อยู่ในสำนักซืออี๋เกือบเดือน ต้องเข้านอนเร็วทั้งตื่นเช้าทุกวัน มิเพียงพอสำหรับอวิ๋นอี้
หลังจากที่นางกลับมาถึงจวน สิ่งแรกที่นางทำคือขังตัวเองอยู่ในห้องและนอนหลับอย่างสบายตลอดทั้งวัน จนกระทั่งตะเกียงถูกจุดขึ้น นางถึงได้ตื่นขึ้นมา
ตอนที่เซียงเหอรอให้นางแต่งตัว ยังอดมิได้ที่จะพูดความในใจ
อวิ๋นอี้คิดเสียว่านางกำลังสวดมนต์ ตอนที่แต่งตัวเสร็จ นางพลันบีบแก้มของเซียงเหอ บีบหน้านางเหมือนล้อเล่น “เสี่ยวเซียงเหอ เ้าบอกหน่อยสิว่าเหตุใดสตรีวัยเยาว์เช่นเ้า ถึงได้เหมือนสตรีวัยกลางคนนัก?”
เซียงเหอติดตามนางมาั้แ่เด็ก นางมิเคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน การล่วงเกินกะทันหัน ทำให้นางหน้าแดงก่ำ มิรู้จะเอาตามองไปที่ใด
ทว่าอวิ๋นอี้จ้องนางอย่างมิเร่งรีบรอคำตอบจากนาง
เซียงเหยินหดตัวกลับอย่างทำตัวไม่ถูก อวิ๋นอี้จึงปล่อยนางไป ทว่ายังถามต่อ "หืม? พูดสิ!"
“ข้า...ข้าทำเพื่อพระชายานะเพคะ!”
"ก็ดี" อวิ๋นอี้ยิ้ม กะพริบตาอย่างเ้าเล่ห์ "เช่นนั้นเ้าอยากให้ข้ากับองค์ชายมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นหรือไม่?" "
“แน่นอนสิเพคะ!"
"เช่นนั้นเ้าจงไปหาฝ่าา บอกเขาให้มาอุ้มข้า ข้าถึงจะยอมทานข้าว" อวิ๋นอี้กอดอก เลิกคิ้วพูด
“กระไรนะเพคะ?” เซียงเหอประหลาดใจ “พระชายาหมายความว่าจะให้องค์ชายมาอุ้มหรือเพคะ?”
“ใช่น่ะสิ!” อวิ๋นอี้พยักหน้า “ผู้ใดให้เขาทำข้าโกรธกัน เ้าไปบอกเขาว่าหากเขามิมาจงบอกว่าวันนี้ข้าจะมิยกโทษให้!”
เซียงเหออารมณ์ซับซ้อน นางเหล่มองอวิ๋นอี้อย่างระมัดระวัง พึมพำอย่างอดมิได้ พระชายาคงมิได้เสียสติไปแล้วใช่หรือไม่ หรือว่าการที่องค์ชายมีสตรีอื่นด้านนอกกระตุ้นให้นางเป็เช่นนี้?
ทว่าคนเราต้องอยู่กับความเป็จริงด้วยสิ!
แม้หรงซิวจะมีท่าทีต่อพระชายาเปลี่ยนไป ทว่าเขาจะตามใจนางอย่างมิสนหน้าตาตนเองเลยได้อย่างไร
“พระชายาเพคะ" เซียงเหอตัดสินใจเสี่ยงตาย "ดูสิเพคะว่าเพลานี้จะถึงเวลาทานอาหารแล้ว มิแน่ว่าองค์ชายอาจจะยุ่งนะเพคะ"
"ข้าสนหรือ?" อวิ๋นอี้ท่าทีแข็งกร้าว "เ้าจะไปหรือไม่? หากเ้าไม่ไป ข้าจะให้คนอื่นไป!"
เซียงเหอได้ยินพลันรีบรับคำ “ไป ไปเพคะ ไปเพคะ ข้าจะไปบัดเดี๋ยวนี้ ทว่าหากว่าฝ่าาไม่มา..."
"เขากล้าหรือ!"
ลำพองตนเสียยิ่งกระไร น่าใยิ่งนัก เซียงเหอบ่นตัวสั่น รีบวิ่งเหยาะไปห้องหนังสือ
นางเปลี่ยนคำพูดเดิมของอวิ๋นอี้เล็กน้อย บอกเพียงว่าพระชายาขอให้องค์ชายอุ้มเท่านั้น จากนั้นทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ
ในห้องหนังสือจุดเทียน ลมภายนอกประตูพัดเข้ามา แสงเทียนแกว่งไปมาในสายลม ทำให้เกิดเงายาวๆ บนผนัง
เซียงเหอก้มหน้าต่ำลงอีก
ทุกอย่างเป็ลางสังหรณ์ว่าคำขอของพระชายาน่าจะมิได้ผลแล้ว
มิคิดเลยว่าผ่านไปครู่หนึ่ง ขายาวของหรงซิวก้าวออกมาจากโต๊ะจนเกิดเงา เซียงเหอหายใจไม่ทั่วท้อง พลันสังเกตได้ว่ามีคนเดินผ่านไป
เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไป ก็มิเห็นองค์ชายเสียแล้ว
นางชะงักครู่หนึ่งแล้วตามไปทันใด เดินไปไม่กี่ก้าว นางพลันตระหนักได้ว่านี่เป็ทางไปที่ห้อง
อย่าบอกนะว่าสำเร็จแล้ว?
เซียงเหอใแล้วใอีก ตามเขาไปจนสุดทาง หรงซิวฝีเท้ากว้าง นางถึงกระทั่งต้องวิ่งเหยาะตาม
จนกระทั่งถึงที่ห้อง นางจึงต้องทำความเข้าใจใหม่
องค์ชายผู้มิเคยที่จะยิ้ม เมื่อเห็นอวิ๋นอี้ มุมปากของเขาพลันโค้งขึ้นเอาสิ่งใดมากดลงก็กดมิอยู่
สายตาของเขาช่างอ่อนโยน แม้แต่แสงจันทร์ที่อ่อนโยนยังมิอาจจะเทียบได้ คิ้วคมและดวงตาที่ราวกับมีดวงดาวของเขาเต็มไปด้วยความรัก เขายืนอยู่ที่ประตู พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มแสนอ่อนโยน "อวิ๋นเออร์"
"กระไรเพคะ?" อวิ๋นอี้ชะโงกหน้าออกมา จงใจทำหน้าเคร่งเครียด “เหตุใดถึงเพิ่งมาเพคะ? มิเต็มใจหรือเพคะ!? หากมิพอใจก็มิจำเป็เพคะ ข้าเดินเองได้”
หรงซิวหัวเราะออกมา แล้วเดินเข้าไปหานาง จับเอวของนางด้วยฝ่ามือใหญ่ของเขาด้วยการกระทำที่เป็ธรรมชาติ "ข้ายังมิได้พูดกระไรเลย เ้าก็พูดเสียหมดแล้ว ปากเล็กๆ นี่มันอย่างไรกัน? เหตุใดคำดีๆ มิมีออกมาเลย เหตุใดในตอนที่โกรธข้าถึงพูดมิมีพัก?”
“อย่ายียวนทำให้ข้าโกรธสิเพคะ”
“ข้าจะกล้าดียียวนเ้าได้อย่างไร?” หรงซิวอ้อนวอนขอความเมตตา “ต่อไปข้าจะดูแลเ้าให้ดีดุจบรรพบุรุษเลย ดีหรือไม่?”
“จุดธูปสามดอกบูชาข้าน่ะหรือ?” อวิ๋นอี้คิ้วตาเรียวยาว กวาดสายตาไปมองเขา “เช่นนั้นหรือ?”
มิรู้ว่าเป็ความเข้าใจผิดของหรงซิวหรือไม่ ทว่าเขามักจะรู้สึกว่านางเหิมเกริมขึ้นกว่าเมื่อก่อน มิฉะนั้น นางคงมิมีสายตาเช่นนี้ทำให้เขาเสียสติได้
หรงซิวอดมิได้ที่จะบีบปลายจมูกของนาง “ปากร้ายเช่นนี้เชียวหรือ?”
“ข้าสู้ท่านมิได้เพคะ หากปากมิร้ายให้เท่าท่าน ก็มิรู้ว่าท่านจะรังแกข้าอย่างไร!” อวิ๋นอี้พึมพำ จงใจพูดไม่ดีกับเขา
หรงซิวหัวเราะใหญ่ โน้มตัวเข้าไปใกล้และกัดหูของนาง “เว้นแต่การรังแกบนเตียง ปกติมิได้ตามใจเ้าหรือ”
มิทันใดก็พลันเข้าเื่นั้นอีก
อวิ๋นอี้ผลักเขาออกไป เห็นว่าเซียงเหอยังอยู่ แก้มของนางร้อนผ่าว
คำพูดไร้สาระพวกนั้น คนสองคนพูดกันยังพอทน ทว่ามีผู้อื่นมาได้ยินนั้นเป็เื่ที่น่าอับอายมาก
นางมิเปิดกว้างพอที่จะแบ่งปันเื่ส่วนตัวเ่าั้กับผู้อื่นได้
"พอเถิด พอเถิด" หลังจากเพลาลงแล้ว อวิ๋นอี้ถึงเงยหน้าขึ้น "เราไปทานข้าวกันเถิดเพคะ ข้าหิวมาก"
"ขึ้นมาเถิด" หรงซิวนั่งยองๆ ให้นางปีนขึ้นหลัง
อวิ๋นอี้มิไว้หน้า หลังจากขึ้นไปแล้วขาเรียวทั้งสองข้างพลันแกว่งไปมาอย่างมีความสุข ฮัมเพลงเบาๆ ในปาก
“ตือโป๊ยก่ายกำลังอุ้มเมีย…เมียทั้งขาวทั้งเต่งตึง…”
หรงซิวได้ยินก็ตลก อดประชันฝีปากกับนางมิได้ “เมียทั้งขาวทั้งเต่งตึง ที่อุ้มอยู่มิใช่ลูกหมูหรือ?"
"ไปไกลๆ เลยเพคะ!"
เื่ที่หรงซิวอุ้มอวิ๋นอี้ไปทานข้าว คนใช้ทุกคนในจวนล้วนเห็นเหมือนกัน กระทั่งวันรุ่งขึ้นก็มีข่าวลือแพร่ออกไป
ตอนที่อวิ๋นอี้ตื่นขึ้น เห็นเซียงเหอจ้องมองนางด้วยท่าทีชื่นชม นางถูกจ้องจนมิสบายใจจึงถามนางว่า "มีกระไรกันแน่? เ้ามองข้าต่อเช่นนี้ เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะจัดการเ้าเสีย?"
"พระชายาเพคะ วิธีของท่านช่างน่าทึ่งเสียจริง!" เซียงเหอยิ้มชอบใจ “คำนั้นว่ากระไรนะ การฆ่าที่มองมิเห็น! [1] ใช่! เป็เช่นนั้นจริงๆ!”
เหตุใดจึงหมายความเช่นนั้นไปได้?
อวิ๋นอี้งุนงง “มิใช่สิ เ้าพูดมาให้ชัด ข้าฆ่าผู้ใดกัน เหตุใดจึงเรียกว่ามองมิเห็น?”
เซียงเหอเล่าข่าวลือที่แพร่กันด้านนอกให้นางฟัง “ท่านให้องค์ชายอุ้มท่านไปทานข้าว มิได้ข่มให้สตรีข้างนอกลงจากหลังม้า [2] หรือเพคะ? ความสัมพันธ์ของท่านกับองค์ชาย ถึงแม้ว่าจะเป็การแสดง ทว่าผู้คนภายนอกไม่รู้นี่เพคะ สตรีที่ถูกเขาเลี้ยงไว้ข้างนอก องค์ชายจะปฏิบัติกับนางเช่นนี้ได้หรือ!? อย่างไรเสียท่านก็เป็บ้านใหญ่ พระชายาเพคะ วิธีนี้ของท่านเหนือคาดมากเพคะ! ข้าอยู่ข้างท่าน!"
อวิ๋นอี้หัวเราะ “ข้าคิดนะว่าการที่เ้าเป็ทาส ช่างดูถูกความสามารถของเ้าเสียจริง เ้าไปเขียนหนังสือเถิดในสมองเ้าเนี่ย มิใช่สุดยอดเืหมา ก็เืหมายิ่งกว่า [3] ”
“อ่า พระชายาหมายความอย่างไรเพคะ?” เซียงเหอพูดไม่หยุด ทว่ามือก็มิได้ว่าง แต่งหน้าให้นางจนเสร็จ
อวิ๋นอี้ยืนขึ้นเขกหัวนาง เกรงว่านางจะเอาเื่สตรีผู้อื่นข้างนอกไปพูดอีก จึงสั่งว่า “องค์ชายมิได้มีสตรีข้างนอก ่วันที่เขามิได้กลับจวนนั้นเพราะว่ายุ่งงานราชการ เขาอธิบายเื่นี้ให้ข้าฟังแล้ว เ้าหยุดพูดเื่นี้ได้แล้ว”
พูดสิ่งที่ควรพูดได้พูดไปหมดแล้ว เซียงเหอพลันยิ่งมีสีหน้าสงสารนาง “พระชายาเพคะ คำพูดของผู้ชายเชื่อมิได้นะเพคะ มิแน่องค์ชายอาจจะหลอกท่านก็เป็ได้ หากอีกไม่กี่วันเขาพาสตรีผู้นั้นเข้ามาในจวนจะทำอย่างไรเพคะ?”
อวิ๋นอี้ตกตะลึง
นางรู้อยู่ว่าสมองของเซียงเหอนั้นเต็มไปด้วยเืสุนัข
เมื่อเห็นว่าดวงอาทิตย์กำลังสูงขึ้นเรื่อยๆ นางมีเื่สำคัญที่ต้องทำวันนี้ จึงไม่พูดเื่นี้อีก ยกกระโปรงขึ้น และรีบออกจากจวนไป
วันนี้นางมีนัดกับเทพบุตรสุดหล่อ!
เชิงอรรถ
[1] การฆ่าที่มองมิเห็น 杀人于无形 หมายถึง การทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ต่างกับตายไป ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไร
[2] ข่มให้ลงจากหลังม้า 下马威 หมายถึง แสดงอำนาจ
[3] เืหมา 狗血 หมายถึง เื่น้ำเน่า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้