งลง เขาก็ให้เฉินเผิงเฟยเรียกลูกจ้างร้านขึ้นมา นี่ก็เป็เวลาอาหารเที่ยงพอดี กู้ฉีจึงให้พี่น้องสกุลหูสั่งอาหารมารับประทาน
เจินจูเป็คนง่ายๆ อย่างมาก นางไม่เลือกรับประทาน จึงให้ผิงอันสั่งเอาเอง
หลังผิงอันสั่งอาหารตามป้ายสองสามอย่างแล้วก็รออย่างสงบแต่โดยดี
กู้ฉีสั่งเพิ่มอีกเล็กน้อย หลังจากนั้นลูกจ้างร้านก็ลงไปเตรียมอาหาร
“พวกเ้าจะไปพรุ่งนี้แล้วหรือ? รีบร้อนเกินไปหรือไม่? สิ่งของที่จะใช้เดินทางล้วนเตรียมพร้อมดีแล้วหรือยัง?”
ถือโอกาสตอนที่รออาหารขึ้นโต๊ะ กู้ฉีจึงถามขึ้น
“อื้ม พอเช้าพรุ่งนี้ก็จะออกเดินทางเลย หลัวจิ่งเตรียมไว้พร้อมหมดแล้ว”
เจินจูยิ้มและตอบกลับไป ปัญหาขององค์ไท่จื่อจัดการลงได้แล้ว จุดประสงค์ในการเข้าเมืองหลวงก็เสร็จสิ้น ไม่มีความรู้สึกกังวลเหมือนมีหนามทิ่มแทงอยู่ที่แผ่นหลัง จิตใจของทุกคนล้วนผ่อนคลายลงไปไม่น้อย
หลัวจิ่ง? ชายหนุ่มผู้นั้นอยู่ข้างกายนางตลอดเลย กู้ฉีเกิดความสับสนอยู่ในใจ เจินจูและผิงอันพึ่งพาอาศัยเขาอย่างมาก และเขาก็ลุกออกมาเสี่ยงเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อมาเป็เพื่อนนางตลอดทาง ความคิดของเขา…
กู้ฉีเงยหน้ามองหญิงสาวที่อยู่ตรงข้าม หน้าตาสะสวยดังจันทร์กระจ่างสุกสกาวบริสุทธิ์ ในอกมีความรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย
“ชีวิตที่เขาได้ประสบมาในอดีต เ้าล้วนรู้กระจ่างแจ้ง ทางราชสำนักยังไม่ประกาศพลิกคดีที่ตัดสินไปในเมื่อก่อนของพวกเขา เช่นนั้นเขายังต้องให้ความใส่ใจอยู่สักหน่อย ตลอดเส้นทางพวกเ้าต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มาก”
เจินจูยิ้มบางๆ “ขอบคุณพี่ชายกู้อู่ ผู้คุ้มกันของท่านทำงานเหมาะสมกับตำแหน่งยิ่งนัก”
รอยยิ้มของหญิงสาวสว่างไสวเป็พิเศษ สาดส่องจนดวงตาของกู้ฉีคลุมเครือเล็กน้อย หลังร่ำลากันในวันพรุ่งนี้ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้พบกันอีก
ความเงียบของเขาทำให้เจินจูรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เมื่อครั้งที่รู้จักเขา เขายังเป็เด็กหนุ่มหน้าตางามสง่าสูงศักดิ์ที่อ่อนแอมีโรคเฉพาะตัว ร่างกายเจ็บป่วยยืดเยื้อ แต่ยังคงออกมาท่องเที่ยวข้างนอกอย่างดื้อรั้น ั์ตาแฝงความเ็ปทรมานและไร้ความเพ้อฝันที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปในวันข้างหน้า ทำให้หัวใจของนางเต็มไปด้วยความสงสาร และยอมเสี่ยงที่ความลับของตัวเองจะถูกค้นพบ เพื่อช่วยรักษาเขาให้รอดพ้นจากขีดอันตราย
ในยามนี้ เขาได้เป็ชายหนุ่มวัยเยาว์แล้ว อีกทั้งร่างกายแข็งแรง ประสบความสำเร็จในการเล่าเรียน ได้ยินโหยวอวี่เวยกล่าวว่าเขาสอบผ่านย่วนซื่อนานแล้ว ปีหน้ากำลังจะลงสนามสอบเซียงซื่อด้วย
และยิ่งไปกว่านั้น ในปีหน้าก็จะตกลงเื่การแต่งงานกับโหยวอวี่เวย เริ่มต้นชีวิตการแต่งงาน คอยจัดการปัญหาครอบครัว แบกรับความรับผิดชอบที่เขาควรจะมีขึ้นไว้บนบ่า
เมื่อจากกันพรุ่งนี้ จำต้องลาก่อนตลอดกาล...
อาหารของหอกระสาเยี่ยมเยือนไม่เลวดังคาด แม้จิตใจข้างในของนางจะไม่ค่อยดีสักเท่าไร แต่ก็ยังทานได้อย่างเอร็ดอร่อย ยิ่งไม่ต้องกล่าวไปถึงผิงอันเลย
เขาตบพุงเล็กๆ ที่กลมดิกด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ
กู้ฉีเห็นดังนั้นอดหัวเราะขึ้นไม่ได้
“ข้าได้เตรียมของท้องถิ่นในเมืองหลวงจำนวนหนึ่งให้พวกเ้าด้วย ตอนนี้ได้วางไว้ที่เกวียนของพวกเ้าแล้ว พวกเ้ากลับไปก็ดูสักหน่อย หากยังขาดอะไรก็ให้หลิวอี้ไปซื้อ”
“ได้เลย พวกข้าทราบแล้ว ขอบคุณท่านยิ่งนัก” เจินจูรับคำ
กู้ฉีมองนาง คิดขึ้นมาได้เล็กน้อยจึงเริ่มเอ่ยปากเตือนขึ้น “…น้องสาวเจินจู ตอนนี้เสี่ยวเฮยอยู่ที่จวนกั๋วกงหรือไม่?”
“…อยู่นะ นอนอยู่ในห้อง” เจินจูชะงักไปเล็กน้อย
“ข่าวการสิ้นพระชนม์ขององค์ไท่จื่อยังไม่ประกาศต่อสาธารณะชน ส่วนหลักอาจเป็เพราะยังจับมือที่ลอบสังหารเขาไม่ได้ ข้าได้ข่าวมาว่าบนสันกำแพงบริเวณที่เกิดเหตุฆาตกรรมได้พบรอยเท้าของแมวและหนู ผู้ตรวจการศาลาว่าการเมืองหลวงฟางติ่งตั้งข้อสงสัยว่า เป็ผู้มีฝีมือบนโลกยุทธภพที่ควบคุมให้สัตว์ลงมือ ดังนั้นประตูเมืองในสองสามวันมานี้จึงคัดกรองอย่างเคร่งครัดนัก เมื่อพบสัตว์จำพวกสัตว์เลี้ยง ล้วนดำเนินการซักถามอย่างเข้มงวด อืม... ทางที่ดีที่สุดพวกเ้าควรให้เสี่ยวเฮยซ่อนตัวให้ปลอดภัยสักหน่อย”
กู้ฉีกล่าวด้วยความจริงจัง
ใบหน้าเล็กของผิงอันเปลี่ยนไปทันที อย่างไรเสียเขาก็ยังอายุน้อย เมื่อได้ฟังข่าวคราวนี้เข้าจึงไม่สามารถเยือกเย็นสงบนิ่งได้
“ขอบคุณการเตือนของพี่ชายกู้อู่ พวกข้ารับทราบแล้ว”
เจินจูกล่าวขอบคุณด้วยความระมัดระวัง สองสามวันมานี้เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวฮุยยังออกไปเล่นสนุกข้างนอกกันอยู่ทุกคืน เป็นางที่ประมาทเกินไปจริงๆ หากพวกมันถูกจับได้ นางจะไปช่วยพวกมันกลับมาได้อย่างไร ไอ๊หยา นางใจนเหงื่อเย็นเกือบผุดไหลออกมา คืนนี้ต้องบังคับพวกมัน จะให้พวกมันออกไปข้างนอกไม่ได้แล้ว
ส่วนการตรวจสอบของประตูเมืองในวันพรุ่งนี้ นางไม่ค่อยเป็กังวลสักเท่าไร ฮูหยินกั๋วกงกล่าวไว้แล้วว่าเช้าวันพรุ่งนี้ นายท่านกั๋วกงจะไปส่งพวกนางถึงศาลาสิบลี้ หากมีเจิ้นกั๋วกงคอยคุ้มกัน จุดตรวจคงไม่มีทางยากลำบากจนเกินไป
หากไม่ไหวจริงๆ ก็ให้พวกมันออกจากเมืองด้วยตัวเองตอนกลางดึก พอฟ้าสว่างแล้วค่อยมาหานาง
เจินจูไม่เป็กังวลว่าพวกมันจะหานางไม่พบ ความสามารถในการหาคนของพวกมันเหนือยิ่งกว่านางมากนัก
เป็ฝีมือพวกนางจริงด้วย! กู้ฉีรู้ได้จากปฏิกิริยาของพวกนาง ภายในใจของเขาวิจารณ์ขึ้น ความกล้าหาญของหญิงสาวผู้นี้มากเกินไปแล้วจริงๆ เพิ่งมาถึงเมืองหลวงได้ไม่กี่วัน ผู้คนไม่รู้จักสถานที่ไม่คุ้นเคยก็กล้าพาแมวตัวหนึ่งไปวางแผนเอาชีวิตขององค์ไท่จื่อแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือ นางยังทำสำเร็จอีกด้วย!
เป็นางโชคดีหรือมีความสามารถแข็งแกร่งกันแน่ เขาแยกแยะไม่ออก แต่ ยืนยันได้อยู่จุดหนึ่ง เป้าหมายการมาเมืองหลวงของนางคือเพื่อเอาชีวิตองค์ไท่จื่อ เนื่องจากหานเซี่ยนคุกคามความปลอดภัยในชีวิตของครอบครัวสกุลหูทั้งครอบครัว เหตุนี้จึงไปยั่วโทสะเส้นตายของนางเข้า
ในจดหมายของหลิวผิงกล่าวว่า ในตอนนั้นหากไม่ใช่หลัวจิ่งนำรองแม่ทัพต้านมือสังหารอยู่หน้าบ้านพักหนึ่ง เกรงว่าทั้งครอบครัวสกุลหูล้วนจะหลีกไม่พ้นภัยนั้นแล้ว
กู้ฉีทุกข์ทรมานจากความละอายใจนี้มาก เป็เขาที่สะเพร่าเกินไป ไม่อย่างนั้นจะดึงสกุลหูเข้ามาพัวพันได้อย่างไร
เขาขออภัยพวกนางจากใจอีกครั้ง ใบหน้าเศร้าโศกไปทั้งดวงและกล่าวอย่างจริงใจ
“เื่ที่สกุลหูได้พบเข้ากับการจู่โจม สาเหตุล้วนเป็ความสะเพร่าของข้า ข้าละอายใจอย่างสุดซึ้ง ดีที่พวกเ้าไม่มีใครเป็อะไรไป ไม่เช่นนั้นข้าตายไปพันครั้งก็ยังไม่สามารถลบล้างความผิดนี้ไปได้เลย”
เจินจูโบกมือ “บนโลกใบนี้ จะมีคนที่คาดเดาทุกเื่ได้เสียที่ไหน พี่ชายกู้อู่ไม่จำเป็ต้องรู้สึกผิดเลย”
“ข้าได้รับความกรุณามาจากสกุลหู แล้วยังนำพาภัยพิบัติมาให้ครอบครัวเ้าอีก จะไม่ละอายใจได้อย่างไร แล้วยังต้องให้พวกเ้าพี่น้องคิดหาหนทางออกวิ่งมาถึงเมืองหลวงไกลตั้งหลายพันลี้ ข้าไม่มีหน้าจะเผชิญกับพวกเ้าเลยจริงๆ” เขารู้สึกไม่มีหน้ามาพบพวกนางได้จริงๆ เป็เพราะผู้ใต้บังคับบัญชาเปิดเผยเื่ของสกุลหูออกไป เขาจึงรู้สึกผิดมาโดยตลอด
“…”
เจินจูฟังการพูดนอกเื่ของเขา นี่เขาเดาจุดประสงค์ในการมาเมืองหลวงของพวกนางออก อืม... หรือนี่เป็การแสดงออกอย่างชัดเจนว่ารู้เื่ของพวกนางแล้ว
เจินจูเลิกคิ้ว ไม่ว่าจะเป็แบบไหน นางล้วนไม่มีทางยอมรับทั้งสิ้นนั่นแหละ
กู้ฉีมองตามหลังส่งพวกนางลงหอไป พลางถอนหายใจเบาๆ
กระแสคนหลั่งไหลที่มาทานอาหารยังห้องโถงใหญ่ได้แยกย้ายกันไปจนบางตา สองพี่น้องหญิงชายเดินออกมาจากประตูใหญ่ของหอกระสาเยี่ยมเยือน รถม้าก็ได้มารออยู่ด้านข้างแล้ว
เจินจูกวาดตามองร้านรวงสองข้างทางถนนปราดหนึ่ง เกิดความรู้สึกอยากเดินเล่นขึ้นฉับพลัน
“คนขับรถหลิว นั่นเป็ร้านเครื่องประดับใช่หรือไม่?”
หลิวอี้มองไปตามทางที่นางชี้ รีบพยักหน้าทันที “ใช่ขอรับ เป็หอจินหม่านยู่ที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองหลวงขอรับ”
หอจินหม่านยู่? ไม่ใช่หอขายเครื่องประดับที่ฮูหยินกั๋วกงเคยกล่าวถึงหรือ เจินจูเกิดความสนใจขึ้น เข้าไปเลือกเครื่องประดับให้พวกท่านแม่สักหน่อยได้พอดีเลย
“ผิงอัน พวกเราไปซื้อเครื่องประดับให้ท่านแม่กับพี่รองกัน ดีหรือไม่?”
“ดีเลย”
หอจินหม่านยู่เป็หอสูงสามชั้น ห้องโถงใหญ่ตกแต่งมีสง่าราศีอย่างมาก แม้แขกภายในร้านมีไม่มาก แต่เป็ฮูหยินและคุณหนูที่แต่งกายสูงศักดิ์เสียส่วนใหญ่ พอมองแวบแรกก็รู้ว่าทั้งร่ำรวยทั้งมีฐานะ แขกแต่ละคนมีลูกจ้างร้านคอยยิ้มเอาใจอยู่ข้างกายกันทุกคน
เมื่อนางกับผิงอันก้าวเข้ามาภายในโถง ลูกจ้างที่ยืนอยู่หน้าประตูร้านก็เข้ามาต้อนรับทันที
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่หอจินหม่านยู่ขอรับ คุณชาย คุณหนู ข้าน้อยทักทายพวกท่านยามบ่าย ไม่ทราบว่าทั้งสองท่าน้าหาเครื่องประดับลักษณะเช่นไรหรือขอรับ?”
เจินจูมองซ้ายขวาหนหนึ่ง ค่อนข้างมีความสนใจเป็อย่างมาก นางหันไปยิ้มกับลูกจ้างผู้นั้น “พวกข้าสามารถดูก่อนได้หรือไม่?”
ในดวงตาของลูกจ้างร้านมีอาการตกตะลึงในความงดงามที่ปรากฏวาบผ่าน เขารีบยิ้มและพยักหน้า นำพวกนางเดินไปทางตู้สินค้า
“น้องหญิงสี่ อย่าคิดว่าเ้าไปจวนกั๋วกงหนึ่งรอบ แล้วท่านแม่ก็จะซื้อปิ่นทองที่มีค่าเพียงนี้ให้เ้าล่ะ”
เสียงกดต่ำของสตรี มีความโกรธแค้นแฝงอยู่ในความน่ารัก
เจินจูชำเลืองตามองผ่านปราดหนึ่ง สีหน้าชะงักทันที