บทที่ 15
วันนี้เกือบทั้งวันเดือนอ้ายอยู่กับการนั่งอยู่บนรถ เมื่อวานหลังจากที่งานนิทรรศการจบลง ร่างเล็กก็มัวแต่วุ่นกับการเก็บของแล้วก็เื่ที่ตกลงกับเควินเอาไว้ก็คงได้ทำตอนอยู่กรุงเทพ ส่วนเื่ของพี่ธานั้นเขาเลือกที่จะไม่ขอเข้าใกล้อีกคนอีกเพราะสัญชาตญาณของตัวเองบอกเขาดีว่าไม่ควรจะไปยุ่งกับคนนั้น เดือนอ้ายซื้อของหลายอย่างกว่าจะเสร็จก็เย็นพอดี ตอนนี้เขาจึงได้อยู่ในเซฟเฮ้าส์ของแม่พี่อาทิตย์
ร่างเล็กอยู่ในชุดลำลองสีดำทั้งตัวเพราะว่ามีนัดกับเควิน เดือนอ้ายต้องไปเรียนยิงปืนที่บ้านของเควินอีกหลังหนึ่ง ซึ่งอยู่ในแถบชานเมือง แถวนั้นไม่ค่อยมีผู้คนมากนัก แน่นอนว่าพวกมาเฟียก็้าความเป็ส่วนตัวสูง เว้นแต่ว่าวันไหนที่มีเรียนก็จะมาอีกบ้านที่อยู่ใจกลางเมืองแทน เควินกับนาวินเองก็ไม่ได้ไปอยู่บ้านแถวชานเมืองบ่อยนักถ้าหากไม่มีธุระที่ต้องไปทำที่นั่น
เขายืนมองตัวเองในกระจกสักพักก็เดินออกมาจากห้องทันที ในหัวตอนนี้เต็มไปด้วยความคิดที่ว่าจะบอกพี่อาทิตย์ดีไหมว่ากำลังจะไปเรียนยิงปืนแต่พอคิดอีกที ถ้าหากอีกคนรู้ว่าเขาไปก็คงโดนด่าแน่เลย แต่ถ้าไม่บอกอีกก็ต้องโดนโกรธแน่ ร่างเล็กกดโทรหาเลขาหนุ่มของสามีด้วยความเร็วสูง
“ฮัลโหลโจ ว่างอยู่รึเปล่า?”
(มีอะไรรึเปล่าครับ? ตอนนี้ผมกำลังจะไปประชุม)
“คือว่าเรากำลังจะไปเรียนยิงปืน อาจจะกลับดึกหน่อย ฝากบอกพี่อาทิตย์ด้วยนะ!”
(กำลังไปเรียนปั้นดิ-)
ร่างเล็กวางสายทันทีที่มีสายแทรกเข้ามา พอมองดูที่หน้าจอโทรศัพท์ก็พบว่าคนที่โทรมาก็คือเควิน อีกคนคงจะถึงหน้าบ้านแล้วแน่ เดือนอ้ายหยิบกระเป๋าสะพายข้างคู่ใจพลางเดินออกมาหน้าบ้าน รถยนต์สีดำจอดรอไว้อยู่แล้ว กระจกรถค่อยๆเลื่อนลงมาเผยให้เห็นหน้าเพื่อนสนิทที่กำลังทำหน้าตาสงสัยมองมาที่เขา
“มึงมองไร”
“มึงแต่งแบบนี้เป็ด้วยหรอวะ” เควินนึกแปลกใจกับเพื่อนตัวเล็กที่หาเสื้อสีดำมาใส่ได้ทั้งตัวขนาดนี้ โดยปกติแล้วเดือนอ้ายเป็พวกมีแต่เสื้อผ้าสีสว่างมากกว่า
“ทำไมกูจะแต่งไม่ได้ล่ะ ไปได้แล้ว”ร่างเล็กเดินขึ้นรถพร้อมปิดประตูลงทันที
เส้นทางจากเซฟเฮ้าส์ไปที่บ้านเควินค่อนข้างยาวนานพอสมควร ประมาณสองชั่วโมงกว่าได้ถึงจะได้เข้าสู่ตัวบ้าน เขาเคยมาเหยียบที่นี่แล้วครั้งหนึ่งในสมัยที่ยังเรียนอยู่ปีหนึ่ง ตอนนั้นมีเื่ราวบางอย่างเกิดขึ้นกับตระกูลของเควินและนาวิน มีคนจ้องจะทำร้ายทายาทของตระกูลนี้เลยทำให้ทั้งคู่ต้องไปอาศัยอยู่ที่นี่แทน โดยที่เดือนอ้ายเป็คนเอาการบ้านไปให้ แถมยังได้รับการคุ้มครองอย่างดี พ่อของสองแฝดถึงแม้ว่าจะเป็มาเฟียแต่ท่านก็มีความเมตตากับเขามาก
ทันทีที่เหยียบเข้าประตูบ้าน บอดี้การ์ดทุกคนในชุดสูทต่างโค้งคำนับด้วยความเคารพกับเ้านาย เดือนอ้ายเดินอยู่ด้านหลังเควินตลอดทางจนมาหยุดอยู่ที่โถงกลางบ้าน เส้นทางเดินไปสนามยิงปืนนั้นมันไม่ได้อยู่ข้างนอกบ้านแต่มันอยู่ชั้นใต้ดิน คนที่เป็คนบอกเขาเื่นี้ก็คือนาวินนั่นเอง วันนี้เ้าตัวไม่ได้มาด้วยเพราะติดภารกิจเดทกับสาว จึงทำให้มีแค่เขากับเควินเท่านั้น
ร่างเล็กเดินลงมาชั้นล่างด้วยสายตาตื่นตาตื่นใจ สนามยิงปืนนั้นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เขาคิดเพราะด้านล่างมีแสงไฟที่ไม่ได้มืดเหมือนในหนังที่เขาดู แสงไฟสีน้ำเงินสะท้อนกับเพดานเรือนแก้วทำให้ดูสงบสติอารมณ์ได้ดี นาวินบอกเขาว่าโดยปกติแล้วจะมีคนมาซ้อมยิงปืนด้านล่างตลอดแต่ถ้าหากเควินลงสนามเมื่อไหร่ก็จะไม่มีใครไปซ้อม เขาเองก็ไม่รู้ว่าที่นาวินเล่ามาหมายถึงแปลว่าอะไร เพราะเควินก็เป็คนที่นิ่งๆอยู่แล้ว
“ไม่มีคนเลยเนอะ”
“กูสั่งคนว่าห้ามเข้าเองแหละ”
“กูเกรงใจนะเนี่ย เหมือนมารบกวน”
“ไม่หรอก มึงตั้งสมาธิให้ได้นะอ้าย”ขณะที่เควินพูด เ้าตัวก็กำลังเลือกปืนอยู่ เขายืนมองอีกคนอยู่ห่างๆ เพราะบอกตามตรงว่าเดือนอ้ายไม่มีความรู้เื่ปืนเลยจริงๆ ไม่ว่าจะอาวุธอะไรก็ตาม “การยิงปืน มึงห้ามล่อกแล่กเด็ดขาด”
“อื้อ แล้วมึงจะให้กูใช้อันไหนล่ะ” ปืนพกสั้นถูกยืนมาตรงหน้าเขา มือเล็กเอื้อมมือไปจับเอาไว้แน่น “เหี้ย..หนักมาก”
“นั่นก็เพราะว่ามึงไม่ชิน กูใส่ะุไปแล้ว เอาปืนมาให้กูก่อน แล้วเดินไปตรงจุดนั้น”เควินเอาปืนคืนไปจากมือเขาก่อนจะชี้นิ้วไปตรงจุดยืนสำหรับยิงปืน
เดือนอ้ายเดินไปตามจุดที่อีกคนว่าพร้อมกับมองไปที่แป้นยิง ทุกแป้นล้วนมีรอยะุที่ถูกยิงมาก่อน โดยเฉพาะจุดที่เขายืนอยู่ แป้นที่อยู่ห่างออกไปนั้นมีรูที่อยู่ตรงกลางหัวรูเดียว คนที่ยิงดูท่าคงจะมีฝีมือมากสินะ
“พร้อมยัง”
“พร้อม”เขาหันไปมองเพื่อนสนิทที่กำลังเช็คปืนให้เขาอยู่ก่อนจะวางลงบนโต๊ะด้านหน้าเขา
“ถ้ามึงกลัวหูอื้อก็ใส่หูฟัง แต่ถ้าไม่ก็ไม่ต้องใส่”
“พูดอย่างนี้คิดว่ากูกลัวหรอ?”ว่าจบมือเล็กรีบคว้าหูฟังมาใส่ครอบไว้ทันที เควินได้แต่ส่ายหน้าให้กับความกวนของเพื่อนตัวเล็ก
“เก่งจริ๊ง เอาล่ะ มึงฟังกูนะ เวลายิงให้มองปลายปืนต่ำว่าเป้าที่มึงจะยิง”เขาพยักหน้าพลางทำตามที่อีกคนกำลังสอน “ถ้ามึงกดยิง แน่นอนว่าปืนมันจะดีดขึ้นเพราะงั้นมึงจะต้องจับให้แน่นๆ ใช้สายตาเล็งให้ดี กูไม่ได้คาดหวังว่ามึงจะยิงโดนไม่โดนแป้น แต่มึงต้องพยายามคุมปืนให้ได้”
ดูเหมือนว่าสิ่งที่เควินพูดดูจะเป็เื่ง่ายมากแต่สำหรับเดือนอ้ายนั้นมันดูยากเหลือเกิน เขาไม่เคยจับปืนมาก่อนแถมน้ำหนักปืนจริงๆก็มีความหนักอยู่พอสมควร สิ่งที่ต้องทำให้ได้คือเขาต้องพยายามปรับตัวเองให้เข้ากับปืนได้
“กูนับสามครั้งแล้วมึงเล็งก่อนค่อยยิงนะ”
“โอเค”
“สาม”ดวงตากลมจ้องไปที่แป้นพร้อมกับมือที่ยกขึ้นเล็งค้างไว้
“…”
“สอง”
“…”
“หนึ่ง”
ปัง!
ทันทีที่ปลายนิ้วชี้กดลงะุปืนพุ่งออกชนกับตัวแป้นจนเสียงดัง เดือนอ้ายเกร็งเท้าเอาไว้ด้านหลังทำให้ทรงตัวเอาไว้ได้ แป้นค่อยๆเลื่อนมาให้เห็นใกล้ๆว่าจุดที่ร่างเล็กยิงไปนั้นอยู่ตรงจุดลำคอพอดี ใบหน้าสวยยิ้มกว้างด้วยความดีใจ “โดนแป้นแล้ว!!”
“ดีมาก นี่แค่ครั้งแรก ถ้ามึงฝึกเรื่อยๆมันก็จะชิน”
“ขอบใจมากนะมึงที่สอนกู”
“กูดีใจนะที่มึงอยากเรียนที่จะปกป้องตัวเองอ่ะ”ตอนที่เพื่อนตัวเล็กบอกกับเควินว่าอยากเข้มแข็งขึ้น ในใจลึกๆก็เป็ห่วงเพื่อนที่กำลังคิดว่าตัวเองอาจจะเป็จุดอ่อนของคนอื่น จริงๆแล้วเดือนอ้ายไม่ใช่คนที่จะเป็จุดอ่อนของใครได้ง่ายๆถ้าเกิดสถานการณ์นั้นไม่คับขันพอ เควินมั่นว่าเดือนอ้ายสามารถพัฒนาได้มากกว่านี้
“นี่มึงพูดเหมือนพ่อภูมิใจในตัวลูกเลยอ่ะ ฮ่าๆ”
“ว่าไงลูกพ่อ”
“เดี๋ยวเหอะ แล้วหลังจากเรียนยิงปืนเสร็จ กูต้องไปเรียนไรอีกป่ะ?”
“เทควันโด้”
“เทควันโด้!!”
“ทำไมล่ะ เรียนแบบมีอาวุธแล้วก็ต้องเรียนแบบไม่มีอาวุธบ้าง” เดือนอ้ายพยักหน้าตอบอีกคนโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ จริงๆแล้วเขาเองเคยเรียนเทควันโด้สมัยที่ยังอยู่มัธยมต้นแต่ก็ต้องเลิกเรียนเพราะเขาโดนคนในทีมทำให้ขาหักจนต้องพักรักษาที่โรงพยาบาลอยู่หลายเดือน แผลในใจมันยังคงอยู่เสมอแต่ว่าถ้าสิ่งที่เขาทำไปมันสามารถช่วยเหลือตัวเองกับพี่อาทิตย์ได้ล่ะก็...เขาก็จะทำ
การฝึกซ้อมล่วงเลยจนไปถึง่สองทุ่ม บอกเลยว่าเกือบตาย โชคดีที่ครูที่มาสอนเทควันโด้ให้กับเขาไม่ได้น่ากลัว ร่างเล็กเดินออกมาพักที่ห้องโถงเพื่อรอเควินไปส่งที่บ้าน แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขาหยิบขึ้นมาดูก็พบว่ามีสายที่ไม่ได้รับสี่สิบกว่าสาย แถมคนที่โทรมาก็คือพี่อาทิตย์ ร่างเล็กรีบกดรับทันควัน
(ไปเรียนปั้นดินที่ไหน? ทำไมถึงยังไม่กลับอีก? นี่มันกี่โมงแล้วอ้าย)
“พี่อาทิตย์ใจเย็นๆนะ ตอนนี้อ้ายอยู่บ้านเควิน เควินกำลังจะไปส่งที่บ้าน”
(แล้วทำไมไปเรียนปั้นดิน?)
“ปั้นดิน?”เขาเหลือบไปมองเห็นเพื่อนตัวสูงที่กำลังเดินมา ก่อนจะทำมือชี้ว่ากำลังคุยกับพี่อาทิตย์
(เงียบทำไม? เรียนปั้นไปทำไมอ้าย?) ตอนนี้เขารู้สึกงงที่อีกคนบอกว่าเขาไปเรียนปั้นดิน ทั้งที่จริงๆแล้วเขาบอกกับโจไปว่าจะไปเรียนยิงปืน อีกคนคงจะเปลี่ยนสารเขาไปแน่
“ก็แค่เรียนเป็ความรู้เฉยๆ พี่กลับบ้านแล้วหรอ”
(อืม กูอยู่บ้าน แล้วกูก็คิดว่าตอนนี้มึงควรจะอยู่ที่บ้านได้แล้ว)
“โอเคๆ อ้ายกำลังกลับครับ พี่รอก่อนน้า”เดือนอ้ายรีบใช้เสียงหวานตอบก่อนจะกดวางสายไป
“พี่เขาหวงมึงจังวะ”
“กูก็ไม่รู้ทำไมเป็งี้ กลับบ้านกันเถอะ”
เดือนอ้ายหยิบกระเป๋าเดินนำเพื่อนออกไปด้านนอกทันทีพร้อมกับขึ้นรถ เควินได้แต่เดินตามเพื่อนด้วยความไว ท่าทางเพื่อนตัวเล็กคงได้กลับบ้านไปเจอมรสุมใหญ่น่าดู ยิ่ง่นี้หน้าฝนอยู่ด้วย เดี๋ยวพรุ่งนี้พวกเขาก็มีนัดคุยเื่ธีสิสกันอีกที่มหาลัย
ตอนนี้ในใจของเดือนอ้ายเต้นไม่เป็จังหวะกับสถานการณ์นี้ ร่างสูงในเสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงขายาวสีดำสนิทที่นั่งไขว่ห้างอยู่มีสีหน้าเรียบนิ่งขณะที่เขาเหลือบมองอีกคนเป็พักๆ พี่อาทิตย์นั่งอยู่ที่โซฟาใหญ่ ส่วนเขาไม่กล้าที่จะไปนั่งใกล้อีกคนเลยจึงทำได้แค่มานั่งโซฟาเล็กข้างๆอีกคน ตอนนี้ทุกคนในบ้านก็แยกย้ายไปหมดแล้ว ในบ้านเหลือเพียงแค่เขากับพี่อาทิตย์สองต่อสองเท่านั้น
อาทิตย์ยังคงนั่งนิ่งไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่นิดเดียวจนเขาเองก็ได้แต่นั่งจับเข่าตัวเอง ตั้งมาถึงที่บ้านอีกคนก็แทบไม่พูดอะไรกับเขาเลยด้วยซ้ำ ไม่คิดว่าอีกคนจะโกรธที่เขากลับดึกขนาดนี้เลยด้วย เอาไงดีวะ ถ้าเกิดเขารุกพี่อาทิตย์ตอนนี้ อีกคนจะคิดว่าเขาแรงไปรึเปล่า ในเมื่อตอนนี้เขาคิดไม่ออกแล้วว่าจะง้อยังไง
“พี่อาทิตย์...”
“..”เงียบเชียว
“งอนหรือโกรธไหนบอกอ้ายหน่อย”ร่างเล็กลุกไปนั่งข้างกายร่างสูงทันที แขนเล็กคล้องแขนแกร่งอีกคนเอาไว้แน่น
“…”
“อ้ายขอโทษ”แก้มขาวคลอเคลียกับแขนแกร่งไม่หยุด เขาจะสู้ “พี่อาทิตย์ไม่โกรธน้า”
“รู้แล้วหรอว่ากูโกรธเื่อะไร”แม้ว่าอาทิตย์จะไม่ได้หันมามองแต่น้ำเสียงนั้นดูออกว่ายังคงมีอารมณ์โกรธอยู่
“พี่โกรธที่อ้ายกลับดึกใช่ไหม”
“ไม่ใช่”ชิบหายละ เขาดันไม่รู้ว่าอีกคนกำลังโกรธเื่อะไรกันแน่
“อ้ายไม่รู้จริงๆ พี่อาทิตย์บอกอ้ายได้ไหม?”ใบหน้าคมหันมามองที่ร่างเล็กด้วยสายตาที่ยากจะเดาออก
“นี่มึงไม่รู้จริงๆหรอวะ?”น้ำเสียงของอาทิตย์เต็มไปด้วยความน้อยใจ ร่างสูงไม่ได้โกรธที่อีกคนกลับดึกเลย แต่เป็อีกเื่หนึ่ง
“อ้ายไม่รู้ครับ”
“ทำไมมึงต้องโทรหาโจทั้งที่มึงก็โทรหากูได้?”สิ้นเสียงที่ร่างสูงพูดก็ทำให้ร่างเล็กเข้าใจเหตุผลแล้วว่าทำไมถึงโกรธขนาดนี้ พี่อาทิตย์กำลังหึง!
“อ้ายคิดว่าพี่คงจะยุ่งเลยโทรหาโจ แล้วโจก็เหมือนพี่น้องคนหนึ่งของอ้ายพอคุยด้วยแล้วสะดวกนี่”
“แล้วกับกูไม่สะดวก?”
“พี่ไม่เคยมีเื่ที่คุยกับบางคนไม่ได้รึเปล่า อ้ายก็มีเื่แบบนั้นเหมือนกันกับคนอื่น ไม่ว่าจะเพื่อนคนไหนก็มีทั้งนั้น”
“งั้นเท่ากับว่ากูก็ไม่ได้สำคัญพอที่มึงจะคุยด้วยใช่ไหม?”เขาอยากยกมือขึ้นมากุมขมับตัวเองมาเหลือเกิน พี่อาทิตย์เหมือนจะไม่เข้าใจที่เขาพูดเลย
“พี่อาทิตย์ก็ต้องสำคัญกับอ้ายอยู่แล้วสิ สำคัญมากๆด้วย”
“…”
“อ้ายไม่อยากให้ความเครียดของอ้ายไปทำให้พี่คิดเยอะมากกว่าเดิมนะ ที่อ้ายทำแบบนี้ก็เพราะอ้ายรักพี่อาทิตย์ เข้าใ-“
“ว่าไงนะ?”
“ครับ?”
“เมื่อกี้มึงพูดว่าอะไร”เขาพูดอะไรไปนะ แย่แล้ว! ดันไปบอกรักพี่อาทิตย์ต่อหน้าเขาแบบนั้นได้ไงเนี่ย
“อ่ะ..เอ่อคือ พี่อาทิตย์ได้ยินอะไรไปนะ?”
“มึงบอกว่ารักกู”เขามองใบหน้าอีกคนก่อนจะกลั้นยิ้มให้มากที่สุดแต่ดูเหมือนว่าจะทำไม่ได้ รอยยิ้มหวานถูกส่งไปให้อีกคน
“อ้ายทำเพราะอ้ายรักพี่”ทันทีที่ถูกจบร่างเล็กถูกฉกเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของร่างสูง อาทิตย์ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้ออกมาจากปากร่างเล็กเลย แม้ว่าจะรู้แก่ใจว่าเดือนอ้ายเชื่อฟังตัวเองมากแค่ไหนแต่ก็ไม่รู้ว่าที่เดือนอ้ายทำไปเพราะเขาสั่ง เดือนอ้ายไม่ค่อยพูดเื่แบบนี้ออกมาง่ายๆเลยสักครั้ง แต่พอได้ยินคำบอกรักของเดือนอ้ายก็เตือนสติของอาทิตย์ได้ว่าร่างสูงเองก็มีใจให้กับเดือนอ้ายจริงๆ พิสูจน์จากหัวใจที่เต้นแรงในตอนนี้
“อ้าย”
“คะ..ครับ”เขารู้สึกใเล็กน้อยที่อีกคนดึงเข้าไปกอดเพราะคำบอกรักของตัวเองเมื่อกี้ เหตุผลที่เขาไม่กล้าพูดมันออกไปเพราะกลัวว่าคำตอบของอีกคนจะไม่เป็แบบที่เขาคิดเอาไว้
“กูรักมึงนะ”ร่างเล็กเบิกตากว้างด้วยความดีใจ เสียงหัวใจของทั้งคู่ต่างประสานเข้าด้วยกัน “อย่าหายไปจากกูนะ”
“อื้อ อ้ายจะไม่หายไปไหน”
นับจากนี้ถือว่าเดือนอ้ายได้ตัดสินใจถูกแล้วที่เลือกจะเข้มแข็งมากขึ้นเพื่อตัวเอง เขาได้ก้าวเข้าสู่ตระกูลศิวาลัยเต็มตัวแล้วต่อไปนี้ถ้าหากใครคิดที่จะมาทำลายศิวาลัย เขาก็จะขัดขวางมันให้ถึงที่สุด เพราะเขารู้ว่าศิวาลัยก็เหมือนโลกอีกหนึ่งใบที่พี่อาทิตย์สร้างมันขึ้นมาด้วยความรักและความพยายามมาแค่ไหน ใครที่เป็ศัตรูกับพี่อาทิตย์ก็ถือว่าเป็ศัตรูของเขาเหมือนกัน
“คืนวันพรุ่งนี้ไปงานประมูลเพชรกับกูนะ”
“พี่จะให้อ้ายไปด้วยหรอ?”
“ถ้ามึงไม่อยากไป ก็ไม่ต้องไปก็ได้”
“ไปสิ! อ้ายอยากไป”พอร่างสูงเห็นการตอบรับแบบนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมา เป็รอยยิ้มที่ติดอยู่ในใจเขามาตลอด เขาชอบรอยยิ้มของพี่อาทิตย์ที่สุดเลย สุดท้ายการกระทำก็ปล่อยตามใจตัวเองเมื่อใบหน้าสวยยื่นหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าคมก่อนจะจุมพิตที่ริมฝีปากอีกคนอย่างรวดเร็ว “คือ!”
“มึงแม่ง..”
“..”
“น่ารักจังวะ”ว่าจบแก้วขาวนวลก็ถูกฝังโดยจมูกคม ร่างเล็กโดนใบหน้าหล่อฟัดแก้มอยู่ทั้งแบบนั้น แม่บ้านที่บังเอิญเดินผ่านต้องหยุดฝีเท้าแล้วเดินกลับห้องของตัวเองไปในทันที ไม่อยากรบกวนเวลาสวีทของเ้านายเลยจริงๆ ส่วนมารีก็ดูทั้งคู่พลอดรักผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ เธอไม่คิดมาก่อนว่าจะได้เห็นอีกมุมของลูกชายที่ตัวเธอเองไม่เคยเห็น ลูกสะใภ้คนนี้เหมาะสมสุดแล้วล่ะนะ ทำเ้าสัวหลงได้ขนาดนี้
ในเมื่อความรักของลูกชายเธอก็ผ่านไปด้วยดีแล้วตอนนี้เธอเองก็ไม่มีอะไรให้กังวลแล้ว มารีกลับอิตาลีมาได้สองวันแล้ว จริงๆมันยังครบกำหนดที่เธอต้องกลับเลย เธอเองก็อยากอยู่ไทยนานกว่านี้เพียงแต่เื่บางอย่างเกิดขึ้นที่โกดังของเธอที่นี่นั่นจึงเป็เหตุผลที่เธอต้องรีบกลับ
และดูเหมือนปัญหาครั้งนี้จะยิ่งใหย่กว่าที่เธอคิด โกดังของเธอไฟไหม้ไปครึ่งหนึ่ง มารีเองมั่นใจว่ามันคือการส่งสัญญาณเตือนบางอย่าง แต่หารู้ไม่ว่าตอนนี้เธอไม่ได้กลัวเท่าไหร่นัก หากคิดจะเปิดศึกกับศิวาลัยล่ะก็เธอเองก็พร้อมที่จะเดินหมากเช่นกัน ต่อให้มันจะทำให้เกิดอันตรายกับเธอก็ตาม
แต่คนที่น่าเป็ห่วงสำหรับเธอก็คงหนีไม่พ้นลูกสะใภ้ของเธออยู่ดี แม้จะได้ยินมาแล้วว่าตอนนี้กำลังเริ่มเรียนรู้การปกป้องตัวเองแต่ถ้าหากฉุกเฉินขึ้นมาจริงๆล่ะก็มันคงจะลำบาก มือเรียวยกโทรศัพท์ขึ้นต่อสายหาคนที่เธอ้าให้ช่วย คนที่เธอโทรหาก็คือ ‘วิลเลียม แมคคอเนีย’ มาเฟียที่มีรากฐานใหญ่ที่สุดติดอันดับโลกตอนนี้ ซึ่งนั่นก็คือพ่อของเควินนั่นเอง
หมากตัวนี้จะเป็สิ่งที่ช่วยเป็หูเป็ตาให้กับศิวาลัยได้มากที่สุด ถึงแม้จะได้ยินมาว่าวิลเลียมไม่ติดต่อกับโลกภายนอกเลยสักครั้ง แต่มารีได้มีโอกาสในรู้จักงานการกุศล ตอนแรกเธอเองก็ใที่มาเฟียใหญ่มาอยู่ในงานได้ยังไง และพอรู้ว่าเป็พ่อของเพื่อนลูกสะใภ้ก็ยิ่งเข้าทาง
ในเมื่อธิวาลัยได้รวมตัวกับด้านมืดได้ ศิวาลัยเองก็ใช้วิธีนี้ในการต่อกรได้เหมือนกัน ยังไงลูกสะใภ้ของเธอเองก็เป็ที่น่าเอ็นดูกับเ้าพ่อมาเฟีย มีหรอที่อีกฝั่งจะไม่ตอบตกลงที่จะร่วมมือกับศิวาลัย มารียกยิ้มขึ้นทันทีที่ต่อปลายสายติด บทสนทนาก็ได้เริ่มต้นขึ้นและการเปิดศึกกับธิวาลัยก็ได้เริ่มแล้ว