เช้าของวันรุ่งขึ้นหนิงอ้ายกำลังนั่งดูดซับปราณฟ้าดินเหมือนดังเช่นทุกวันที่ผ่านมา ด้วยญาณััอันลึกล้ำจึงััรู้สึกได้ถึงบางสิ่งอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้นตรงบริเวณเหนือจุดตันเถียร จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเเล้วหลายครั้งทำให้รู้ได้ทันทีว่านี่เป็สัญญาณของการเลื่อนระดับพลังิญญาในขั้นถัดไป
หนิงอ้ายจึงรีบหลับตาลงพร้อมกับเร่งโคจรวิถีลมปราณไปทั่วทั่งร่างกายของตนด้วยความรวดเร็วพริ้วไหวเเต่หนักเเน่นล้ำลึกไปตามความพิศดารของเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆา เพียงชั่วครู่เดียวแรงบีบอัดจากภายในได้สร้างความเ็ปเกินจะคาดคิดเอาไว้ ร่างบางสั่นสะท้าน ใบหน้างามบิดเบี้ยวราวกับ้ากดข่มทุกความรู้สึก หนิงอ้ายตั้งมั่นโคจรลมปราณต่อไปไม่ให้ขาด่
เพราะหากพลาดโอกาสในครั้งนี้ไปแล้วไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกมากน้อยเท่าใดจึงจะสามารถััได้ถึงประตูเลื่อนขั้นเช่นนี้ได้อีกเมื่อไหร่ แม้สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้จะได้สร้างความทรมานต่อทั้งร่างกายจิตใจไปมากเพียงใดก็ตาม ถึงอย่างไรก็ตามหนิงอ้ายเองก็รู้ดีว่าหากเขาสามารถที่จะอดทนผ่านพ้นไปได้จนสำเร็จเเล้ว สิ่งที่ได้รับคืนมาหลังจากนี้ย่อมเป็ผลดีต่อตนเองทั้งสิ้น ดังนั้นเเล้วเขาต้องตัดผ่านเลื่อนระดับขั้นใหญ่ในครั้งนี้ให้ได้
เวลาได้ผันผ่านไปได้นับชั่วยามสำหรับกระบวนการครั้งนี้ ในที่สุดหนิงอ้ายก็สามารถตัดผ่านเลื่อนขั้นเป็ผู้ฝึกตนระดับเทวะิญญาขั้นต้นได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็ระดับขั้นพลังิญญาที่ผู้ฝึกตนต่างเฝ้าฝันถึง
หากมีคำกล่าวที่ว่าระดับจักรพรรดิิญญานั่นยิ่งใหญ่จนยากที่จะก้าวข้ามไปถึงในขั้นได้เเล้ว ระดับเทวะิญญาไม่ต่างไปจากตัวตนในตำนานที่ถูกเขียนบันทึกไว้ในเื่เล่าก็คงไม่เกินจริงไปนัก ด้วยเพราะในอาณาจักรห่างไกลที่ไร้ซึ่งความอุดมสมบูรณ์ทั้งปราณฟ้าดินหรือทรัพยากรบ่มเพาะ ตัวตนของผู้ฝึกตนระดับเทวะิญญานั้นสามารถเปรียบได้ดั่งพระเ้าเลยทีเดียว
มหาทวีปบูรพาแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็ตระกูลใหญ่ของแคว้น ราชวงศ์ปกครองต่าง ๆ บรรดาสำนักศึกษาน้อยใหญ่ที่ขึ้นชื่อต่างล้วนมีตัวตนระดับเทวะิญญาอยู่ไม่น้อยเช่นกัน แม้จะไม่มากมายเท่าหัวผักกาดในตลาดก็จริง เเต่ว่าการที่สามารถบ่มเพาะตัวตนระดับเทวะิญญาขึ้นมาได้นั้นย่อมหมายถึงการที่อีกฝ่ายต่างมีเื้ัที่ไม่ธรรมดาสามัญ
การที่หนิงอ้ายสามารถมาถึงจุดนี้ได้ในเวลาเพียงไม่ถึงสองปีนี่นับได้ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็สุดยอดผู้ที่มีพร์อย่างเเท้จริง เพราะหากทอดสายตามองไปทั่วทั้งมหาทวีปแห่งนี้ตัวตนของผู้ฝึกตนระดับเทวะิญญาขั้นต้นด้วยอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเช่นนี้นับว่าหาได้ยากยิ่งในรอบหลายร้อยปีเลยก็ว่าได้ พึงทราบโดยทั่วกันว่าโดยปกติผู้ฝึกตนราชทินนามเทวะิญญาไปนั้นมักจะมีอายุยี่สิบปีขึ้นไปทั้งสิ้น
หากมีข่าวคราวที่ว่าหนิงอ้ายเป็ผู้ฝึกตนระดับเทวะิญญาขั้นต้นได้ในวัยเพียงเท่านี้ นอกจากจะมีคำชื่นชมไปยังตัวของเด็กหนุ่มหรือตระกูลของตนเเล้วนั้นทางสำนึกศึกษาที่ผู้นั้นสังกัดก็จะได้รับหน้าในคราวนี้ไปด้วย ในปีถัดไปย่อมมีสุดยอดรุ่นเยาว์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพร์จากทั่วสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาทดสอบเข้าร่วมสำนัก แม้กระทั่งผู้ฝึกตนระดับสูงที่ซ่อนตัวในยุทธภพผู้มากฝีมือที่มีสายตากว้างไกลนั้น ย่อมเข้ามาผูกสัมพันธ์กับทางสำนักเห็นได้ว่าย่อมมีสิ่งที่ดีเกิดขึ้นทั้งสิ้น...
ทางฝั่งของหนิงอ้ายเมื่อได้ลืมตาขึ้นมาก็พบว่าร่างกายของตนในครั้งนี้ก็เต็มไปด้วยคราบดำสกปรกเช่นเดิมเหมือนที่ผ่านมาที่ในตอนนี้ต่างส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วทั้งเรือนพักจนทำเอาต้าเฮยที่มองอยู่นั้นถึงกับถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนที่จะซุกตัวลงไปในผ้าห่มเช่นเดิม เด็กหนุ่มคิดว่าหากนับดูเเล้วนี่คงเป็ครั้งที่ห้าสำหรับการเลื่อนระดับขั้นใหญ่สำหรับร่างกายของเขา มีความเชื่อกันว่าในทุกครั้งที่มีการตัดผ่านเลื่อนระดับขั้นใหญ่ในเเต่ละครั้งร่างกายภายในที่ถูกเคี่ยวกรำนั้นก็จะยิ่งบริสุทธิ์ขึ้นตามไปด้วย
หลังจากสำรวจร่างกายของตนอีกครั้งอย่างถี่ถ้วนเเล้วความรู้สึกตอนนี้หนิงอ้ายนั้นััได้ว่าเส้นลมปราณในร่างกายของเขานั้นมีขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย นับได้ว่าเป็สิ่งที่ดีมากเพราะนั่นหมายความว่าหลังจากนี้ร่างกายของเขาจะสามารถดูดซับปราณฟ้าดินที่มากกว่าผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันสองถึงสามเท่า นี่คงเป็อีกเคล็ดลับที่เป็สุดยอดเคล็ดวิชาจากรุ่นสู่รุ่นของตระกูลหวัง มาถึงตอนนี้เเล้วหนิงอ้ายไม่แปลกใจเเล้วว่าเหตุใดในเมื่อหลายร้อยหลายปีก่อน ตระกูลหวังถึงได้ยิ่งใหญ่เช่นนี้
แม้ว่าภายหลังนั้นความเสื่อมถอยที่เกิดขึ้นอาจเกิดได้จากความอ่อนแอลงของพลังทางสายเืก็จริง เเต่ทว่าผู้ฝึกตนแซ่หวังเเต่ละคนที่ได้ศึกษาเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆานั้นไม่ว่าจะเป็อดีตหรือจวบมาจนถึงปัจจุบันนี้ต่างมีรายชื่อติดทำเนียบของสุดยอดผู้ฝึกตนกันทั้งสิ้น
คล้ายกับว่ายังอยู่ใน่ปรับตัวหลังจากที่ได้ตัดผ่านเลื่อนระดับขั้นทั้งร่างกายภายนอกและจิตใจภายใน ได้ส่งผลให้ในตอนนี้หนิงอ้ายนั้นรู้สึกดีใจและภูมิใจในตัวเองเป็อย่างมาก ยังคงครุ่นคิดบางอย่างด้วยใบหน้าเรียบเฉยก่อนที่จะมีบางสิ่งที่ไหลออกมาจากดวงตาเรียวงามคู่นั่น
สิ่งนี้คือน้ำตาอันเกิดจากการที่เด็กหนุ่มนั้นได้ปลดปล่อยทุกความรู้สึกด้านลบออกมาให้หมดสิ้นในเวลานี้ เพราะว่าตลอดสองปีที่ผ่านมาตัวของเขาเองได้ผ่านทุกอย่างมาอย่างยากลำบากอยู่ไม่น้อย มีหลายครั้งที่ต้องยอมรับว่าเขาก็กดดันเคี่ยวเข็ญตัวเองเป็อย่างมาก เพราะการที่เขาได้มาอยู่ในโลกนี้ที่ไม่คุ้นเคยไม่รู้อะไรทั้งสิ้นรวมไปถึงยังต้องปรับตัวให้อยู่กับความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไม่ใช่เื่ง่าย
สิ่งที่ทุกคนต่างััมองเห็นจะดูเหมือนกับว่าหนิงอ้ายคนนี้นั้นเป็คนที่เก่งกาจมากความสามารถ หนิงอ้ายคนนี้พึ่งพาตัวเองได้ หนิงอ้ายคนนี้จริงจังเด็ดขาดในทุกเื่ หนิงอ้ายคนนี้เเข็งแกร่งขึ้นมากพอที่จะปกป้องสิ่งที่ตนรัก แต่ในความเป็จริงไม่ว่าจะในโลกเดิมหรือในตอนนี้ก็ตามเขาก็เป็เพียงคนธรรมดาคนหนึ่งที่สร้างกำแพงเหล่านี้ขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเอง มันคงจะดีไม่น้อยหากว่าได้มีใครสักคนที่คอยเคียงข้างให้กำลังใจ คอยปกป้องดูเเลซึ่งกันและกันหลังจากนี้
ความพยายามตลอดเกือบสองปีที่ผ่านมามันได้เห็นผลตอบเเทนเป็ที่น่าพอใจในระดับหนึ่งสำหรับเขาเเล้ว ความทุ่มเทต่าง ๆ ที่เขาได้ทำมาทั้งสิ้นตลอดเวลาผ่านที่มามันยิ่งตอกย้ำให้ได้รับรู้ว่าสิ่งที่เขาทำอยู่นั้นมันถูกต้องคุ้มค่ามากเพียงใด ไม่มีสิ่งใดที่ต้องเสียใจอีกหลังจากนี้ เมื่อได้ปลดปล่อยทุกสิ่งอย่างที่ตกค้างอยู่ในใจออกมาจนหมด ใบหน้างามได้เผยรอยยิ้มกว้างออกมาด้วยความสุข นี่เเหละเป็ชีวิตที่เขา้า เส้นทางเดินต่อไปข้างหน้าหลังจากนี้ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น เขาพร้อมที่จะรับมือฟันฝ่าไปอย่างไม่หวั่นเกรง
"ผู้ฝึกตนระดับเทวะิญญาเป็ต้นไป สามารถที่จะอัญเชิญจิติญญาแห่งปราณธาตุของตนออกมาได้..." เมื่อนึกขึ้นมาได้หนิงอ้ายจึงหลับตาลงพร้อมกับอัญเชิญให้จิติญญาของิญญายุทธ์ทั้งสามออกมาภายนอกในทันที
"อัญเชิญจิติญญาเเห่งปราณธาตุน้ำ…"
"อัญเชิญจิติญญาเเห่งปราณสุริยะธาตุ…"
"อัญเชิญจิติญญาเเห่งปราณธาตุพิษ…"
พริบตาภายในเรือนพักของหนิงอ้ายได้ปรากฏเป็เเสงสีฟ้าขาว เเสงสีเเดงทอง แสงสีม่วงดำประกายสว่างอยู่ชั่วครู่ จนต้องปิดตาลง จากนั้นหนิงอ้ายก็ได้ลืมตาขึ้นอีกครั้งพร้อมกับมองไปยังตรงหน้าของตนก็พบว่าสิ่งที่ตนมองเห็นนั้นทำเอาประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
ตรงซ้ายมือของหนิงอ้ายจากญาณััสามารถบอกได้ว่านี่คือจิติญญาปราณธาตุน้ำ ปรากฎให้เห็นเป็เด็กผู้ชายตัวน้อยผิวขาวอมชมพู ภายนอกไม่ต่างไปจากเด็กชายอายุราว ๆ ห้าถึงหกปีคนหนึ่งที่มีเส้นผมสีฟ้าแซมขาวยาวจรดไปถึงกลางหลัง
ร่างอวบอ้วนนั้นสวมใส่อาภรณ์สีฟ้าขาวปักดิ้นทองเป็ลวดลายดอกบัวน้อยใหญ่ไปทั่วทั้งชุด ตรงมือขวานั้นถือเป็ดอกบัวคริสตัลหนึ่งดอก ตรงพื้นที่เด็กน้อยยืนอยู่นั้นปรากฎเป็กอบัวที่คล้ายกับว่าจะปรากฎขึ้นทุกครั้งในยามเมื่อเด็กชายคนนี้ได้ย่างก้าวเท้าเดินไป
"ยินดีที่ได้พบเจอขอรับนายท่าน...." เด็กน้อยเอ่ยขึ้นพร้อมกับคำนับเบา ๆ มาทางหนิงอ้าย ก่อนที่จะมองไปรอบตัวอย่างสนใจ ก่อนจะหยุดสายตาตรงต้าเฮยที่กำลังมองมาทางนี้ด้วยความสนใจเช่นกัน
"เ้าคือจิติญญาเเห่งปราณธาตุน้ำอย่างงั้นรึ? น่ารักกว่าที่ข้าคิดเอาไว้มากเเล้วเ้ามีชื่อเเล้วหรือไม่??" หนิงอ้ายถามกลับเด็กชายไปด้วยความสงสัย
"ข้าไม่มีชื่อขอรับ ต้องรบกวนนายท่านแล้ว..."
"เช่นนั้นข้าตั้งชื่อเ้าว่าเสี่ยวเหลียน" หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเอ็นดู
"ข้าชอบขอรับ ต่อไปจากนี้เสี่ยวเหลียนคือนามของข้า..."
"เสี่ยวเหลียนเเล้วนี่เ้า..." หนิงอ้ายที่กำลังชวนเด็กชายตัวน้อยพูดคุยด้วยความสนใจ เเต่กลับถูกเสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง
"หึ!!!" เสียงถอนหายใจดังขึ้นจากอีกฝั่งหนึ่งที่เรียกความสนใจได้ในทันที
หนิงอ้ายหันตัวกลับไปมองด้วยความสงสัย สิ่งที่อยู่ตรงขวามือของเขากลับเป็เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ดูจากภายนอกแล้วพอจะประมาณได้ว่ามีอายุราว ๆ สิบเอ็ดสิบสองปีไม่เกินไปจากนี้ เส้นผมสีเเดงเพลิงประกายทองของอีกฝ่ายช่างสะดุดตารับไปกับใบหน้างาม ที่ในตอนนี้นั้นได้เชิดขึ้นอย่างถือดีให้ความรู้สึกเหมือนคุณหนูจากตระกูลใหญ่ที่ถูกตามใจ
ดวงตาสีทองนั้นให้ความรู้สึกถึงพลังแห่งชีวิตที่ทรงพลังกล้าแกร่งสายหนึ่ง ชุดที่อีกฝ่ายสวมใส่นั้นเป็สีเเดงเพลิงปักลวดลายด้วยดิ้นทองที่เปล่งประกายระยิบระยับ เสียงของเด็กหนุ่มก็ได้ดังขึ้นอีกครั้งด้วยท่าทางกอดอกอย่างถือดี
"นี่เ้าหนู คงไม่ลืมข้าไปใช่หรือไม่?" เด็กหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"..."
"เ้าคงลืมความเป็มาของสายเืเ้าแล้วกระมัง??"
"ไม่จริง เป็ไปได้อย่างไรกัน!!'' หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นเสียงเบาคล้ายกับคุยกับตัวเองเสียมากกว่า
"เป็อย่างที่เ้าคิดนั่นเเหละเ้าเด็กคนนี้!" ชายชราในร่างของเด็กหนุ่มบ่นขึ้นมาเบา ๆ อย่างเหนื่อยใจ
"เป็ท่านผู้เฒ่าจริงด้วย เเล้วเหตุใดท่านจึงปรากฎตัวอยู่ในรูปลักษณ์ของจิติญญาแห่งปราณธาตุอย่างนี้เล่าขอรับ??" หนิงอ้ายถามกลับไปด้วยความสงสัย
"เ้าอย่าพึ่งสงสัยอันใด ในตอนนี้จงตั้งชื่อข้าเสียเถิด..." เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"ถ้าเช่นนั้นข้าขอเรียกท่านว่าเสี่ยวเฟิ่งขอรับ..."
สิ้นคำของหนิงอ้ายที่กล่าวจบลง ร่างกายของเด็กหนุ่มตรงหน้าก็ได้หายไปในทันที พร้อมกับส่งกระเเสจิตมาให้เขาได้รับรู้ว่า อีกฝ่ายยังต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูอีกไม่น้อยจึงต้องใช้เวลาเก็บตัวหลังจากนี้
"พี่ชายเสี่ยวเฟิ่งแม้จะดูเหมือนเ็ามาก เเต่ความจริงก่อนหน้านี้เขาได้ถ่ายทอดปราณธาตุบางส่วนจนข้าเเข็งแกร่งเช่นนี้ได้ขอรับ..." เสี่ยวเหลียนเอ่ยขึ้นบอกกับหนิงอ้าย พร้อมกับยืนยันว่าอรกฝ่ายนั่นเป็คนดีเพียงเเต่อาจจะเ็าไปบ้างเท่านั้นเอง
"เช่นนั้นก็ดีเเล้ว...."
"คำนับนายท่าน โปรดตั้งชื่อให้ข้าด้วยขอรับ..." เด็กหนุ่มชุดดำที่อยู่ไม่ไกลเอ่ยขึ้น ด้วยรูปลักษณ์ดังกล่าวหนิงอ้ายจึงพอคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงเป็จิติญญาปราณธาตุพิษอย่างแน่นอน
"นามของเ้าคือเสี่ยวหลง...."
หนิงอ้ายได้ใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วยามในการพูดคุยกันในเื่ราวต่าง ๆ รวมไปถึงพลังที่อีกฝ่ายอยู่ที่หนิงอ้ายสามารถนำมาปรับใช้ได้ เวลาใน่บ่ายที่เหลือหนิงอ้ายได้ใช้ไปกับการอ่านตำราต่าง ๆ ที่หยิบยืมมาจากอาคารส่วนกลางของสำนักพร้อมกับที่ทำการทบทวนสิ่งที่ศิษย์พี่เหยียนฮุ่ยได้สอนเมื่อวานนี้
ด้วยความรวดเร็วหรืออาจเพราะพร์ส่วนตัวทำให้หนิงอ้ายได้จดจำสิ่งเหล่านี้หมดทั้งสิ้น ก่อนที่เด็กหนุ่มจะวางแผนว่าจะทำสิ่งใด ได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางประตูทางเข้าเรือนพักหลังนี้
"ศิษย์น้องหนิงอ้ายเ้าอยู่ด้านในหรือไม่??" เสียงของไป๋เหลียนฮวาได้ดังขึ้น พร้อมกับที่หนิงอ้ายได้ร้องตอบกลับไป
"ข้าอยู่ในเรือน ศิษย์พี่มีอันใดหรือขอรับ??"
"เ้ารีบแต่งตัวเสียเถิด ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รองและศิษย์พี่สามกลับมาจากการทำภาจกิจเเล้ว ตอนนี้ศิษย์พี่ของเ้าทุกคนต่างอยู่ในอาคารรับรองเเล้วทั้งสิ้น..."
"ข้าจะออกไปตอนนี้เลยขอรับ..." จบคำเเล้วหนิงอ้ายจึงทำการตรวจสอบความเรียบร้อยของตนอีกครั้ง ก่อนที่จะก้าวเท้าออกไปยังหน้าเรือนพักที่มีศิษย์พี่ของตนรออยู่
"ศิษย์พี่จะได้แนะนำเ้าให้รู้จักกับศิษย์พี่ทั้งสามให้กับเ้า" กล่าวจบลงไป๋เหลียนฮวาจึงเดินดำเด็กหนุ่มไปทางฝั่งของอาคารอเนกประสงค์ด้วยความรวดเร็ว เพียงไม่ถึงครึ่งเค่อพวกเขาทั้งสองคนก็เดินทางมาถึงเเล้ว
เสียงพูดคุยกันได้ดังขึ้นมาถึงภายนอก ศิษย์พี่ไป๋ที่เป็สตรีถึงกับบ่นออกมาว่าบุรุษพวกนี้ช่างน่าอายทั้งสิ้น โดยเฉพาะศิษย์พี่เหยียนฮุ่ยนั่นที่เสียงดังเกินไปกว่าผู้ใด
"พวกเ้ามาแล้วอย่างนั้นรึ? เข้ามาแนะนำตัวให้ศิษย์พี่ทั้งสามคนได้รู้จักเ้าเสียสิศิษย์น้องเล็ก..." เสียงของศิษย์พี่คนหนึ่งดังขึ้น
หนิงอ้ายที่ก้มหน้าตั้งเเต่เดินเข้ามานั้น เมื่อถึงจุดหนึ่งเเล้วศิษย์พี่หญิงของตนได้เดินยยกตัวออกไปยังที่นั่งด้านข้าง เด็กหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นอย่างมั่นคงว่า "ข้าหวังหนิงอ้าย ศิษย์ลำดับที่เจ็ด ขอคำนับศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รองและศิษย์พี่สามขอรับ..."
"ศิษย์น้องหนิงอ้าย ในที่สุดเราก็ได้พบเจอกันเสียที..." เสียงของศิษย์พี่คนหนึ่งดังขึ้นอย่างนุ่มนวล
"เเทนไท" ด้วยเสียงที่คุ้นเคยจึงทำให้หนิงอ้ายเงยหน้าขึ้น พร้อมกับพูดกับตัวเองออกมาเบา ๆ ด้วยความใ...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้