ในชั่วพริบตา แดนขัดเกลาก็เปิดพื้นที่มาเป็เวลาหนึ่งปีแล้ว
ผู้ที่สามารถมีชีวิตออกไปจากแดนขัดเกลาได้ โดยมากแล้วมักจะได้กำไรติดไม้ติดมือไปมากมาย แม้ว่าศิษย์จำนวนมากจะมีความอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ แต่สีหน้าของพวกเขากลับเต็มไปด้วยความสุข แม้ว่าจะต้องผ่านความทุกข์ยากมามากมาย แต่รางวัลที่ได้กลับมานั้นนับว่าคุ้มค่า
ก่อนออกไปจากแดนขัดเกลา ทุกคนจะต้องคืนป้ายคำสั่งที่ได้รับไปในตอนแรกเสียก่อน โดยจะมีผู้ดูแลของสำนักทำหน้าที่รวบรวม
หลังจากผู้ดูแลที่ทำหน้าที่รวบรวมป้ายคำสั่งได้เก็บรวบรวมป้ายคำสั่งทั้งหมดแล้ว สีหน้าของเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อมองดูหมายเลขที่บันทึกที่อยู่ในตำรา จากนั้นจึงมองไปยังทางเข้าออกของแดนขัดเกลาอีกครั้ง สีหน้าของเขาดูเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
“ผู้ดูแลหลิว เป็อะไรไป?” เมื่อมีศิษย์คนหนึ่งสังเกตเห็นผู้ดูแลหลิวจ้องไปยังแดนขัดเกลา เขาก็รีบถามขึ้นด้วยความสงสัย
ผู้ดูแลหลิวทำสีหน้าเคร่งขรึมและไม่ตอบอะไร จนกระทั่งผ่านไปเป็เวลานาน ก็ยังไม่มีใครเดินออกมา ผู้ดูแลหลิวจึงเริ่มนั่งไม่ติด และพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “นับป้ายคำสั่งทั้งหมดเดี๋ยวนี้ ลองดูว่ามีใครตายอยู่ในแดนขัดเกลาบ้าง เร็วเข้า!”
เมื่อศิษย์จำนวนหนึ่งเห็นเช่นนี้ จึงรีบหยิบป้ายคำสั่งมานับทันที
“หมายเลขหนึ่ง เหอเถี่ยเกิง”
“หมายเลขหนึ่งคืนกลับมาแล้ว”
“หมายเลขสอง อ้ายหวา”
“หมายเลขสองคืนป้ายคำสั่งแล้ว”
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน ศิษย์จำนวนนั้นก็ยื่นผลที่นับได้ให้กับผู้ดูแลหลิวด้วยความใ ผู้ดูแลหลิวเองก็หน้าซีดเผือดทันที จนเหงื่อไหลออกมาเต็มหน้าผาก หายลับไปทันทีเมื่อรับผลรายงานมา
“เป็... เป็ไปได้อย่างไรกัน แม้แต่อัจฉริยะอันดับหนึ่งอย่างศิษย์พี่ฉือเซียวก็ยังไม่กลับออกมา”
“จะต้องเกิดเื่ใหญ่แล้วแน่นอน ฉือเซียว ฉู่สยง ฉู่เยว่ฉาน ถังอีิ หยางเทียน หยางเต้า... และยังมีศิษย์อัจฉริยะของสำนักอีกไม่น้อยเลยที่ยังไม่ออกมา”
“เกิดเื่แบบนี้ขึ้นได้อย่างไรกัน? ข้าได้ยินมาว่า หยางเทียนและหยางเต้าตั้งใจจะอยู่ต่อในแดนขัดเกลามิใช่หรือ? แต่อีกไม่นานจะถึงวันคัดเลือกศิษย์แล้ว ก็ไม่น่ามีเหตุผลที่พวกเขาจะอยู่ต่อไป หรือว่า...”
ศิษย์ที่อยู่ตรงนี้เริ่มเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
ในขณะเดียวกันนั้น
ในที่พำนักของฉินอวี่ มีชายหนุ่มสวมเสื้อผ้าโทรมๆ ได้สาวเท้าเข้าไปยังที่พักของฉินอวี่อย่างน่าเกรงขาม แม้ว่าร่างกายจะดูไร้เรี่ยวแรง แต่สีหน้าของเขากลับดูเป็กระตือรือร้นและบ้าคลั่ง ทำให้รู้สึกถึงความโอ้อวดราวกับคางคกขึ้นวอ
“ฉินอวี่ โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้!” ชายหนุ่มคนนั้นเดินตรงเข้าไปยังหน้าห้องพักของฉินอวี่ และะโเรียกเสียงดัง
เมื่อเห็นว่าห้องของฉินอวี่ถูกปิดสนิท สีหน้าของชายหนุ่มคนนั้นก็เผยความโกรธออกมาอย่างรุนแรง เขาได้แต่เตะประตูนั้นอย่างรุนแรง และพูดออกมาอย่างโกรธเคือง “ข้าไว้หน้าเ้าแล้วแต่เ้าไม่เอาใช่หรือไม่? ถ้าไม่ใช่เพราะข้าอยากได้วิชาวิเศษนั่นของเ้า เ้าคงคิดว่าข้าจะเป็คนใช้ของเ้าจริงๆ ใช่หรือไม่? เชิญเ้าฝันหวานของเ้าต่อไปเถอะ เพียงแต่ หากไม่ได้เ้า ข้าเองก็คงไม่ได้เข้าไปแดนขัดเกลา ก็คงไม่ได้รับ...”
ประตูห้องถูกเตะอย่างต่อเนื่องจนเปิดออก แต่กลับไม่มีผู้ใดอยู่ในห้อง คำพูดของชายหนุ่มจึงหยุดลงกะทันหัน หลังจากเดินเข้าไปและกวาดสายตามองไปโดยรอบ เขาก็พูดขึ้นอย่างประหลาดใจ “ไม่มีใครอยู่? หรือจะแอบข้าอยู่? ไม่ใช่สิ...”
“หรือว่า...” ดวงตาของชายหนุ่มเบิกโพลง จากนั้นไม่นานจึงพูดขึ้น “หรือจะตายอยู่ในแดนขัดเกลาแล้ว? ฮ่าๆ คนที่กำลังใกล้ตาย คงจะต้องตายอยู่ในแดนขัดเกลาแน่นอน ตำนานเกี่ยวกับตะเกียงกรรมไม่ผิดพลาดเลยจริงๆ”
“เยี่ยม ตายได้ก็ดี ประหยัดเวลาข้าที่ไม่ต้องไปจัดการเอง ฮ่าๆ จากนี้เป็ต้นไป แผ่นดินและผืนฟ้าอันกว้างใหญ่ ไม่มีที่ใดที่จางอี้เหวินจะไปไม่ถึง” ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง และทุบทำลายที่พำนักของฉินอวี่ทันที จากนั้นจึงทำลายที่พำนักที่อยู่ด้านข้างด้วย ก่อนจะเดินออกไป
หนึ่งวันต่อมา
สำนักยุทธ์ว่านจ้งก็สั่นะเืไปทั้งสำนัก
“ฉือเซียวอันดับหนึ่งในรายนามศิษย์อัจฉริยะ อันดับสี่หยางเทียน อันดับห้าหยางเต้า อันดับเก้าฉู่สยง อันดับสิบแปดฉู่เยว่ฉาน อันดับสามสิบสองถังอีิ และยังมีศิษย์ของสายชีพจรฟ้าอีกจำนวนมากที่ยังถูกทิ้งไว้ในแดนขัดเกลา”
“การคัดเลือกศิษย์ครั้งใหญ่ก็ใกล้เข้ามาแล้ว หากคนเหล่านี้ยังมีชีวิตอยู่ จะต้องออกมา หรืออาจพูดได้อีกอย่างว่า... ศิษย์จำนวนมากในรายนามศิษย์อัจฉริยะต่างถูกฝังอยู่ในแดนขัดเกลาเสียแล้ว”
ชั่วขณะหนึ่ง สำนักยุทธ์ว่านจ้งก็เริ่มเข้าสู่ความโกลาหล การเปิดแดนขัดเกลาครั้งนี้มีศิษย์ของสำนักยุทธ์ว่านจ้งเสียชีวิตในสนามรบเป็จำนวนมาก แต่ครั้งนี้ เป็การสูญเสียที่แปลกประหลาดที่สุด และเป็ความสาหัสสากรรจ์ที่สุด และคนเหล่านี้ล้วนเป็ศิษย์อันภาคภูมิใจของสำนักผู้อยู่ในรายนามศิษย์อัจฉริยะทั้งสิ้น
ตำหนักพิพากษา สำนักยุทธ์ว่านจ้ง
“นอกจากศิษย์สายชีพจรฟ้าบางส่วนที่ตะเกียงกรรมถูกดับไปแล้ว ตะเกียงกรรมของพวกเขายังคงอยู่อย่างครบถ้วน!” ถังจ้งผู้นำของรุ่นที่สามซึ่งนั่งอยู่้าของตำหนักได้พูดอย่างเคร่งขรึม
“พวกเขาบุกเข้าไปในเขตต้องห้ามทางตอนเหนือ?” เลี่ยเอ๋าพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ ฉือเซียวก็ยังไม่ออกมา แล้วจะให้เลี่ยเอ๋ายอมวางมืองได้อย่างไร?
“น่าจะเป็เช่นนั้น เมื่อมองจากภาพที่ส่งกลับมาของเหล่าศิษย์ที่ตะเกียงกรรมดับไป พวกเขาน่าจะเข้าไปในเขตต้องห้ามทางตอนเหนือ” ผู้าุโคนหนึ่งกล่าว
“พวกเผ่าไหนที่กักขังพวกเขา? การคัดเลือกศิษย์ครั้งใหญ่ใกล้เข้ามาแล้ว เอ่อ...” ผู้าุโชุดม่วงคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างลังเล
“หากศิษย์ของข้าไม่กลับมา การคัดเลือกศิษย์ก็จะเริ่มขึ้นไม่ได้ เลื่อน! เลื่อนออกไปจนกว่าพวกเขาจะกลับออกมา!” เลี่ยเอ๋าพูดอย่างโกรธจัด ฉือเซียวเป็ผู้ที่เขาเลี้ยงดูสั่งสอนมาทั้งชีวิต ไม่อาจจะสูญเสียไปได้ง่ายๆ
“จัดไปก่อนเถอะ การประลองของสิบอันดับแรกให้เลื่อนออกไปชั่วคราว”
“เผ่าหยาจื้อ? กล้าดีอย่างไรมาละเมิดสัญญาไท่กู่ ทุกท่าน โปรดตามข้าไปขอความช่วยเหลือจากผู้นำรุ่นที่สองเถอะ! หากกล้าที่จะไม่ปล่อยอีก คงต้องไปขอความเป็ธรรมกับ์แล้วล่ะ!” ถังจ้งลุกขึ้นยืนทันที ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น พูดออกไปอย่างเฉียบขาด คนอื่นเขาสามารถเมินเฉยได้ แต่เขาไม่อาจปล่อยให้ถังอีิผู้เป็หลานชายต้องตายอยู่ในแดนขัดเกลาอย่างแน่นอน!
เผ่าหยาจื้อ หอคอยขัดเกลาชั้นที่เจ็ด
ครึ่งปีมาแล้ว หอคอยขัดเกลาแห่งนี้มีความยากลำบากกว่าที่จินตนาการไว้มาก พวกเขาใช้เวลากว่าครึ่งปีจึงจะสามารถข้ามผ่านชั้นที่ห้าเข้าถึงชั้นที่เจ็ดได้ และต้องผ่านศึกต่อสู้มากว่าร้อยครั้งทั้งใหญ่เล็ก จนหยาจื้อสิบสามฝ่ายต้องพบความสูญเสียอย่างหนัก
เดิมแล้วมีผู้คนมากกว่าหกสิบคน แต่ในตอนนี้มีคนเหลืออยู่เพียงสามสิบแปดคน าเ็ล้มตายไปเกินกว่าครึ่ง และพวกฉือเซียวทั้งเจ็ดคนต่างปลอดภัยดีเพราะไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ั้แ่ต้นจนจบ แต่ความกดดันและหินหนืดที่อยู่รอบกายนั้นทำให้ใจของพวกเขาสะท้านด้วยความหวาดกลัว แม้แต่จะทำอะไรก็ยากลำบากยิ่งนัก
ส่วนฉินอวี่และเสี่ยหยวนนั้นกำลังเดินตามหลังอันดับสอง และดูเหมือนจะไม่เคลื่อนไหวอะไรเลย
แต่สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ต้องมึนงง นั่นคือนับั้แ่เข้ามาถึงชั้นที่เจ็ด ก็รู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาดของเพลิงมรณะในจุดตันเถียน และดูเหมือนมันจะพยายามดิ้นออกจากจุดตันเถียน
ในเวลานี้ ฉินอวี่กำลังเผชิญหน้ากับพลังกดดันที่น่าสะพรึงกลัวนั้น และยืนอยู่ท่ามกลางเครื่องเคลื่อนที่ฉับพลัน มองตรงไปยังการต่อสู้ตรงหน้า และแอบส่งเสียงไปหาฉือเซียว “ท่านพอจะจดจำลำดับในการสร้างเรือนไม้ได้หรือยัง?”
“จำได้แล้ว” ฉือเซียวตอบกลับไปผ่านการส่งสัญญาณเสียง ครึ่งปีมานี้ ฉินอวี่ได้พยายามหาวิธีการถ่ายทอดวิชาการสร้างเรือนไม้ให้กับฉือเซียว โชคดีที่ฉือเซียวเคยััมาก่อนแล้ว และจดจำไปได้มาก ฉินอวี่อาศัยการใช้คำพูดทีละน้อยเพื่อสอนเขา
“นับแต่นี้ไป ท่านต้องทบทวนวิธีการสร้างเรือนไม้ให้ขึ้นใจ ยิ่งใช้เวลาสร้างสั้นและรวดเร็วมากเท่าไรยิ่งดี เมื่อถึงเวลานั้น เกรงว่าข้าคงไม่มีหนทางจะปกป้องพวกท่านได้ แต่หากมีเรือนไม้ พวกเขาจะไม่สามารถทำร้ายพวกท่านได้ และรออยู่เช่นนั้นสักระยะหนึ่ง สำนักจะต้องมาช่วยพวกท่านออกไปอย่างแน่นอน หากเป็ไปได้ จดจำไว้ด้วย ว่าต้องพาศิษย์พี่ฉู่เยว่ฉานไปด้วย ข้าเป็หนี้บุญคุณนาง จากนี้ข้าจะหาวิธีการนำแผ่นไม้มาให้ท่าน” ฉินอวี่กำชับ
หลังจากได้รับคำตอบของฉือเซียว ฉินอวี่ก็รู้สึกวางใจ ฉือเซียวเองก็รู้ดีถึงความสำคัญของเรือนไม้ ดังนั้นจึงไม่อาจปล่อยให้ผิดพลาดได้ หลังจากคำนวณเวลา ตอนนี้แดนขัดเกลาก็น่าจะถึงเวลาสิ้นสุดแล้ว และเมื่อสำนักรู้ว่าพวกฉือเซียวและถังอีิยังไม่ออกมา จะต้องดำเนินการบางอย่างขึ้นมาแน่นอน
ิญญาอัคคีในชั้นที่เจ็ดนี้มีความแข็งแกร่งกว่าชั้นที่หกยิ่งนัก นั่นเป็เพราะสาเหตุจากััแห่งเต๋าของชั้นที่เจ็ด เป็เพราะแรงกดดันที่มีอยู่ที่นี่มีความแข็งแกร่งอย่างมาก ทำให้คนของหยาจื้อสิบสามฝ่ายต่างไม่สามารถเรียกใช้พลังของตนเองได้ และเมื่อเป็เช่นนี้ คนจำนวนมากต่างถูกิญญาอัคคีเผาทั้งเป็
ฉินอวี่กวาดสายตามองไปโดยรอบ การเรียกหอคอยขัดเกลาชั้นที่เจ็ดว่าทะเลแห่งหินหนืดก็ไม่ใช่คำกล่าวเกินจริงเลย
เมื่อมองเพียงพริบตาเดียว ก็มองเห็นพื้นที่กำลังเดือดพล่าน มีหินหนืดกำลังถาโถมเข้ามา ในสถานที่ซึ่งมีวิถีแห่งอัคคีอยู่หนาแน่นเช่นนี้ มีิญญาอัคคีจำนวนมากเกิดขึ้นมาอย่างนับไม่ถ้วน ในตอนนี้ พวกของอันดับหนึ่งได้ล้อมิญญาอัคคีกว่าสิบตนเอาไว้ เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่การสังหาริญญาอัคคี แต่้ารวบรวมิญญาอัคคี
วิถีแห่งอัคคีที่หล่อเลี้ยงมาจากิญญาอัคคี เป็ดั่งยาครอบจักรวาลของผู้ที่้ากระตุ้นสายเืหยาจื้อ และคนที่ตามอันดับหนึ่งมาในครั้งนี้ ส่วนมากจะผ่านการกระตุ้นสายเืหยาจื้อมาแล้ว เพียงแต่หินหนืดที่อยู่เบื้องล่างนั้นกลับไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะสามารถััได้โดยง่าย
ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา การต่อสู้เบื้องหน้าก็ยุติลง หยาจื้อสิบสามฝ่ายมีคนตายระหว่างการต่อสู้ไปสองคน และทั้งสองคนต่างตกลงไปในมวลหินหนืด เป็เพราะเกราะกำบังแตกออก เมื่อตกลงสู่มวลหินหนืดก็จะถูกเผาจนกลายเป็เถ้าถ่านทันที
เมื่อกลับมาถึงค่ายกลนำส่ง สีหน้าของอันดับหนึ่งก็เคร่งขรึมไปทันที ความอันตรายของชั้นที่เจ็ดนี้ดูเหมือนจะเหนือกว่าจินตนาการของเขายิ่งนัก เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมา “อันดับสาม อันดับสี่ อันดับหก อันดับเจ็ด อันดับสิบห้า อันดับสิบแปด อันดับยี่สิบสาม พวกเ้าแปดคนจงรีบทำสมาธิฟื้นฟูกำลังยุทธ์ และเตรียมเข้าไปส่วนลึกกับพวกข้า ส่วนคนอื่นๆ รออยู่ที่นี่ไปก่อน”
ไม่รู้เป็เพราะอันดับหนึ่งมีระดับที่พิเศษมีชื่อเสียงของหยาจื้อสิบสามฝ่าย หรือเป็เพราะเห็นสหายของตนเองตกลงไปในมวลหินหนืดต่อหน้าต่อตา เขาจึงยินดีตอบรับคำอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
และเมื่ออันดับหนึ่งมองไปทางฉินอวี่ เสี่ยหยวน และอันดับสองอีกครั้ง เขาก็พูดขึ้น “พวกเ้าสามคนก็เตรียมตัวเอาไว้ด้วย”
ฉินอวี่หรี่ตาลงทันที ในที่สุดก็มาถึง คนอื่นๆ ที่เหลือเอาไว้ที่นี่เพื่อทำการควบคุมฉือเซียว หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉินอวี่ก็พูดไปอย่างเรียบเฉย “เสี่ยหยวนก็ไม่ต้องไปแล้วล่ะ เขาไม่ได้กระตุ้นสายเืหยาจื้อ”
