ขบวนรถแล่นไปตามถนนในรัฐโจวอย่างช้าๆ
มีเสียงผู้คนจ้อกแจ้กจอแจมากมายอยู่นอกรถ เจินจูเลิกม่านเกวียนเปิดขึ้นมุมหนึ่งและมองไปรอบๆ ด้วยความสงสัย
บนผิวถนนอิฐสีฟ้ากว้าง มีเกวียนและม้าขวักไขว่ไปมาอยู่ตลอด ร้านค้าริมถนนคึกคักพลุกพล่าน มองเห็นร้านสองชั้นสามชั้นได้ทุกที่ และมีพ่อค้าหาบเร่ส่งเสียงร้องขายของตามถนนไม่ขาดสาย
พวกเขาไม่ได้คิดจะหยุดอยู่ที่รัฐโจว แค่มุ่งไปทางประตูทิศเหนือตลอดทาง
ขบวนรถผ่านโรงน้ำชาแห่งหนึ่งจึงหยุดลง
“คุณชายน้อย เราหยุดพักที่นี่สักหนึ่งเค่อเถอะ ผ่านรัฐโจวจนถึงเมืองถัดไปก็จวนจะสิ้นยามโหย่ว [1] ทุกคนควรถือโอกาสทำธุระจัดการตัวเองสักหน่อยก่อนขอรับ” หลิวอี้ดึงบังเหียนหยุดม้า หลังลงจากเกวียนก็กล่าวกับผิงอันที่นั่งอยู่บนขอบเกวียนด้วยความเคารพ
“อ่า... อื้ม!” ศีรษะของผิงอันมองย้อนกลับไปทางหลัวจิ่งปราดหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว เห็นเขาพยักหน้าจึงรีบพยักหน้าส่งไปทันที
“ท่านพี่ ลงไปขยับตัวกันหน่อยเถอะ เราจะพักเท้าที่นี่”
เจินจูย่อมได้ยินแล้ว นางดึงประตูรถม้าเปิดและส่งเสี่ยวฮุยให้เขา ส่วนนางอุ้มเสี่ยวเฮยกำลังจะลงจากรถม้า
หลัวจิ่งยื่นมือออกมา คิดจะรับเสี่ยวเฮยที่อยู่ในอ้อมอกของนางไป
ทว่าเสี่ยวเฮยกลับขู่ฟ่อเป็การเตือนเขา การกระทำของหลัวจิ่งหยุดชะงักอยู่กลางอากาศ
“พรืด” เจินจูอดหัวเราะออกมาไม่ได้
นางวางเสี่ยวเฮยลงบนแอกรถม้า ให้มันขยับตัวเอง
ส่วนนางะโลงมาบนพื้นอย่างนุ่มนวล หลังยืนได้มั่นคงจึงหันกลับไปฉีกยิ้มให้เขาหนึ่งที
หลัวจิ่งถลึงตามองแมวสีดำที่ยืดตัวบิดี้เีอยู่บนแอกรถม้า แล้วตามเจินจูเดินเข้าไปในโรงน้ำชา
หลิวอี้ลงไปจัดการป้อนน้ำและหญ้าให้ม้า ส่วนหลัวสือซานก็ไม่รู้ว่าหลัวจิ่งสั่งให้ไปทำอะไร
ผู้ที่ว่างที่สุดย่อมเป็สองพี่น้องสกุลหู เจินจูเลือกตำแหน่งริมหน้าต่างแล้วนั่งลง
เสี่ยวเฮยะโเข้ามา นั่งลงในตำแหน่งข้างกายนางอย่างหยิ่งทะนง
หลัวจิ่งที่เดินตามเข้ามาอดหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ให้ตายสิเ้าแมวนี่ เอาเถอะ อย่าคิดเล็กคิดน้อยกับมันเลย หลังถามสองพี่น้องแล้วเขาก็สั่งชาหลงจิ่งหนึ่งกากับของว่างสองสามอย่าง หลังจากนั้นก็มานั่งอีกฝั่งหนึ่งของเจินจูทันที
“เฮ้อ ยังเป็บนพื้นราบเรียบที่ดีกว่ายิ่งนัก นั่งอยู่บนรถม้าเช่นนั้นกระดูกล้วนสั่นจนจะพังทลายลงมาอยู่แล้ว” เจินจูทอดถอนใจออกมาสองประโยค
“ท่านพี่ ท่านอ่อนแอเกินไปแล้ว นี่เพิ่งออกเดินทางเอง การเดินทางต่อจากนี้ก็ยังอีกไกล ข้าล้วนไม่รู้สึกว่าสั่นะเืเลย” ผิงอันแขวะนางด้วยคำพูดไม่กี่ประโยค
“…” เจินจูเอียงมองเขาแวบหนึ่ง “เ้านั่งอยู่นอกเกวียนชมทิวทัศน์อยู่ตลอด ทัศนวิสัยเปิดกว้าง ต้องไม่รู้สึกแน่นอนอยู่แล้ว”
ผิงอันคิดจะโต้แย้ง พอสบดวงตาของนางจึงหดตัวกลับไปทันที
หลัวจิ่งมองสองพี่น้องหยอกล้อกันด้วยความขบขัน
ชาและของว่างถูกยกเข้ามาให้อย่างรวดเร็ว กลุ่มของพวกเขาอัดแน่นจนเต็มโรงน้ำชา และลูกจ้างร้านต่างก็ยุ่งจนหัวหมุน
เจินจูดื่มชาลงไปอึกหนึ่ง จู่ๆ ก็คิดเื่หนึ่งขึ้นมาได้ เขาเรียกหลิวอี้เข้ามา “คนขับรถหลิว รัฐโจวมีร้านเนื้อแห้งที่ค่อนข้างมีชื่ออยู่ร้านหนึ่ง ท่านทราบหรือไม่ว่าอยู่ที่ไหน?”
“ทราบขอรับ อยู่ปากตรอกตะวันออกของเมือง ชื่อเสียงไม่เล็กเลย มักมีพ่อค้านักเดินทางที่ชื่นชมในชื่อเสียงไปซื้ออยู่บ่อยๆ ขอรับ” หลิวอี้ตอบด้วยความเคารพ
เจินจูดวงตาเป็ประกาย นางหยิบเอากระเป๋าใบเล็กที่ปักลวดลายแมวน้อยโผไล่ผีเสื้อออกมา ล้วงเงินสิบเหลียงจำนวนสองเหรียญจากด้านในวางลงบนโต๊ะ และดันออกห่างจากตัว
“รบกวนท่านส่งคนไปซื้อกลับมาที ซื้อให้หมดยี่สิบเหลียงได้เลย เอาทุกชนิดมาอย่างละนิดละหน่อย”
หลิวอี้รับเงินมาและรับคำพร้อมจากไป
“เ้ารู้ได้อย่างไรว่ารัฐโจวมีเนื้อแห้งแปรรูปเช่นนี้อยู่?” หลัวจิ่งจำได้ว่า เหมือนนางจะไม่เคยมาที่รัฐโจวเลยนะ
“ผู้อื่นเคยมอบให้น่ะ” นางตอบอย่างยิ้มกว้าง
“มอบให้?” หลัวจิ่งเลิกคิ้วขึ้น
“อ่า... ใช่แล้ว เป็พี่ชายสกุลกู้มอบให้ ข้าเลยคิดขึ้นมาได้ ตอนนั้นมอบให้เยอะมาก มีเนื้อแห้งแปรรูปหลายชนิด อร่อยอย่างมากเลยล่ะ” กล่าวถึงความอร่อยขึ้นมา ผิงอันก็คิดถึงรสชาติของเนื้อแปรรูปทันที
“…”
เจินจูทำท่าเท้าคางและนิ่งอยู่อย่างนั้น แอบชำเลืองมองสีหน้าหลัวจิ่งแวบหนึ่ง อึมครึมลงไปจริงด้วย
ก่อนปีใหม่ของทุกปี หลัวจิ่งจะส่งสิ่งของมาให้ตลอด แต่น้อยมากที่เขาจะส่งสิ่งของที่เป็อาหารการกินมา ส่วนใหญ่จะส่งของจำพวกวัตถุหนัง ผ้าฝ้าย ผ้าห่มขนแกะ วัตถุดิบผ้าหนา และอื่นๆ
จิตใต้สำนึกของเขาคิดว่า อาหารการกินของสกุลหูทำเองได้อร่อย คงไม่สนใจอาหารภายนอกที่รสชาติธรรมดา และอีกอย่างเนื้อแห้งหยาบๆ และหมั่นโถวทางชายแดนเ่าั้กลืนลงไปได้ยากเย็นยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่เคยส่งสิ่งของที่เกี่ยวกับอาหารการกินมาให้สกุลหูเลย
แต่พอมองใบหน้าเล็กที่เต็มไปด้วยความสุขของผิงอัน อีกทั้งการกระทำของเจินจูที่ตั้งใจซื้อเนื้อตากแห้งแปรรูป เขาถึงสังเกตเห็นได้ว่าที่แท้พวกนางก็ชื่นชอบอาหารภายนอกเหมือนกันนี่เอง
เขาหันหน้าออกไปอย่างขุ่นเคืองและมองไปทางถนนใหญ่นอกหน้าต่าง
ปิดปากสนิท คางเชิดขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นสันกรามอย่างชัดเจน หน้าผากอิ่มเอิบ สันจมูกสูงตรง คิ้วยาวเฉียงสีดำ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงและมีอำนาจ ดวงตาสีเข้มสงบเงียบและล้ำลึกอยู่ภายใต้แพขนตาโค้งหนา
หน้าตางดงามจริงๆ เครื่องหน้าราวกับแกะสลักออกมา แม้โมโหก็ยังให้ความรู้สึกมีเสน่ห์จากความเ็าอยู่ เจินจูทอดถอนใจอยู่ข้างใน มือสองข้างของนางเท้าอยู่ที่คาง อดมองด้วยความเคลิบเคลิ้มหลงใหลเล็กน้อยไม่ได้
ปลายหูของหลัวจิ่งเริ่มแดงลุกลามขึ้นช้าๆ มุมปากที่เดิมทีคว่ำลงไม่รู้ว่ายกขึ้นเป็ตรงกันข้ามั้แ่เมื่อไร
ผิงอันนำเสี่ยวฮุยออกมาจากในหน้าอก วางลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้าง และหยิบของว่างจากบนโต๊ะป้อนให้มันด้วยความรวดเร็ว
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมา กลับพบว่าสองคนด้านข้างต่างก็นิ่งเงียบด้วยกันทั้งคู่
“ท่านพี่ ท่านทำอะไรอยู่?” เขามองไปตามสายตาของนาง คล้ายว่าไม่ได้มองอะไรเป็พิเศษ
“…อ่า ไม่ได้ทำอะไร”
เจินจูได้สติกลับมา ปกปิดมุมปากด้วยความเคยชิน โอ้์ นี่นางไม่ได้ลืมตัวจนน้ำลายหกไปใช่หรือไม่ ช่างเป็ชายหนุ่มที่ทำให้หลงใหลจนลืมตัวไปเสียจริงๆ
หลัวจิ่งหันศีรษะกลับมา มองหญิงสาวที่ใช้สองมือเรียวยาวปิดหน้าไปครึ่งหนึ่ง เขาอดฉีกยิ้มขึ้นไม่ได้
เนื้อตากแห้งแปรรูปจำนวนยี่สิบเหลียงใส่อยู่เต็มตะกร้าไม้ถักสองใบเต็มๆ ปริมาณเนื้อตากแห้งเกือบจะสองร้อยชั่ง ในจำนวนนั้นเป็เนื้อหมูตากแห้งหนึ่งร้อยชั่ง เนื้อกวางตากแห้งห้าสิบชั่ง เนื้อแพะตากแห้งห้าสิบชั่ง อีกนิดก็เกือบจะซื้อเนื้อตากแห้งแปรรูปของร้านมาจนเกลี้ยงแล้ว
เจินจูคิดไม่ถึงเลยว่าจะสามารถซื้อมาได้มากมายเพียงนี้ นางมองตะกร้าที่แสนจะหนักอึ้ง อดกุมหน้าผากไม่ได้ เนื้อมากมายเพียงนี้ ในจำนวนยี่สิบคนต่อให้ทานวันละหนึ่งชั่งก็ยังต้องทานอยู่หลายวันเลย
ขบวนรถเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง เจินจูถือเนื้อตากแห้งหนึ่งตะกร้าเล็ก นั่งอยู่ในรถม้าปล่อยให้เวลาผ่านไปช้าๆ นางฉีกหนึ่งชิ้นให้เสี่ยวเฮย และฉีกอีกชิ้นยื่นให้เสี่ยวฮุย จากนั้นฉีกหนึ่งชิ้นใส่เข้าในปากตัวเอง
หมุนวนอยู่เช่นนี้หลายรอบ พอเร่งถึงเมืองถัดไปเนื้อตากแห้งหนึ่งตะกร้าเล็กก็ฉีกแบ่งไปจนหมด
หนึ่งคนหนึ่งแมวและหนึ่งหนู กินกันจนเรอเป็กลิ่นเนื้อออกมา
ขณะเดินทางทั้งน่าเบื่อและไร้ชีวิตชีวา แต่เสี่ยวเฮยและเสี่ยวฮุยสองตัวเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง พวกมันจะนอนในตอนกลางวัน พอตกกลางคืนก็แยกย้ายกันไปเดินเล่นบริเวณรอบๆ รอจนใกล้ถึงเวลาออกเดินทางจึงจะะโกลับมา พอรถม้าเริ่มออกเดินทางพวกมันก็เตรียมที่คนละมุมและนอนหลับใหลไปจนฟ้ามืดสลัว
เจินจูอิจฉาพวกมันเป็อย่างมาก ทว่าก็ไม่สามารถนอนหลับสนิทอย่างเช่นพวกมันได้
ต่อมานางใช้ผ้าฝ้ายสีขาวเนื้อดีนำมาตัดเย็บหมอนแบนเรียบหนึ่งใบ นำหญ้าสงบจิติญญาใส่เข้าไปด้านในไม่น้อย จากนั้นเย็บปิดปากหมอนและสอดเข้าไปบนหมอนธรรมดาอีกชั้นหนึ่ง ด้วยวิธีเช่นนี้หมอนหญ้าสงบจิติญญาเรียบง่ายหนึ่งใบก็ทำเสร็จสิ้น
พอวางมันเข้าไปในเกวียนรถม้า หลังจากนอนลงก็จิตใจสงบและกล่อมให้หลับลงไปได้จริงดังคาด กลิ่นหอมหวนบางๆ กระจายไปทั่วทั้งเกวียน
ตอนที่เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวฮุยได้เห็นหมอนหญ้าสงบจิติญญา ราวกับเจอของล้ำค่าก็ไม่ปาน พวกมันโผเข้ามาอย่างแย่งชิงกัน หากไม่ใช่ว่าเจินจูสายตาเฉียบแหลมการกระทำว่องไว หมอนของนางคงถูกพวกมันยึดครองไปแล้ว
นางประกาศกร้าวอย่างเด็ดขาด ว่าหมอนเป็ของส่วนตัวของนาง ตัวไหนก็ห้ามแตะต้องทั้งนั้น หากตัวไหนกล้าแตะต้องหมอนของนางจะงดให้อาหารไปสามวัน
เจินจูหน้าบึ้งตึง กล่าวอยู่สองหนด้วยความจริงจัง เ้าสองตัวถึงได้พยักหน้ารับรู้อย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไร
แต่ขณะที่นางนอนลงเตรียมหลับ พวกมันล้วนวิ่งรุกล้ำเข้ามาอย่างหนึ่งซ้ายหนึ่งขวาถึงส่วนที่ใกล้หมอนที่สุด
เจินจูจนปัญญาอย่างมาก ทำได้เพียงทำความสะอาดพวกมันให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็ไปได้ทุกวัน เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกหรือตัวหมัดมาแพร่ใส่นาง
เสี่ยวฮุยผ่านการอยู่ร่วมกันมาระยะหนึ่ง จึงไม่ได้หวาดกลัวเสี่ยวเฮยเพียงนั้นแล้ว เสี่ยวเฮยก็ไม่ได้แยกเขี้ยวอย่างไม่ขยับตัวแล้วเช่นกัน สองตัวอยู่ร่วมกันได้อย่างนับว่าไม่เลว
กลิ่นหอมของหญ้าสงบจิติญญาไม่ได้ดึงดูดแค่เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวฮุยเท่านั้น หลัวจิ่งก็ได้กลิ่นนี้อย่างว่องไวด้วยเช่นกัน
เมื่อก่อนเขาเคยได้กลิ่นหอมนี้จากบนกายของเจินจูอยู่ตลอด แค่ไม่ได้ชัดเจนเพียงนี้เท่านั้น
ครั้งนี้แค่เข้าใกล้นางเล็กน้อย กลิ่นที่สะอาดสดชื่นนุ่มนวลและดูมีระดับนั่นก็โชยเข้าจมูก พอสูดดมแล้วรู้สึกสงบผ่อนคลายจิตใจได้ดีจริงๆ
เขาประหลาดใจอย่างมาก จึงถามนางเป็การส่วนตัวว่ากลิ่นหอมที่รู้สึกสงบนี้ เป็สิ่งของอะไรกัน
เจินจูที่คิดข้ออ้างเตรียมไว้อยู่ก่อนแล้ว จึงส่งหมอนในอ้อมอกไปให้หลัวจิ่ง หลังจากนั้นตบไส้หมอนที่อ่อนนุ่มเบาๆ
“ด้านในใส่หญ้าสงบจิติญญาไว้ มันเป็หญ้าที่ใช้สงบจิตใจให้เยือกเย็นชนิดหนึ่ง กลิ่นหอมสดชื่นและอ่อนโยน ดมแล้วสามารถส่งเสริมการนอนให้หลับสนิทได้ เป็หญ้าที่ข้าขุดได้จากด้านหลังูเา”
หลัวจิ่งแปลกใจอย่างมาก ถือหมอนเข้ามาดมใกล้ๆ เป็กลิ่นหอมที่สะอาดสดชื่นนั้นจริงด้วย
“เ้ารู้จักหญ้าชนิดนี้ได้อย่างไร?”
เหตุใดเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
“เอ่อ... ก็มีผู้าุโถ่ายทอดกันมาปากสู่ปาก อืม... หญ้าชนิดนี้มีอยู่น้อยมาก ข้าขุดมาได้เล็กน้อยเท่านั้นเอง”
เจินจูปั้นเื่ออกมาทันทีโดยไม่คิดอะไรมาก หยิบหมอนที่อยู่ในอ้อมอกเขากลับมา
หลัวจิ่งมองนางด้วยความสงสัยเล็กน้อย หญิงสาวตรงหน้าเขามักค้นพบสิ่งของมหัศจรรย์ไม่น้อยอยู่บนูเาเสมอ เหตุใดถึงรู้เื่มากมายเพียงนี้กันนะ
ลูกตาของผิงอันกลอกกลิ้งไปมารอบๆ ช่วยกู้หน้าให้ผู้เป็พี่สาวของตนเอง “หญ้าชนิดนี้ข้าก็รู้จักเช่นกัน เมื่อก่อนหมู่บ้านเรามีท่านปู่ผู้หนึ่งแซ่เผิง ตอนเป็หนุ่มเดินทางไปเหนือล่องใต้ความรู้ช่างกว้างขวางมากมายยิ่งนัก ข้ากับท่านพี่ของข้า ได้ยินเื่มากมายจากเขาหลายเื่ ล้วนแล้วแต่เป็สิ่งที่พวกข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนทั้งนั้น แต่น่าเสียดายนักที่เขาจากโลกนี้ไปเมื่อหลายปีก่อนแล้ว ไม่เช่นนั้นคงจะได้รู้เื่ที่อยู่ข้างนอกจากเขาอีกหลายเื่เลยล่ะ”
เจินจูชำเลืองมองน้องชายคนเล็กของตัวเองแวบหนึ่ง แล้วยักคิ้วกับเขา
ผิงอันยิ้มแฉ่งตอบกลับมา
หลัวจิ่งมองสองพี่น้องเล่นหูเล่นตากันไปมา อดเผลอยิ้มออกมาอย่างเสียมิได้
นับั้แ่สามารถนอนหลับบนเกวียนได้สนิท วันเวลาของเจินจูก็จัดการได้ดีขึ้นมาก เล่นครึ่งวัน นอนครึ่งวัน หากว่างอย่างมากจริงๆ ก็จะหยิบผ้าไหมสีฟ้าอมเขียวออกมาฝึกฝีมือเล็กน้อย ผ่านไปสองสามวันก็มีกระเป๋าติดตัวใบเล็กหนึ่งใบออกมาได้แล้ว โดยปักลวดลายปลาหยอกล้อกับใบบัวอยู่้า
ใส่หญ้าสงบจิติญญาเข้าไปไม่กี่ต้น กลิ่นหอมสะอาดสดชื่นก็โชยออกมามากมาย
หลัวจิ่งเห็นดังนั้น จึงแสร้งทำเป็หยิบไปดู หลังจากนั้นก็เก็บเข้าในหน้าอกทันที
เจินจูขุ่นเคืองแต่กลับทำอะไรเขาไม่ได้ ทำได้เพียงถลึงตามองเขาออกไปตรงๆ
หลัวจิ่งลอบยิ้มไม่หยุด ขณะหยุดพักเท้าที่เมืองถัดไป เลยซื้อตุ๊กตาเครื่องเคลือบอ้วนตุ๊ต๊ะให้นางหนึ่งคู่ จึงทำให้นางคลายความขุ่นเคืองนี้ลงไปได้บ้าง
ตุ๊กตาเครื่องเคลือบหนึ่งชายหนึ่งหญิง ตัวอ้วนกลม สวมใส่เสื้อผ้าเฉลิมฉลองงานมงคล ท่าทางน่ารักเป็อย่างมาก เจินจูถืออยู่ในมืออดยิ้มจนดวงตากลายเป็เสี้ยวคล้ายดวงจันทร์ไม่ได้
นางมองเขาปราดหนึ่ง นับว่าเขารู้จักวางตัวนัก หึๆ
หลัวจิ่งมองเห็นการกระทำนั้น ในใจของเขาเบิกบานอย่างยิ่ง
วันถัดมาเจินจูเอาผ้าไหมสีน้ำเงินออกมาหนึ่งชิ้น เริ่มทำกระเป๋าติดตัวใบที่สอง ใบนี้นางจะปักให้ผิงอัน
ยามนี้การเดินทางได้ผ่านมาครึ่งหนึ่งแล้ว ขบวนรถของพวกเขาคาดว่ายังต้องใช้เวลาอีกสี่ถึงห้าวันจึงจะเตรียมเข้าเมืองหลวง
วันเวลาเหล่านี้ผิงอันร่าเริงยิ่งนัก หลังจากาแบนแขนของเขาดีขึ้นได้พอสมควร จึงไปอ้อนวอนหลัวจิ่ง ให้เขาขี่ม้าเดินทางสักระยะทาง่หนึ่งของทุกวัน
หลัวจิ่งตอบรับออกมาทันที เดิมทีลูกผู้ชายก็ต้องมีความกล้าหาญยิ่งใหญ่ การขี่ม้าก็เป็ทักษะพื้นฐานที่ควรมีติดตัวเด็กผู้ชายอยู่แล้ว ฝึกบ่อยๆ ต้องไม่เลวอย่างแน่นอน
เจินจูไม่ได้คัดค้าน มีหลัวจิ่งคอยดูแลอยู่ ผิงอันจะได้ฝึกฝนทักษะการขี่ม้าได้พอดีด้วย
เชิงอรรถ
[1] ยามโหย่ว คือ เวลา 17.00 - 18.59 น.
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้