บทที่ 2: เข็มซ่อนในปุยฝ้าย
เรือน หมู่ตาน (โบตั๋น) ของหลิวซือตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของจวน สวนบุปผชาติที่รายล้อมถูกจัดแต่งอย่างประณีตงดงามสมชื่อเ้าของ กลิ่นหอมหวานของดอกโบตั๋นที่กำลังเบ่งบานลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณ ช่างเป็สถานที่ที่ดูสงบสุขและสวยงาม... งดงามพอที่จะซุกซ่อนความเน่าเฟะที่อยู่ภายใน
ซูเยว่ย่างเท้าเข้ามาในเรือนอย่างเชื่องช้า สายตาของนางกวาดมองทุกสิ่งรอบตัวด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน ในชาติก่อนนางชื่นชมในรสนิยมอันเลิศหรูของแม่เลี้ยงผู้นี้เสมอ แต่มาบัดนี้นางกลับมองเห็นแต่ความจอมปลอมที่ฉาบเคลือบอยู่ทุกหนแห่ง
เมื่อก้าวเข้าสู่ห้องโถงหลัก ภาพที่นางเห็นก็แทบไม่ต่างจากความทรงจำ เสียงหัวเราะต่อกระซิกอย่างสนิทสนมดังแว่วมาให้ได้ยิน
"ท่านพี่เ้าคะ ลองชิมขนมดอกกุ้ยชิ้นนี้สิเ้าคะ ชิงเอ๋อร์ลงมือทำเองกับมือเลยนะเ้าคะ" เสียงหวานใสของซูชิงดังขึ้นอย่างออดอ้อน
"ชิงเอ๋อร์ของแม่ช่างเก่งกาจจริงๆ ไม่เสียแรงที่เป็ลูกสาวของแม่" หลิวซือเอ่ยชมด้วยรอยยิ้ม ขณะที่บิดาของนาง ซูเจี้ยนเฉิง เ้ากรมแพทย์หลวง พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
ภาพครอบครัวอันแสนอบอุ่น... ที่ไม่มีที่ว่างสำหรับนาง
"เยว่เอ๋อร์คารวะท่านพ่อ ท่านแม่รองเ้าค่ะ" ซูเยว่ก้าวเข้าไปในห้อง ย่อกายลงทำความเคารพอย่างนอบน้อม กิริยามารยาทงดงามไร้ที่ติตามแบบฉบับคุณหนูใหญ่แห่งจวนสกุลซู
ทั้งสามคนในห้องชะงักไปครู่หนึ่ง หันมามองนางเป็ตาเดียว โดยเฉพาะหลิวซือและซูชิงที่ดวงตาฉายแววประหลาดใจอย่างชัดเจน
"เยว่เอ๋อร์!" ซูเจี้ยนเฉิงคือคนแรกที่ได้สติ เขารีบลุกขึ้นเดินมาหานางด้วยความเป็ห่วง "เ้าหายดีแล้วหรือ เหตุใดจึงรีบลุกจากเตียง ลมข้างนอกยังเย็นนัก" เขายกมือขึ้นอังหน้าผากของนางตามสัญชาตญาณของคนเป็หมอและเป็พ่อ
ความอบอุ่นที่ไม่ได้ััมานานจากฝ่ามือของบิดาทำให้หัวใจของซูเยว่สั่นสะท้าน ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ในชาติที่แล้วกว่านางจะรู้ซึ้งถึงความรักที่แท้จริงของบิดา... ก็สายเกินไปเสียแล้ว
"ท่านพ่อ ลูกไม่เป็ไรแล้วเ้าค่ะ แค่นอนมาหลายวันจึงรู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว อยากจะออกมาเดินเล่นเสียหน่อย" นางฝืนยิ้ม ส่งยิ้มที่จริงใจที่สุดให้บิดา
หลิวซือรีบปรับสีหน้าให้เป็ห่วงใยตามแบบฉบับ "ดูสิเ้าคะท่านพี่ เยว่เอ๋อร์ช่างรู้จักคิด เพิ่งหายป่วยก็รีบมาคารวะพวกเรา ช่างเป็เด็กดีจริงๆ มาๆ เยว่เอ๋อร์ มานั่งข้างแม่นี่มา" นางตบที่นั่งข้างๆ ตัวเบาๆ
ซูชิงเองก็ลุกขึ้นเดินเข้ามาจูงมือนาง "พี่หญิงใหญ่ ท่านทำข้าใหมดเลย จู่ๆ ก็ล้มป่วยไปตั้งหลายวัน ข้าเป็ห่วงท่านแทบแย่"
ซูเยว่มองมือนุ่มที่จับแขนนางอยู่ แสร้งยิ้มตอบกลับไป "ขอบใจเ้ามากชิงเอ๋อร์ที่เป็ห่วง ตอนนี้ข้าไม่เป็ไรแล้ว"
การแสดงอันสมบูรณ์แบบ! หากเป็นางในชาติก่อนคงซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหลไปแล้ว แต่นางในตอนนี้กลับรู้สึกคลื่นเหียนอย่างบอกไม่ถูก
หลังจากนั่งลงเรียบร้อยแล้ว หลิวซือก็รินน้ำชาให้ลูกสาวของนางด้วยตนเอง "ดื่มชาร้อนๆ ก่อนเถิด จะได้ขับไล่ความเย็น"
ซูเยว่รับถ้วยชามา แต่ไม่ได้ดื่มในทันที นางเหลือบไปเห็นถ้วยยาที่ยังอุ่นๆ วางอยู่ข้างกายบิดา จึงเอ่ยถามขึ้นอย่างเป็ธรรมชาติ "ท่านพ่อยังคงดื่มยาบำรุงที่ท่านแม่รองจัดให้ทุกวันหรือเ้าคะ"
ซูเจี้ยนเฉิงพยักหน้า "ใช่แล้ว ่นี้ข้ารู้สึกอ่อนเพลียอยู่บ่อยๆ แม่รองของเ้าเป็ห่วงจึงต้มยาบำรุงให้ข้าทุกวัน"
หลิวซือยิ้มอย่างภาคภูมิใจ "เป็เพียงเื่เล็กน้อยที่ภรรยาพึงกระทำเ้าค่ะ ท่านพี่ทำงานหนักเพื่อบ้านเมือง ข้าทำได้เพียงดูแลเื่เล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้เท่านั้น"
ซูเยว่จ้องมองถ้วยยาสีเข้มนั้น ในชาติก่อนนางไม่เคยสนใจเื่พวกนี้ แต่ตอนนี้นางคือซูเยว่คนใหม่ที่พกพาความรู้ทางการแพทย์จากความทรงจำในอีกสิบปีข้างหน้ามาด้วย! นางจำได้ลางๆ ว่าใน่บั้นปลายชีวิต บิดาของนางป่วยด้วยโรคประหลาดที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอลงเรื่อยๆ ซึ่งเป็หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ตระกูลซูอ่อนแอลงจนถูกใส่ร้ายได้โดยง่าย
นางแสร้งทำเป็มองอย่างสนใจก่อนจะเอ่ยขึ้นเรียบๆ "ยาถ้วยนี้มีกลิ่นหอมของตังกุยและอึ่งคี้ ช่วยบำรุงเืลมได้เป็อย่างดี แต่... เหตุใดลูกจึงได้กลิ่นของ 'หญ้าหางหมาป่า' ปะปนมาด้วยเล่าเ้าคะ"
คำพูดของนางทำให้รอยยิ้มของหลิวซือแข็งค้างไปชั่วขณะ!
ซูเจี้ยนเฉิงขมวดคิ้ว "หญ้าหางหมาป่ารึ? เป็ไปไม่ได้ นั่นเป็สมุนไพรที่มีพิษอ่อนๆ แม้จะใช้ในปริมาณน้อยก็อาจทำให้ร่างกายอ่อนเพลียลงได้หากใช้ติดต่อกันเป็เวลานาน" ท่านพ่อเ้าเขาเป็ถึงเ้ากรมแพทย์หลวง ย่อมรู้สรรพคุณของสมุนไพรดี
หลิวซือรีบหัวเราะกลบเกลื่อน "เยว่เอ๋อร์ เ้าคงได้กลิ่นผิดไปแล้วกระมัง ในนี้มีแต่สมุนไพรบำรุงชั้นดีที่ข้าคัดสรรมากับมือ จะมีหญ้ามีพิษปนไปได้อย่างไร"
ซูชิงรีบเสริม "ใช่แล้วเ้าค่ะพี่หญิงใหญ่ ท่านเพิ่งหายป่วย จมูกอาจจะยังไม่ค่อยดีก็ได้นะเ้าคะถึงได้กลิ่นของหญ้าหางหมาป่าในยาบำรงของท่านพ่อ"
ซูเยว่ไม่โต้เถียง นางเพียงแค่ยิ้มบางๆ แล้วกล่าวว่า "อาจจะเป็อย่างที่ท่านแม่รองว่าก็ได้เ้าค่ะ ลูกคงได้กลิ่นผิดไปเอง" จากนั้นนางก็หันไปทางบิดา "แต่เพื่อความไม่ประมาท ท่านพ่อลองให้ท่านหมอในกรมตรวจชีพจรดูบ้างก็ดีนะเ้าคะ ลูกเป็ห่วงสุขภาพของท่านพ่อ"
คำพูดของนางดูเหมือนเป็การแสดงความห่วงใยธรรมดา แต่กลับแฝงไปด้วย เข็ม ที่ทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของหลิวซือและซูชิงอย่างจัง และที่สำคัญกว่านั้น มันได้หย่อน "เมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัย" ลงในใจของซูเจี้ยนเฉิงแล้ว
ซูเจี้ยนเฉิงพยักหน้ารับ "อืม... ที่เ้าพูดก็มีเหตุผล พรุ่งนี้ข้าจะลองให้รองเ้ากรมหลี่ตรวจดูเสียหน่อย"
เมื่อเห็นว่าบรรลุเป้าหมายเล็กๆ แล้ว ซูเยว่จึงแสร้งทำเป็อ่อนเพลีย "ลูกรู้สึกเวียนศีรษะเล็กน้อย คงเพราะยังไม่หายดีนัก คงต้องขอตัวกลับไปพักผ่อนที่เรือนก่อนนะเ้าคะ"
"เช่นนั้นก็รีบกลับไปพักเถิด" ซูเจี้ยนเฉิงกล่าวอย่างเป็ห่วง
หลังจากที่ซูเยว่และชุนเถาเดินจากไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิวซือและซูชิงก็หายไปในทันที
"ท่านแม่... ซูเยว่มัน..."
"ชู่ว์!" หลิวซือยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปาก ส่งสัญญาณให้บุตรสาวเงียบเสียง นางจ้องมองไปยังทิศทางที่ซูเยว่เดินจากไป แววตาเต็มไปด้วยความสับสนและไม่พอใจ
เหตุใดซูเยว่ที่ป่วยลุกขึ้นมาครั้งนี้ ถึงได้ดูเปลี่ยนไปราวกับเป็คนละคนเช่นนี้? ทั้งสายตาและคำพูด... มันไม่เหมือนคุณหนูใหญ่ผู้โง่งมคนเดิมที่พวกนางเคยรู้จักเลยแม้แต่น้อย!