หลังจากเจิ้งหยวนตั้งใจสังเกตเสียงของคนในหมู่บ้าน เหล่าชาวบ้านเหมือนจะแตกออกเป็สามฝ่าย คนส่วนใหญ่ค่อนข้างเชื่อคำของเจิ้งหยวน คิดว่าเจิ้งเฉวียนกังเป็คนมีเมตตา เป็ป้าสะใภ้ใหญ่ที่เหลี่ยมจัดจงใจหาเื่หาราวมาเรียกร้องเอง ทว่าก็มีคนอีกส่วนที่เชื่อป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้ง คิดว่าหากครอบครัวเจิ้งหยวนไม่กลัว เจิ้งเฉวียนกังคงไม่ยกเนื้อให้ป้าสะใภ้เจิ้ง ใครก็รู้ยุคสมัยนี้เนื้อมันหายากมาก! และสุดท้ายก็คือคนส่วนน้อยที่วางตัวเป็กลาง ซึ่งพวกเขาคิดว่าคำพูดล้วนเป็ไปได้กันทั้งสองฝ่าย
แค่สามารถก่อกวนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ให้แยกแยะจริงเท็จไม่ได้ เจิ้งหยวนก็พอใจมากแล้ว ครั้นผ่านไปนานวันเข้า ย่อมไม่มีใครจดจำเื่นี้อยู่อีก
หากการแต่งงานกับสกุลเฝิงเป็ไปอย่างราบรื่นก็คงจะดี แต่หากพวกเขาไม่เชื่อจนถอนหมั้นเธอ เธอก็ไม่ขัดขืน ต่อไปแค่แสร้งทำท่าเหมือนไม่ได้รับความเป็ธรรมก็พอแล้ว จิตใจคนเรามักลำเอียง บางครั้งเลยมองว่าคนอ่อนแอมีเหตุผล
นึกแล้วก็บังเอิญนัก หลังเมล็ดพืชบนลานข้าวสาลีแห้ง บรรจุขึ้นรถขนเข้ายุ้งฉางทั้งหมด ฟ้าพลันร้องะเืเลื่อนลั่น ฝนตกกระหน่ำลงมาโดยไม่ทันตั้งตัว
ยามนั้นเจิ้งหยวนกำลังติดตามกลุ่มสตรีบังคับวัวไถนาในทุ่งอยู่ ไม่คาดคิดว่าฟ้าฝนจะแปรปรวน เมฆดำปกคลุมทั่วท้องฟ้ากะทันหันราวกับผืนนภาจะถล่มลงมา ลมพัดต้นไม้รอบข้างดังซ่าๆ ปานจะหักโค่น เสียงครั่นครืนคล้ายผีสางร่ำไห้ระงม
“เร็ว เร็วเข้า ฝนจะตกแล้ว!” ไม่รู้ว่าใคระโขึ้น กลุ่มหญิงสาวและหญิงมีอายุต่างคว้าคราด ฉวยข้าวของของตนเองรีบวิ่งกลับบ้าน
จุดทำนาของพวกเธอห่างไกลจากบ้านสามถึงสี่ลี้ [1] ยังวิ่งไปได้ไม่ไกล เม็ดฝนขนาดใหญ่เท่าถั่วก็เทกระหน่ำลงมา ฝนทั้งมาไวแล้วยังตกแรง ไม่ถึงสิบนาที เจิ้งหยวนก็เปียกโชกไปทั้งตัวแล้ว แถมใต้ฝ่าเท้าที่เป็ถนนลูกรังยังกลายเป็ดินโคลนทันทีที่พื้นแฉะ จึงไม่สามารถวิ่งเร็วได้เหมือนปกติ ไม่เช่นนั้นจะลื่นเอาได้หากไม่ระวัง
เสียงของหัวหน้าหญิงไม่รู้ดังแว่วมาจากทิศทางไหน เธอะโขึ้นว่า “ทุกคนอย่าตระหนก ระวังพื้นลื่น เดี๋ยวจะหกล้มเอา!”
ทันทีที่สิ้นเสียง เจิ้งหยวนพลันเหลือบไปเห็นสตรีข้างๆ เธอลื่นล้มตกลงไปในคูน้ำริมถนนกับตา เธอรีบวางจอบลงเข้าไปช่วยพยุง เมื่อเ้าตัวเงยหน้าขึ้น เจิ้งหยวนถึงพบว่าช่างบังเอิญนัก เป็เจิ้งเสี่ยวชิวนั่นเอง
“ระวังหน่อยสิ!” เธอพยุงให้ขึ้นมาพลางกำชับเสียงเข้ม ด้วยกลัวว่าเจิ้งเสี่ยวชิวจะฟังไม่ชัด เลยจงใจตะเบ็งเสียงให้ดังกว่าปกติ
ในคูน้ำมีแต่ดินโคลน เจิ้งเสี่ยวชิวหกล้มครานี้เปรอะเปื้อนโคลนไปทั้งตัว อีกทั้งเท้ายังลื่น เธอปีนอยู่ถึงสองรอบ พอมีคนคอยดึงแขน จึงพอปีนขึ้นมาได้อย่างทุลักทุเล
เจิ้งหยวนเอ่ย “พื้นลื่น ใช้คราดพยุงเดินเอาสิ!”
เมื่อเปิดปากน้ำก็ไหลลงมาตามกรอบหน้าเข้าปาก เธอถุยๆ สองครั้ง และถาม “ขาเธอไม่พลิกใช่ไหม?”
เจิ้งเสี่ยวชิวลองกระทืบเท้าดูแล้วะโบอก “ไม่นะ!”
“ดีเลย เรารีบเดินกันเถอะ!”
ฝนไม่เพียงตกหนัก ลมยังแรงมากเลยจนแทบจะพัดหมวกฟางบนหัวเจิ้งหยวนปลิวหลุดไปหลายครั้ง โชคดีที่หมวกฟางใบนี้มีเชือก เธอจึงผูกเชือกใต้ลำคอไม่ให้ถูกพัดหายไป แต่คอยจัดกี่รอบก็ยังทำท่าจะปลิวอยู่ เลยปล่อยมันไปเสียเลย ตอนนี้ฝนตกหนัก อย่างไรเสีย หมวกฟางก็กันฝนไม่ได้อยู่แล้ว
ครั้นเดินประคองกันไปประคองกันมา รู้ตัวอีกทีก็ผ่านท้องนาอันยาวไกล ในที่สุดก็กลับถึงบ้านเสียที
ประตูหน้าบ้านที่เปิดอ้าอยู่เผยให้เห็นเฉินชุ่ยอวิ๋นยืนอยู่ด้วยท่าทีกระสับกระส่าย เธอกุมมือเดินไปเดินมาอยู่ใต้ชายคา ก่อนที่ความกังวลบนใบหน้าพลันแปรเปลี่ยนไปทันทีที่เห็นเจิ้งหยวนกลับมา
“พระเ้าช่วย ดูแทบไม่ได้เลย! เปียกไปหมดแล้ว” เธอจับตัวเจิ้งหยวนพลางกวาดสายตาั้แ่ศีรษะจรดเท้า รอบหนึ่ง ก่อนช่วยถอดหมวกฟาง แล้วดันตัวเธอพลางบอก “เร็วเข้า กลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ”
“คุณพ่อกับพี่ชายล่ะคะ กลับมาหรือยัง?” เจิ้งหยวนปาดหยดน้ำตามหน้า “พี่สะใภ้ด้วย กลับมาแล้วเหรอคะ?”
เฉินชุ่ยอวิ๋นบอก “พ่อแกอยู่ที่สำนักงาน ส่วนพี่ชายแกกลับมาแล้ว เขาถือร่มไปรับพี่สะใภ้อยู่… เร็ว รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย” เฉินชุ่ยอวิ๋นเร่งอีกรอบ
พอชุดที่สวมเปียกไปหมดก็ไม่ค่อยสบายตัวนัก เจิ้งหยวนจึงพยักหน้าหันหลังวิ่งเข้าห้องตัวเอง ส่วนเฉินชุ่ยอวิ๋นะโไล่หลัง “เฮ้ แกกางร่มด้วยสิ!เ้าเด็กคนนี้นี่…”
ห้องของเจิ้งหยวนอยู่ตรงข้ามห้องครัวและไม่เชื่อมกับห้องโถงหลัก ดังนั้นตอนกลับเลยต้องฝ่าฝนห่าใหญ่ไป เธอตัวเปียกแฉะอยู่แล้ว ตากฝนอีกสักหน่อยคงไม่เป็ไรหรอก
ครั้นกลับมาถึงห้อง เจิ้งหยวนเหวี่ยงหลังมือปิดประตูแล้วรีบเข้ามิติไปอาบน้ำลวกๆ ทันที โรงแรมในมิติโดนตัดขาดจากโลกภายนอก จึงเป็เอกเทศไปแล้ว แม้จะไม่มีน้ำประปา แต่ระบบน้ำร้อนของโรงแรมยังมีน้ำร้อนเก็บไว้อยู่อีกมาก ก่อนหน้านี้เจิ้งหยวนค้นเจออ่างอาบน้ำในโรงแรมหลายอ่างที่ข้างในผสมน้ำอาบอุณหภูมิพอเหมาะปริมาณไม่น้อย ซึ่งใช้รับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้อยู่
เธอไม่กล้าใช้ของจำพวกครีมอาบน้ำ แชมพู เพราะมันเด่นชัดเกินไป กลิ่นหอมจะทำให้คนสงสัย แค่อาบน้ำสะอาดก็สบายตัวมากแล้ว หลังอาบเสร็จเธอก็ออกมา แล้วสวมเสื้อผ้าสะอาด ทันใดนั้น ประตูก็ถูกเคาะดังลั่น
“กลางวันแสกๆ แกลงกลอนประตูทำไม!”
“ฉันกลัวพี่ชายพรวดพราดเข้ามาน่ะสิ!” เจิ้งหยวนหารองเท้าสะอาดมาใส่ พลางเช็ดหยดน้ำออกจากศีรษะ แล้วเดินไปเปิดประตู
เฉินชุ่ยอวิ๋นมือหนึ่งกางร่ม อีกมือถือชามน้ำขิงผสมน้ำตาลทรายแดง เมื่อประตูเปิด เธอก็ก้าวเข้ามา โยนร่มลงบนพื้นแล้วส่งชามน้ำขิงใบนั้นให้เจิ้งหยวน “รีบดื่มขับเย็นเสีย ”
ยุคสมัยนี้น้ำตาลทรายแดงแพงมาก ปกติแล้วมักใช้เป็ของขวัญเมื่อไปเยี่ยมเพื่อนฝูงญาติมิตร ในบ้านจึงมีไม่เยอะเท่าไรนัก ที่มีอยู่ตอนนี้ก็เพราะได้มาจากครั้งที่เฝิงิเยว่อยู่ไฟหลังคลอดหนิวหนิว
เจิ้งหยวนไม่ท้วงที่แม่ใส่มันในน้ำขิงเยอะ ยังดื่มน้ำขิงรสเผ็ดจัดเข้าไปรวดเดียว
น้ำร้อนไหลลงคอ ท้องอุ่นสบายขึ้นไม่น้อย
เจิ้งหยวนเช็ดหยดน้ำปลายหางตา พลางส่งชามให้เฉินชุ่ยอวิ๋น เจิ้งหยวนมองออกไปข้างนอก ม่านฝนข้างนอกยังคงตกต่อเนื่องไม่ขาดสาย ทั้งมืดและครึ้ม ได้ยินเพียงเสียงซู่ซ่าดูน่าหวาดหวั่นเท่านั้น “โชคดีที่เก็บข้าวสาลีมาหมดแล้ว ถ้าตกเมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าวสาลีคงชุ่มจนแตกหน่อแน่!”
“นั่นน่ะสิ!” เฉินชุ่ยอวิ๋นถอนหายใจเช่นกัน “เง็กเซียนฮ่องเต้คงรู้สึกว่าพวกเาาวนาลำบากละมั้ง เลยรอให้พวกเราเก็บเกี่ยวข้าวสาลีเสร็จค่อยประทานฝนลงมา”
เจิ้งหยวนเอ่ยบ้าง “ฝนตกห่านี้หนักมาก ต้องรดน้ำดินให้ทั่วถึง คงไถนาได้ง่ายขึ้นแน่ ” การไถนาเป็งานหนักชนิดหนึ่ง วัวไถในกองมีไม่เยอะ บางคนเลยได้รับงานไถดินด้วยตนเองซึ่งเหนื่อยมาก แต่เธออยู่ในกลุ่มสตรี กลุ่มสตรีเล็กๆ ของพวกเธอได้รับหน้าที่ปรับหน้าดินที่ไถเรียบร้อยแล้วให้เรียบ พร้อมสำหรับการหว่านเมล็ด
สนทนากันได้เพียงประโยคสองประโยค พี่ชายเธอก็พาพี่สะใภ้กลับมา ตัวเฝิงิเยว่เปียกโชก เจิ้งเทียนิก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เขาไม่ได้เปลี่ยนเสื้อเลยั้แ่กลับมาแล้วออกไปอีกรอบ
เจิ้งหยวนเบ้ปาก พลางเอ่ยกับเฉินชุ่ยอวิ๋น “แม่ดูพี่สิ ฉันว่าไม่จำเป็ต้องเอาร่มให้พี่ชายหรอก ฝนตกหนัก ลมยังแรงเสียขนาดนี้ พัดทีก็โดนตัวแล้ว” แต่เธอก็อิจฉาสองสามีภรรยาที่รักกันลึกซึ้งคู่นี้ทีเดียว
ความจริงแล้ว เฉินชุ่ยอวิ๋นไม่ค่อยพอใจเท่าไรนักที่ลูกชายตนรักภรรยาขนาดนี้ เธอจึงเอ่ยเสียงขมขื่น “ฉันบอกให้เขาไม่ต้องไป เขาไม่ฟังเลย” เธอหันไปหยิบร่มที่โยนไว้บนพื้น “ฉันต้องไปรินน้ำขิงผสมน้ำตาลให้พวกเขา”
“รอฉันด้วย ฉันไปด้วย!” เจิ้งหยวนะโแล้วพาดผ้าขนหนูไว้บนคอ มุดเข้าไปใต้ร่มสีดำคันใหญ่ของเฉินชุ่ยอวิ๋น
เชิงอรรถ
[1] ลี้ หมายถึง หน่วยวัดของจีนมีความยาวเท่ากับ 500 เมตร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้