เพราะทะเลาะกันในจวนสกุลเฉินครั้งก่อน อวี๋ฝูหลิงจึงไม่ทำตัวสนิทสนมกับเฉินโหรวเช่นแต่ก่อนอีก เมื่อก่อนที่นางทำดีกับเฉินโหรวไม่เพียงเพราะเที่ยวเล่นด้วยกันั้แ่ยังเด็ก แต่เป็เพราะหวังว่าเฉินโหรวจะมาเป็น้องสะใภ้ของตน
ก่อนหน้านี้ตอนเฉินอิ๋งแต่งเื่ใส่ร้ายอวี๋เจียว เฉินโหรวยังคอยปกป้องและแก้ต่างแทนนาง เื่นี้ทำให้อวี๋ฝูหลิงเอาใจออกห่าง อวี๋เจียวคือคนในครอบครัวของนาง อีกทั้งยามนี้ยังกลายเป็มาเป็น้องสาว นางผู้เป็พี่สาวย่อมไม่อาจสนิทสนมกับคนนอกและปล่อยให้คนนอกรังแกคนในครอบครัวของตน
ด้วยเหตุนี้อวี๋ฝูหลิงจึงเปลี่ยนคำเรียกขานอย่างสนิทสนมว่าอาโหรวออกไป
เฉินโหรวไม่ได้แอบมาหาอวี๋ฝูหลิงแค่เพียงครั้งเดียว แต่อวี๋ฝูหลิงปฏิเสธไปทุกครั้ง ครั้นวันนี้ได้ยินว่าอาการป่วยของฮูหยินผู้เฒ่าแซ่เฉินทรุดหนัก อีกทั้งเฉินโหรวยังร้องไห้อ้อนวอนอยู่นาน นางจึงใจอ่อนมาบอกเื่นี้กับอวี๋เจียว
อวี๋เจียวปิดตำราที่ถือในมือเข้าหากัน ลอบชำเลืองท่าทางหยั่งเชิงอย่างระมัดระวังของอวี๋ฝูหลิงครู่หนึ่ง จากนั้นถอนหายใจออกมาเอ่ยว่า “ถึงจะกล่าวกันว่าหมอเป็ผู้มีจิตใจเมตตากรุณา แต่ข้ากลับไม่ใช่คนใจคอกว้างขวางถึงเพียงนั้น ไม่มีกฎใดกล่าวว่าหมอต้องออกไปรักษาทันทีที่ผู้อื่นเรียกหา ท่านก็เห็นท่าทีของคนสกุลเฉินในครั้งก่อนแล้ว ข้าไม่มีทางไปจวนสกุลเฉินอีกเ้าค่ะ”
ครั้นอวี๋ฝูหลิงนึกถึงท่าทางยามร้องไห้น้ำตานองหน้า ดวงตาแดงก่ำของเฉินโหรว สุดท้ายยังอดไม่ได้ ได้แต่พูดจาอ้อมแอ้มว่า “เฉินอิ๋งไม่รู้ความ หลังจากโดนลงโทษก็สงบลงแล้ว เฉินโหรวผูกพันกับท่านย่าของนางมาก ท่านย่าเฉินรอเห็นนางออกเรือนมาโดยตลอด ข้าได้ยินเฉินโหรวบอกว่าจวนของนางเชิญท่านหมอมาหลายต่อหลายคน ทุกคนต่างบอกว่าท่านย่าเฉินอาจไม่พ้นฤดูหนาวปีนี้...”
ความหมายยังคงเป็การขอร้องให้อวี๋เจียวไปตรวจอาการป่วยท่านย่าของเฉินโหรว
อวี๋เจียววางตำราไว้บนโต๊ะตัวเล็กอย่างไม่ใส่ใจ เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบว่า “หากสกุลเฉินใส่ใจย่อมต้องพาฮูหยินผู้เฒ่ามารับการรักษาถึงจวน เฉินโหรวแอบมาขอร้องท่านเช่นนี้ หากข้าไปตรวจโรคที่จวน รักษาหายยังนับเป็เื่เล็ก เกิดรักษาไม่หายขึ้นมา ไม่แน่ว่าอาจก่อให้เกิดความแค้นภายในใจคนสกุลเฉินนะเ้าคะ”
อวี๋ฝูหลิงอธิบาย “ขาของท่านย่าเฉินไม่ค่อยดี ไม่สะดวกจะเดินทางมาที่จวน วิชาหมอของเ้าล้ำเลิศถึงเพียงนั้น จะต้องรักษาอาการของท่านย่าเฉินได้แน่นอน”
สีหน้าของอวี๋เจียวเยียบเย็นลงหลายส่วน “ถึงแม้วิชาหมอของข้าจะดีเลิศ แต่ข้าก็ไม่ใช่เทพเซียนลงมาจุติ ในเมื่อท่านหมอหลายต่อหลายคนที่สกุลเฉินเชิญไปรักษาล้วนแต่บอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะอยู่ได้ไม่นาน ต่อให้ข้าไปก็ไร้หนทาง”
ถึงแม้ว่าขาไม่ดี แต่หากร้อนรนจน้าความช่วยเหลือจริงๆ ไม่ว่าจะแบกหรือหามย่อมต้องมีหนทางพามายังจวนสกุลอวี๋
ครั้นเห็นว่าไร้หนทางโน้มน้าวไกล่เกลี่ย อวี๋ฝูหลิงไม่ดึงดันอีกต่อไป นางหันหลังเดินออกไปนอกประตูจวน
เฉินโหรวยืนขอบตาแดงก่ำอยู่นอกประตูจวนสกุลอวี๋ ครั้นเห็นอวี๋ฝูหลิงออกมาจึงรีบปรี่เข้าไปถาม “แม่นางเมิ่งตอบรับหรือไม่?”
ครั้นอวี๋ฝูหลิงเห็นว่าบนใบหน้าเรียวของนางมีประกายความหวัง ในใจไม่อาจหักใจเอ่ยคำเ่าั้ได้ จึงส่ายหน้าปลอบใจว่า “อวี๋เจียวอายุยังน้อย อาจตรวจโรคได้ไม่ดีเท่าท่านหมอชราข้างนอก มิสู้เ้าไปเชิญท่านหมอเจียงในสำนักหุยชุนมาตรวจอาการให้ท่านย่าของเ้า ท่านหมอเจียงผู้นั้นมีวิชาหมออันยอดเยี่ยม”
ใบหน้าอ่อนโยนรูปดอกบัวของเฉินโหรวฉายแววผิดหวัง ดวงตารื้นไปด้วยประกายน้ำตา เอ่ยด้วยความโศกเศร้า “ท่านพ่อของข้าพาท่านย่าไปที่สำนักหุยชุนมาแล้ว ท่านหมอของที่นั่นก็บอกว่ารักษาไม่ได้”
อวี๋ฝูหลิงเห็นหยาดน้ำตาไหลอาบลงมาข้างพวงแก้มของนางแล้วก็อดปวดใจไม่ได้ นางนึกถึงคำกล่าวเมื่อครู่ของอวี๋เจียว จับมือของเฉินโหรวแล้วเอ่ยปลอบใจว่า “อวี๋เจียวแค่ไม่ยอมไปจวนสกุลเฉินของพวกเ้า มิสู้เ้าพาท่านย่าเฉินมาตรวจอาการที่จวนเถิด”
เฉินโหรวได้ฟัง นางพยักหน้าทั้งน้ำตา “ข้าจะกลับจวนประเดี๋ยวนี้ จะบอกให้ท่านพ่อพาท่านย่ามาตรวจอาการที่นี่”
เฉินโหรวรีบเดินกลับจวน ผู้นำเฉินนึกอยากจะพาฮูหยินผู้เฒ่าในจวนของตนไปขอรับการรักษาที่จวนสกุลอวี๋แต่แรก แต่ช่วยไม่ได้ที่ฮูหยินผู้เฒ่าเป็คนยึดมั่นในความคิดของตนเอง ความตั้งใจแน่วแน่ยิ่งนัก ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมไปตรวจอาการที่จวนสกุลอวี๋
อวี๋ฝูหลิงรอกระทั่งฟ้ามืดก็ยังไม่เห็นเฉินโหรวพาท่านย่าของนางมาเยือนจวน ภายในใจรู้สึกกระสับกระส่าย ครั้นตกเย็น นางวนเวียนรอบกายอวี๋เจียวไม่ยอมห่าง อยากให้ช่วยจัดเทียบยารักษาอาการไอส่งไปให้เฉินโหรว
อวี๋เจียวย่อมไม่ตกลง หลังจากปล่อยให้อวี๋ฝูหลิงวนเวียนรอบกายอยู่นาน นางจึงเอ่ยอธิบายอย่างอดทนว่า “จะกินยาตามเทียบยาได้ก็ต่อเมื่อรักษาถูกจุด ไม่เช่นนั้นหากผิดพลาดเพียงนิดเดียวก็จะไม่ใช่การช่วยชีวิต แต่เป็การทำร้ายผู้อื่น นายท่านผู้เฒ่าเหอก็คือตัวอย่างที่มีให้เห็นอยู่ทนโท่ พี่สาว ท่านก็เป็ผู้ที่อยากร่ำเรียนวิชาหมอ เื่นี้จำต้องระมัดระวังและจดจำเอาไว้นะเ้าคะ”
ด้วยเหตุนี้อวี๋ฝูหลิงถึงได้ล้มเลิกความคิดนี้ไป
อวี๋เจียวลุกขึ้นเดินไปห้องหุงต้ม นางเอาใบต้นเหยาเฉ่าใบสุดท้ายใส่ลงในหม้อยาของอวี๋ฉี่เจ๋อ หลังจากเคี่ยวยาต้มเสร็จเรียบร้อยถึงยกเข้าไปในห้องของเขา
ครั้นเห็นนางยกถ้วยยาเข้ามา อวี๋ฉี่เจ๋อวางพู่กันในมือลง ลุกขึ้นรับถ้วยยามาจากมือของอวี๋เจียวก่อนจะเงยหน้าดื่มลงไป
อวี๋เจียวเงยหน้ามองลูกกระเดือกร้อนผ่าวบนลำคอระหงของเขา เพราะอยู่ในจวนเขาจึงสวมเพียงเสื้อตัวบาง อาภรณ์ไม่เป็ระเบียบเรียบร้อยนัก เผยให้เห็นไหปลาร้าน่ามอง
“กำลังมองอะไรอยู่หรือ?” ครั้นอวี๋ฉี่เจ๋อเห็นนางมองตนอย่างไม่ละสายตาจึงเอ่ยอย่างนึกขบขัน
อวี๋เจียวรีบเก็บั์ตากลมของนางกลับมาให้อยู่ในร่องในรอย เอ่ยเบี่ยงประเด็นว่า “หลังกินยาชุดสุดท้ายนี้ไปแล้ว สองวันนี้ให้ระวังสักหน่อย รอกระทั่งอาเจียนเอากาก...ของเสียออกมาค่อยกินเทียบยาอีกชุด”
เดิมทีนางจะพูดว่ากากพิษ แต่เมื่อนึกได้ว่าคล้ายอวี๋ฉี่เจ๋อจะไม่รู้ว่าร่างกายของตนทรุดโทรมเพียงนี้เพราะถูกวางยา นางจึงชะงักวาจาทันใดและเปลี่ยนไปใช้คำว่าของเสีย
อวี๋ฉี่เจ๋อไม่รับรู้ถึงความผิดปกติ เอ่ยพลางพยักหน้าว่า “ได้” เขาวางถ้วยยาลงบนโต๊ะเล็ก สายตาปรายลงมองอวี๋เจียว เส้นผมสีดำดุจหมึกสยายอยู่ตรงหน้าอก กลุ่มผมยุ่งเหยิงไล้ััผิวแก้ม ครั้นแสงเทียนยามสลัวสาดส่องลงบนใบหน้าเรียวเล็ก ยิ่งขับให้ดวงหน้าของนางแลดูอ่อนโยน
อวี๋ฉี่เจ๋อคิดอยากจะเอื้อมมือไปช่วยทัดผมไปไว้หลังใบหูให้นาง ทว่ามือกลับกำเข้าหากันภายใต้ชายแขนเสื้อ หักห้ามใจเอาไว้แล้วเอ่ยออกมาว่า “จะฝึกคัดอักษรหรือไม่?”
อวี๋เจียวพยักหน้า นางเดินไปข้างโต๊ะตำรา หยิบตำราหมอที่ตนคัดเอาไว้ก่อนหน้าออกมา เอ่ยอย่างสุขุมว่า “เหลือคัดตำราหมอเล่มนี้อีกหนึ่งบทก็จะเสร็จแล้ว รอกระทั่งเขียนเสร็จ ข้าอยากให้ท่านลุงใหญ่ส่งไปยังสำนักหุยชุน เพียงแต่ไม่รู้ว่าด้วยตัวอักษรเช่นนี้ของข้า เขาจะอ่านออกหรือไม่”
ก่อนหน้านี้อวี๋หรูไห่เป็คนสั่งให้นางคัดตำราหมอ ทว่าเจียงชิงเหอทำดีต่อนาง อีกทั้งยังตั้งใจศึกษาค้นคว้าวิชาหมอ อวี๋เจียวจึงคิดจะส่งตำราหมอให้เขา
อวี๋ฉี่เจ๋อหยิบกระดาษออกมาจากมือของอวี๋เจียวอย่างอ่อนโยน ดวงตาหงส์ลุ่มลึกกวาดมองหนึ่งรอบ เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “อ่านออก ถึงแม้ตัวอักษรจะไม่นับว่างดงาม แต่ก็เป็ระเบียบเรียบร้อยยิ่ง”
ครั้นได้รับคำชมจากเขา ริมฝีปากของอวี๋เจียวคลี่ยิ้มออกมา “อ่านออกก็ดี”
อวี๋ฉี่เจ๋อมองรอยยิ้มเป็ประกายบนใบหน้าของนาง มุมปากพลอยยกยิ้มตาม เอ่ยขึ้นว่า “จำต้องตั้งใจฝึกอีก ภายหน้ายามผู้อื่นล่วงรู้ว่าเ้าฝึกคัดอักษรโดยเลียนแบบตัวอักษรของข้า จะได้ไม่ทำให้ข้าต้องอับอาย”
อวี๋เจียวเบะปาก “ข้าแค่ไม่บอกคนอื่นเป็พอ หากจะให้คัดจนตัวอักษรเหมือนท่าน แค่คิดข้าก็ไม่กล้าแล้ว”
ถึงจะกล่าวเช่นนี้ แต่ตัวอักษรของอวี๋เจียวกลับเริ่มคล้ายคลึงตัวอักษรของอวี๋ฉี่เจ๋อเสียแล้ว เพียงแต่ยังขาดพลังเท่านั้น
บนใบหน้าหล่อเหลาของอวี๋ฉี่เจ๋อประดับไปด้วยรอยยิ้ม เขาเดินมานั่งข้างโต๊ะตำราทั้งรอยยิ้ม “ข้าจะฝึกไปพร้อมกับเ้า”
โต๊ะตำราขนาดประมาณหนึ่งฉื่อ ยามนี้แบ่งเป็สองส่วนให้คนสองคนนั่ง ด้านหนึ่งวางตำราของอวี๋ฉี่เจ๋อ อีกด้านหนึ่งวางแบบฝึกคัดอักษรของอวี๋เจียว
อวี๋เจียวนั่งลงบนเก้าอี้ข้างกายของเขา กางกระดาษให้เรียบ คิดจะคัดตำราหมอบทสุดท้ายให้เสร็จ อวี๋ฉี่เจ๋อช่วยฝนหมึกให้นาง ข้อมือขาวงามประณีตได้สัดส่วน เส้นโลหิตสีดำนูนขึ้นจนสามารถมองเห็นเลือนราง
“ท่านไม่ต้องสนใจข้า ประเดี๋ยวจะถึงการสอบขุนนางในฤดูใบไม้ร่วงแล้ว จะทำให้การทบทวนบทเรียนของท่านล่าช้าไม่ได้” อวี๋เจียวยังจำบทเรียนเื่ฟ่านจิ้นสอบติดขุนนางได้ นางรู้ดีว่าการสอบขุนนางของคนในยุคโบราณยากลำบากเพียงใด การเรียนของอวี๋ฉี่เจ๋อเสียเวลาเปล่าไปสามปีแล้ว ไม่เหมือนพวกอวี๋จิ่นเหยียนที่ศึกษาเล่าเรียนในสำนักศึกษาอยู่ตลอด ถึงแม้เขาจะฉลาดหลักแหลมเพียงใดก็ยังขาดไปอีกมากเพราะศึกษาด้วยตนเองอยู่ในจวน
