เมื่อซูฉางอันกลับมาจากงานเลี้ยง ดวงดาวก็ส่องประกายเต็มท้องนภาแล้วแสงจากบนฟากฟ้าลากให้เงาของเขาทอดยาวอยู่เหนือพื้นดินเบื้องล่าง
เขาผลักประตูใหญ่ของสำนักเทียนหลานให้เปิดออก และพบกับสตรีในชุดเขียวที่ยืนอยู่หลังประตูเพราะนางยืนหันหลังให้แสงดาว ซูฉางอันจึงไม่อาจเห็นใบหน้าของนางได้ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับสว่างไสวเหลือเกินมันเปล่งประกายเสียยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องนภาเสียอีก
ความหงุดหงิดที่ซูฉางอันมีลดลงไปอย่างน่าอัศจรรย์
“ท่านอาจารย์อาชิงหลุน” เขากล่าวขึ้น
หญิงสาวพยักหน้าน้อยๆ ก่อนเสียงอันเยือกเย็นราวไร้ความรู้สึกของนางจะกล่าวขึ้น
“ท่านอวี้เหิงบอกให้เ้าไปหาที่ห้องหลังกลับมาแล้ว”
ซูฉางอันพยักหน้ารับ เขาไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย เพราะเขารู้สึกว่าอวี้เหิงต้องรู้เื่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็แน่ดังนั้น หลังขานรับด้วยเสียงต่ำ ซูฉางอันมุ่งหน้าไปยังหออวี้เหิงทันที
หญิงสาวหันมองตามแผ่นหลังของชายหนุ่ม ก่อนขมวดคิ้วมุ่น นางรับรู้ได้ว่าซูฉางอันในยามนี้แตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อยเพียงแต่นางกลับอธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าส่วนใดกันแน่ที่แตกต่างออกไป
แกรก
ประตูเก่าๆ ของหออวี้เหิงถูกเปิดโดยซูฉางอัน
เขาเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าอวี้เหิง
ชายชราหรี่ตาเล็กน้อยขณะนั่งในท่ากึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้ไทชิประจำตัว
เขามักจะเป็เช่นนี้เสมอ แม้ความง่วงซึมที่หางตาจะมีมากจนราวว่าไม่อาจสลายลงได้แล้วแต่ยังไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะหลับตาลงอย่างแท้จริง ซูฉางอันคิดว่าสำหรับคนชราคนหนึ่งนี่เป็เื่ที่ไม่ดีเอาเสียเลยจึงถามออกไปครั้งแล้วครั้งเล่าว่าทำไมคนตรงหน้าถึงไม่ยอมพักผ่อนจริงๆ เสียที
แต่อวี้เหิงก็ตอบเช่นเดิมไปเสียทุกครา
“คนแก่น่ะ จะนอนหลับแบบสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้หรอก เพราะหากหลับตาลงก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะตื่นขึ้นมาอีกครั้งได้หรือเปล่า”
และคำตอบนี้ก็มักจะทำให้ซูฉางอันรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจเสมอดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะไม่ถามอีก
“กลับมาแล้วรึ? ” อวี้เหิงยันตัวลุกขึ้น แม้เขาจะหรี่ตาอยู่แต่มีเพียงซูฉางอันคนเดียวเท่านั้นที่ดูออกว่าในดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่แสนจริงใจและความอบอุ่นนั้นทำให้ความรู้สึกที่ซูฉางอัน้าเก็บงำเอาไว้ะเิออกมาในที่สุด
อย่างไรเสีย เขาก็เป็เพียงเด็กชายที่อายุยังไม่ครบสิบเจ็ดปีบริบูรณ์คนหนึ่งเท่านั้น
เขามาที่เมืองฉางอันพร้อมกับความฝันแห่งเทพนิยายตามประสาเด็กใน่วัยนี้เขาอยากเป็นักดาบที่เหมือนกับมั่วทิงอวี่ นักดาบที่ผดุงความยุติธรรมรักษาความสงบของบ้านเมือง และพาหญิงสาวที่งดงามเหมือนกับโม่โม่ หรืออาจสวยมากกว่าโม่โม่กลับบ้านเกิดในตอนจบของเื่
และสิ่งที่ฟูมฟักความฝันนี้แก่เขา ไม่ใช่ความรักในความถูกต้องหรือคุณธรรมอันแสนยิ่งใหญ่อะไร แต่เป็เพียงความเพ้อฝันและความฝักใฝ่ในเกียรติยศที่ไกลห่างจากความเป็จริงซึ่งทุกคนต่างมีไม่ต่างกันต่างหาก
เขาเคยคิดว่าตัวเองทำตามความฝันได้บ้างแล้วและนั่นก็ทำให้เขาแอบได้ใจอยู่ไม่น้อย
แต่ความรู้สึกทั้งหมดกลับถูกทำลายจนแหลกละเอียดในค่ำคืนนี้เพราะทุกสิ่งที่เขาเคยพบเจอ และทุกอย่างที่เขาได้รับต่างเป็สิ่งที่ถูกขับเคลื่อนโดยมือขนาดใหญ่ที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยสังเกตเห็นเท่านั้นและเขาก็ไม่ต่างไปจากหุ่นเชิดที่ถูกคนอื่นควบคุมอย่างลับๆ ตลอดเวลาโดยที่ตัวเองกลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
เขาเ็ปอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน รู้สึกเหมือนมีบางอย่างอัดอั้นอยู่กลางอกทำให้เขาหายใจไม่ออก
แต่เมื่อได้พบหน้าอวี้เหิง ในที่สุด ความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในใจก็ปะทุออกมาราวเขื่อนแตก
หัวไหล่ของเขากระตุกขึ้นอย่างรุนแรง ขณะที่หยดน้ำตาไหลผ่านแก้มที่แฝงไปด้วยความอ่อนเยาว์อย่างไม่อาจหยุดยั้งและเขาพลันตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่เื่ที่ดีเอาเสียเลย...นักดาบที่เหมือนกับมั่วทิงอวี่จะมาร้องไห้ง่ายๆ เยี่ยงนี้ได้อย่างไรกันอย่างน้อยก็ร้องไห้ด้วยเื่เช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด
เขายกมือขึ้น ด้วยหวังจะเช็ดหยาดน้ำตาบนใบหน้าออกแต่ดวงตาของเขากลับเอาแต่หลั่งน้ำตาออกมาอย่างไม่รู้จบ ราวกับทำนบที่ขวางกั้นน้ำตาได้พังทลายลงเช่นนั้น
มือที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นถูกยกขึ้นมาวางอยู่บนหัวของเขาและลูบจับเส้นผมบนนั้นเบาๆ
“ร้องออกมาเถอะ” อวี้เหิงกล่าว “ระบายความเ็ปทั้งหมดออกมาให้หมดเสีย”
ซูฉางอันนิ่งไปทันที คำพูดของอวี้เหิงทำให้ป้อมปราการแห่งสุดท้ายในหัวใจหลอมละลายลงในพริบตาเขานั่งอิงกับพนักวางแขนเก้าอี้ไทชิของอวี้เหิง แล้วฟุบหน้าร้องไห้ในที่สุด เช่นเดียวกับเด็กในวัยเดียวกันคนอื่นๆครั้งนี้ เขาร้องไห้ออกมาอย่างไม่คิดจะเก็บกลั้นอีกต่อไป
ร้องเถอะ ร้องระบายความอ่อนแอในหัวใจออกมาให้หมด จากนั้นจงแข็งแกร่งให้ได้มากที่สุดมีเพียงทางนี้ เ้าจึงจะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองฉางอันต่อไปได้
อวี้เหิงตบหลังเขาเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้นในใจ
ณ ลานฝึก จู่ๆ สตรีที่ยืนนิ่งอยู่กลางลานฝึกเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวบนท้องนภาราวกับรับรู้ได้ถึงบางสิ่งบางอย่างด้วยดวงตาที่ส่องประกายงดงามไม่ต่างไปจากดวงดารา สายลมพัดผ่าน ลูบให้ชายเสื้อของนางปลิวไสวขลุ่ยที่ทัดอยู่ข้างเอวถูกดึงออกมา แต่กลับถูกวางลงในเวลาต่อมาเช่นกัน
วินาทีนั้น นางรับรู้ได้ว่าดาวดวงหนึ่งมอดแสงลงกะทันหัน แต่มันก็ส่งประกายแสงออกมาอีกครั้งในไม่ช้าแม้มันจะเป็ระยะเวลาสั้นๆ แต่นางมั่นใจว่าความรู้สึกของตนต้องไม่ผิดไปแน่หญิงสาวจ้องมองดวงดาวที่ส่องแสงพราวพร่างอยู่บนท้องนภาก่อนความไม่เข้าใจจะปะทุออกมาในพริบตา
“ในเมื่อไม่อยากตาย แล้วเหตุใดจึงต้องตายให้ได้ด้วยเล่า?” นางกล่าวพึมพำด้วยเสียงที่มีเพียงตนเท่านั้นที่ได้ยิน
ท่ามกลางราตรีที่แสนมืดมิด สิ่งที่นางได้รับกลับมามีเพียงลมหนาวที่พัดผ่านไปเท่านั้น
ณ หออวี้เหิง ในที่สุดซูฉางอันก็หยุดร้องไห้เสียทีเขาเงยหน้าขึ้นมองอวี้เหิง เช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าออกอย่างเขินอายจากนั้นจึงรีบลุกขึ้นยืน
“ร้องเสร็จแล้วรึ?” ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรเสียงของอวี้เหิงก็ดังขึ้นเสียก่อน
“อืม” ซูฉางอันยังรู้สึกหมองหม่นไม่คลาย เขาตอบด้วยเสียงเศร้าหมอง
“เ้าไม่อยากถามอะไรข้าบ้างรึ? ”อวี้เหิงหันไปมองซูฉางอัน เขาหรี่ตา แล้วส่งประกายรอยยิ้มอันมีความหมายแอบแฝงออกมา
ซูฉางอันคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้าอย่างจริงจัง
แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกกลัดกลุ้มกลับเป็เพราะเขาไม่รู้ว่าควรจะเริ่มถามอย่างไรดีอย่างเช่นคำถามที่ว่าเหตุใดเป่ยทงเสวียนถึงผิดต่อหรูเยี่ยน ทำไมศิษย์พี่ถึงโกหกเขาแล้วไยกู่เซี่ยนจวินถึงต้องพุ่งกระบี่มาที่เขา
ดังนั้นในที่สุด เขาจึงถามเช่นนี้ออกมาแทน“ทำไมโลกใบนี้ถึงเป็เช่นนี้กัน? ”
ขณะถาม เขาเงยหน้าขึ้นไปมองชายชรา และดวงตาของเขาทอประกายแสงระยิบระยับออกมาอีกครั้งเขาถามด้วยท่าทางจริงจังราวใคร่จะรู้ถึงความจริงของเื่บางอย่างมากจนแทบจะทนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว
ทว่าอวี้เหิงกลับนิ่งเงียบไป เขาคิดคำถามที่ซูฉางอันอาจถามเอาไว้มากมายแต่กลับไม่เคยคิดถึงคำถามเช่นนี้เลย
เขาใช้เวลาครุ่นคิดไม่กี่อึดใจ สำหรับเขาแล้วสถานการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น จากนั้นจึงมองไปที่ซูฉางอันแล้วถามกลับไป “แล้วเ้าคิดว่าโลกใบนี้ควรจะเป็ยังไงเล่า? ”
ซูฉางอันนิ่งไปทันที เขาใช้เวลาในการครุ่นคิดนานกว่าที่อวี้เหิงทำเมื่อครู่อยู่โขแต่ในที่สุดก็ได้คำตอบ แล้วตอบกลับหลังนิ่งเงียบไปนาน“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าโลกใบนี้ควรจะเป็เช่นไร แต่ข้าคิดว่าอย่างน้อยมันก็ไม่ควรเป็อย่างที่เป็อยู่ในตอนนี้”
เมื่อพูดมาจนถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็ชะงักไปอีกคราเมื่อเห็นว่าอวี้เหิงไม่มีทีท่าจะตอบกลับมา เขาจึงพูดต่อไป
“ข้ารู้ว่าคนดีอาจไม่ได้รับผลดีตอบแทนเสมอไปคนชั่วก็อาจไม่ได้รับผลกรรมทุกครั้ง แต่อย่างน้อยคนที่รอคอยไม่ควรถูกหักหลังคนที่เชื่อใจไม่ควรถูกทรยศเยี่ยงนี้ หากโลกใบนี้เป็เช่นนี้ข้าคิดว่าข้าคงไม่ชอบมัน”
หลังพูดจบ ซูฉางอันก็มองไปยังอวี้เหิงราว้าคำตอบบางอย่างจากริมฝีปากตรงหน้าคำตอบที่สามารถทำให้เขาเชื่อมั่นในโลกทั้งใบได้อีกครั้ง
แต่อวี้เหิงกลับทำให้เขาผิดหวัง
“แต่... โลกใบนี้ก็เป็เช่นนี้”
ดวงตาของซูฉางอันหมองแสงลงอีกครั้งเขารู้สึกราวบางอย่างที่คอยค้ำจุนความเชื่อของตัวเองแหลกสลายในพริบตาซูฉางอันก้มหน้าลง นิ่งเงียบไปอีกครั้ง
“ผู้ที่รอคอยมักถูกหักหลัง ผู้ที่เชื่อมั่นก็มักถูกทรยศ แต่ถึงกระนั้นยังมีคนเลือกจะรอคอยและเลือกจะเชื่อมั่นในตัวผู้อื่นอยู่ดี ความดีและชั่วอยู่ฝั่งตรงข้ามกันมาโดยตลอดและพวกมันก็คงอยู่ควบคู่กันตลอดมา ทุกชีวิตในโลกใบนี้ ล้วนมีทั้งดีชั่วอยู่ในตัวด้วยกันทั้งสิ้น”
ได้ยินดังนั้น ซูฉางอันที่เดิมก้มหน้าอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเขารู้สึกราวจะจับใจความสำคัญของสิ่งที่อวี้เหิงพูดออกมาได้แต่ก็รู้สึกราวคำตอบนั้นยังล่องลอยอยู่
เขารู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ถามอะไรออกไป อวี้เหิงก็ส่งคำถามออกมาอีกครั้ง
“เ้ายังอยากเป็นักดาบแบบมั่วทิงอวี่อยู่ไหม?”
ซูฉางอันคิดอยู่ครู่หนึ่ง และพยักหน้าอย่างมุ่งมั่นในที่สุด “อยากขอรับ!”
“เช่นนั้นก็จงรักษาความดีในหัวใจเอาไว้กับตัวแต่ออกไปเผชิญกับความชั่วในโลกด้วยความชั่วที่ตนมีอยู่!”
วินาทีนั้น เสียงของอวี้เหิงไม่ได้ฟังดูแก่ชราอีกต่อไปแต่มันกลับเต็มไปด้วยพลัง เฉกเช่นเสียงของพญาราชสีห์ที่เพิ่งตื่นจากนิทรารมณ์
ทันใดนั้นแสงแห่งดวงดาวฉายประกายเจิดจ้าขึ้นมันทอดแสงลงบนใบหน้าของซูฉางอัน ส่องให้ดวงตาของเขาเจิดจรัสเหนือกว่าสิ่งใด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้