“เซิ่งอ๋อง?”
เย่เฟิงหันไปมองเซิ่งอ๋องพร้อมกับกล่าวว่า “เวทีงานชุมนุมหวงปั่งไม่มีกฎห้ามหยุด ในเมื่อมู่เยี่ยนยังอยู่บนเวที ข้าในฐานะผู้ชนะก็ย่อมมีสิทธิ์จัดการเขา เื่นี้ดูเหมือนจะไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของราชวงศ์แต่อย่างใด เมื่อเทียบกับสิ่งที่ข้าทำตอนนี้ ท่านเซิ่งอ๋องสร้างพรรคพวกเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ทำลายผู้จงรักภักดี ดูเหมือนจะร้ายแรงกว่านี้หลายเท่า!”
เสียงของเย่เฟิงดังกึกก้องไปทั่วลานประลอง ทำให้ทุกคนได้ยินอย่างชัดเจน
“เย่เฟิงผู้นี้ใจกล้านัก ไม่นึกว่าจะกล้ากล่าวหาเซิ่งอ๋องเช่นนั้น รนหาที่ตายชัด ๆ!” ผู้คนได้ยินคำพูดของเย่เฟิงต่างก็ตะลึงงันและเผยสีหน้าเหลือเชื่อ ไม่รู้ว่าต่อไปเย่เฟิงจะต้องเจอกับอะไรบ้าง?
“บังอาจ!” เซิ่งอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็ะเิโทสะออกมา พร้อมกับแรงกดดันแผ่กระจายไปทั่วพื้นที่ ผู้คนต่างพากันรู้สึกหายใจไม่ออก
“ข้าทุ่มเททุกอย่างเพื่ออาณาจักรจ้าว ข้าไปสร้างพรรคพวกเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ทำลายผู้จงรักภักดีั้แ่เมื่อใดกัน?” เซิ่งอ๋องซักถามขณะมองเย่เฟิงด้วยท่าทีเดือดดาล
“จอมพลเย่เจินรักษาการณ์ที่ด่านเทียนเฉินหลายสิบปี สร้างผลงานให้กับอาณาจักรจ้าว ปกปักพรมแดนให้อาณาจักรอยู่เย็นเป็สุขจนได้รับการสรรเสริญจากประชาชน แต่เมื่อสิบปีก่อน ตระกูลเย่ล่มสลายในชั่วข้ามคืน ส่งผลให้จอมพลเย่เจินหายสาบสูญ ผู้จงรักภักดีประสบชะตากรรมเยี่ยงนี้ ท่านกล้าพูดหรือว่าเื่นี้ไม่เกี่ยวข้องกับท่าน?” เย่เฟิงกล่าวเสียงหนักแน่นพลางดวงตาแดงก่ำ การล่มสลายของตระกูลเย่ เขาเย่เฟิงรู้มานานแล้วว่าเซิ่งอ๋องมีส่วนเกี่ยวกับเื่นี้
“เหลวไหล!” เซิ่งอ๋องได้ยินเช่นนั้น พลันสีหน้าเปลี่ยนไปอึมครึมทันที เขาคือผู้ชักใยเื่เมื่อสิบปีก่อน แต่เื่นี้กลายเป็ความลับของชาวเมืองหลวง ส่วนผู้รู้เห็นต่างก็รู้ความจริงทั้งหมด เรียกได้ว่าเื่นี้พัวพันเป็วงกว้าง แม้คนส่วนใหญ่จะทราบว่าตระกูลเย่ถูกใส่ร้ายป้ายสี แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าออกมาทวงความยุติธรรมให้ตระกูลเย่
“ปีนั้นเย่เจินเขาสมคบกับศัตรู หากข้าไม่ไหวตัวเสียก่อน เกรงว่าอาณาจักรจ้าวจะเสียหายอย่างหนัก คนทรยศเช่นนี้ถือเป็ฏ หากไม่กำจัด คงยากที่จะได้รับความนับถือจากประชาชน!” เซิ่งอ๋องกล่าว จากนั้นเห็นเซิ่งอ๋องหันไปออกคำสั่งกับทหารในลานประลองว่า “เด็กคนนี้ดูิ่เบื้องบน จงจับตัวผู้กระทำผิดลงมาเสีย!”
“ขอรับ!” ทหารรับคำสั่งและเตรียมจะไปจับตัวเย่เฟิง
“ช้าก่อน!” ขณะนั้นมีเสียงดังมาจากอัฒจันทร์หลัก ซึ่งผู้พูดคือองค์ชายรองจ้าวเยี่ย ทำทหารเ่าั้หยุดชะงัก
“เสด็จอาโปรดระงับโทสะ เย่เฟิงคือเชื้อสายของเย่เจิน เมื่อตระกูลถูกทำลาย เขาก็ย่อมคลางแคลงใจเป็ธรรมดา ไยท่านต้องสนใจด้วยเล่า? อีกอย่างเวลานี้คือ่สำคัญของงานชุมนุมหวงปั่ง ไม่ควรถูกขัดจังหวะแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นหลานคิดว่าเสด็จอาอย่ายุ่งเกี่ยวกับเื่นี้เลย” จ้าวเยี่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเช่นเดิม
“เด็กคนนี้ดูิ่ข้าก่อน มิอาจยกโทษให้ได้ จงจับตัวมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!” เซิ่งอ๋องยังคงยืนกราน เขา้าตัดรากถอนโคน ทหารเ่าั้อยู่ในสังกัดขององค์ชายใหญ่จ้าวหยาง เซิ่งอ๋องคือขุนนางคนแรกที่อยู่ฝ่ายองค์ชายใหญ่ ดังนั้นทหารเ่าั้จึงขึ้นไปบนเวทีเพื่อจับตัวเย่เฟิงตามคำสั่งของเซิ่งอ๋อง
“ตราพยัคฆ์อยู่นี่ ใครจะยังกล้าขัดคำสั่งอีกหรือไม่?” เมื่อจ้าวเยี่ยเห็นเหล่าทหารเมินคำพูดของเขา จู่ ๆ เขาก็หยิบของสิ่งหนึ่งออกจากกระเป๋า ซึ่งก็คือตราพยัคฆ์ เพียงมีตราพยัคฆ์ก็จะสามารถสั่งการเคลื่อนทัพได้
เมื่อตราพยัคฆ์ปรากฏ ทหารเ่าั้คุกเข่าลงทันทีพร้อมเผยสีหน้าประหลาดใจและตัวสั่นเทาเล็กน้อย แม้พวกเขาจะอยู่ในสังกัดขององค์ชายใหญ่จ้าวหยาง แต่ในกองทัพจ้าว ตราพยัคฆ์คือตัวแทนของอำนาจโดยสมบูรณ์ มีหรือพวกเขาจะกล้าขัดคำสั่ง
ผู้คนต่างใ พวกเขาเพิ่งตระหนักได้ว่าองค์ชายรองจ้าวเยี่ยคือผู้วางแผนหลักของงานชุมนุมหวงปั่ง ก่อนหน้านี้องค์าาจ้าวก็ถ่ายทอดคำสั่งลงมา ดังนั้นการที่จ้าวเยี่ยมีตราพยัคฆ์จึงเป็เื่ปกติ
เมื่อจ้าวหยางและเซิ่งอ๋องเห็นจ้าวเยี่ยนำตราพยัคฆ์ออกมาเพื่อปกป้องเย่เฟิง สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปและยิ่งเกลียดเย่เฟิงกว่าเก่า
“หลานคือผู้ดูแลหลักของงานชุมนุมหวงปั่งในครั้งนี้ เสด็จอาอย่าหุนหันพลันแล่นจะดีกว่า!” จ้าวเยี่ยกล่าวกับเซิ่งอ๋อง รอยยิ้มของเขายังคงอ่อนโยนเช่นเดิม เหมือนผู้เยาว์คุยกับผู้ใหญ่อย่างนอบน้อม
“หวังว่าจะไม่มีครั้งต่อไป หากได้ยินเ้าดูิ่ข้าอีก ต่อให้องค์ชายรองใช้ตราพยัคฆ์เพื่อปกป้องเ้า ข้าก็จะฆ่าเ้าให้จงได้!” เซิ่งอ๋องกล่าวเสียงเย็น ก่อนจะกลับไปนั่งที่เดิม
ทางฝั่งสำนักยุทธ์เทียนเสวียน เมื่อฉินเจิ้นถิงและผู้าุโคนอื่น ๆ ที่เตรียมลงมือเห็นเซิ่งอ๋องวางมือ พวกเขาก็ถอนใจโล่งอก
ส่วนมู่เทียนหลงกับมู่เทียนหู่กลับเผยสีหน้าไม่สู้ดี พวกเขาคิดว่าองค์ชายใหญ่และเซิ่งอ๋องจะออกโรงปกป้องมู่เยี่ยน แต่บัดนี้องค์ชายรองกลับเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้มู่เยี่ยนตกอยู่ในวิกฤตอีกครั้ง จนไม่รู้ว่าจุดจบจะเป็อย่างไร
“มู่เยี่ยน เ้ารู้ผิดหรือไม่?” เย่เฟิงซักถามมู่เยี่ยน ประหนึ่งคำพิพากษาวันสิ้นโลก
“เ้าอยากฆ่าข้าก็ลงมือเสีย ไยต้องทำข้าอับอายขายหน้าเยี่ยงนี้?” มู่เยี่ยนตาแดงก่ำ เขานั้นเป็คนไม่กลัวตาย ต่อให้ถูกเย่เฟิงฆ่า ก็ยังดีกว่าอับอายขายหน้าเช่นนี้
“เย่เฟิง เ้าไว้ชีวิตมู่เยี่ยนเพื่อเห็นแก่ตาคนนี้อย่างข้าได้หรือไม่?” พลันมีเสียงหนึ่งดังเข้ามาในหูของเหล่าผู้คน
“ผู้เฒ่ามู่ ผู้เฒ่ามู่มาแล้ว!” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งจำเ้าของเสียงนี้ได้จึงอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ ผู้เฒ่ามู่คือผู้าุโท่านหนึ่งที่มักจะปรากฏตัวแวบเดียว เดี๋ยวก็หายตัวไป และเขาก็มาเยือนงานชุมนุมหวงปั่งในครั้งนี้
นาทีต่อมาผู้คนเห็นแสงส่องระยิบระยับ ก่อนจะรวมตัวเป็มนุษย์คนหนึ่งอย่างช้า ๆ คนผู้นี้สวมอาภรณ์สีน้ำตาล ผมขาว กลิ่นอายรอบตัวดูเลื่อนลอย ดวงตาคู่นั้นแฝงความผันผวนขณะจ้องมองเย่เฟิง คนผู้นี้ก็คือผู้เฒ่ามู่อย่างไม่ต้องสงสัย
“ให้ข้าปล่อยเขา ดูเหมือนผู้าุโจะไม่มีสิทธิ์นั้นนะ อีกอย่างข้าเย่เฟิงไม่เคยมีท่านตาเฉกเช่นผู้าุโ!” เย่เฟิงเห็นผู้เฒ่ามู่ปรากฏตัวก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ตอนตระกูลเย่ล่มสลาย ผู้เฒ่ามู่ปฏิเสธการช่วยเหลือตระกูลเย่มาโดยตลอด มิหนำซ้ำยังไม่แยแสหลานชายอย่างเขาเลยสักนิด ทำให้เขาต้องใช้ชีวิตที่ตระกูลหนานกงในเมืองโยวโจวอย่างตรากตรำนานกว่าสิบปี จนเกือบตกเป็เหยื่อของการสมรสระหว่างตระกูลหนานกงกับตระกูลเฉิน
บัดนี้เย่เฟิงเอาชนะมู่เยี่ยนที่เวทีงานชุมนุมหวงปั่ง แต่เพื่อความปลอดภัยของมู่เยี่ยน ผู้เฒ่ามู่ถึงกับออกโรงและร้องขอหลานชายอย่างเขาคนนี้เลยหรือ?
“ตระกูลมู่ข้าติดค้างเ้า เ้าไม่รู้จักข้าก็ช่างปะไร แต่อย่าลืมว่าแม่เ้าคือคนของตระกูลมู่ หากเ้าทำอะไรมู่เยี่ยน แล้ววันข้างหน้าแม่เ้ารู้เื่นี้ นางคงจะไม่ดีใจ เพราะฉะนั้นถือว่าเห็นแก่แม่เ้า วันนี้เ้าต้องปล่อยตัวมู่เยี่ยน” ผู้เฒ่ามู่กล่าวพลางยิ้มจาง ๆ
เย่เฟิงกะพริบตาปริบ ๆ พลันตกอยู่ในห้วงความคิด ซึ่งเป็อย่างที่ผู้เฒ่ามู่กล่าวเช่นนั้น มารดาเขาย่อมไม่หวังว่าเขาจะมีเื่ทะเลาะวิวาทกับคนตระกูลมู่ ถึงอย่างไรนั่นก็เป็ตระกูลที่มารดาเคยใช้ชีวิต
“เห็นแก่ที่แม่ข้าเคยเป็คนของตระกูลมู่ วันนี้ข้าจะปล่อยเขาไป ทุกอย่างนี้ก็เพื่อความรักที่ตระกูลมู่เคยให้แม่ข้า!” เย่เฟิงกล่าว จากนั้นเขาสะบัดมือ ก่อนจะมีสายลมโจมตีร่างมู่เยี่ยน
“ปัง!” พลันร่างมู่เยี่ยนกระเด็นออกไป ก่อนผู้เฒ่ามู่จะรับร่างเขาและลงไปจากเวทีประลอง จากนั้นคนตระกูลมู่รวมทั้งมู่เทียนหลงและมู่เทียนหู่ปรี่เข้ามาหาทันที เพื่อดูอาการของมู่เยี่ยน พวกเขาพบว่าแม้อาการของมู่เยี่ยนจะไม่สาหัส แต่ต้องใช้เวลาฟื้นฟูหลายวัน นี่ทำให้คนตระกูลมู่จำนวนไม่น้อยหันไปมองเย่เฟิงด้วยสายตาเย็นเยือกและตั้งตัวเป็ศัตรูกับเย่เฟิง
แม้ศึกต่อสู้นี้จะเกิดอุปสรรคระหว่างทาง แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยดี เย่เฟิงชนะมู่เยี่ยนและกลายเป็ผู้ฝึกยุทธ์คนแรกในสามกลุ่มที่ผ่านเข้ารอบ ทำให้ผู้คนไม่น้อยมองเย่เฟิงด้วยสายตาอิจฉาริษยา แต่เหล่าผู้ฝึกยุทธ์สำนักยุทธ์เทียนเสวียนต่างดีใจ แม้แต่นี่จ้านเทียนที่ชิงชังเย่เฟิงมาตลอดก็เริ่มดีใจกับเย่เฟิง ดูเหมือนจะเกิดความเลื่อมใสเพราะพลังอันแกร่งกล้าที่เย่เฟิงแสดงออกมา
ศึกต่อไปคือกลุ่มที่สาม ต้าเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ปะทะยวี่ม่อ ศึกนี้ไม่ค่อยเป็ที่สนใจของเหล่าผู้คน ก่อนหน้านี้ยวี่ม่อแพ้ฉวนเถี่ยจู้ แล้วเขาจะใช่คู่ต่อสู้ของต้าเซิ่งจื่อได้อย่างไร?
ผลลัพธ์เป็ไปตามที่ผู้คนคาดการณ์เช่นนั้น ต้าเซิ่งจื่อชนะยวี่ม่อ ลำดับต่อไปหากต้าเซิ่งจื่อเอาชนะฉวนเถี่ยจู้ได้ เขาก็จะผ่านเข้ารอบต่อไป
เวียนมาถึงกลุ่มที่หนึ่งอีกครา โดยโอวหยางเจินปะทะลู่เฟิง ซึ่งโอวหยางเจินมีทักษะดาบเป็เลิศ วรยุทธ์ก็ยังยอดเยี่ยม ทั้งสองต่างเรียนรู้อำนาจดาบที่มีระดับเท่า ๆ กัน แต่สิ่งที่โอวหยางเจินเชี่ยวชาญไม่ได้มีเพียงดาบ ดังนั้นผู้ชนะจึงตกเป็ของโอวหยางเจิน ส่วนลู่เฟิงตกรอบ
ดังนั้นโอวหยางเจินจากกลุ่มที่หนึ่งและเย่เฟิงจากกลุ่มที่สองผ่านเข้ารอบ เหลือเพียงต้าเซิ่งจื่อและฉวนเถี่ยจู้ที่ต้องต่อสู้เพื่อตัดสินผลแพ้ชนะ
“ข้าฉวนเถี่ยจู้ โปรดชี้แนะด้วย”
บนเวทีประลอง ฉวนเถี่ยจู้คลี่ยิ้มด้วยท่าทีไร้เดียงสา ก่อนจะกล่าวเช่นนั้นกับต้าเซิ่งจื่อ แต่ต้าเซิ่งจื่อกวาดมองฉวนเถี่ยจู้ด้วยสายตาดูแคลน ก่อนจะกล่าวว่า “คนที่จะผ่านเข้ารอบคือข้า หากเ้ายอมแพ้ ข้าจะไว้ชีวิตเ้า”
“ต้าเซิ่งจื่อยโสโอหังอย่างที่คิด ไม่นึกว่าจะให้ฉวนเถี่ยจู้ยอมแพ้ แต่เขาก็แข็งแกร่งจริง ๆ หากเผชิญหน้ากับต้าเซิ่งจื่อ คงบอกได้เพียงว่าฉวนเถี่ยจู้โชคร้ายเข้าให้แล้ว!” ผู้คนคิดในใจ ศึกสุดท้ายนี้ไม่มีอะไรให้ต้องเป็กังวล ต่อให้ฉวนเถี่ยจู้แข็งแกร่งเพียงใด แต่ก็ไม่มีทางเป็คู่ต่อสู้ของต้าเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่
“ยอมแพ้? ยอมแพ้อะไรหรือ? ข้าฉวนเถี่ยจู้รู้จักต่อสู้ แต่ไม่รู้จักยอมแพ้” ฉวนเถี่ยจู้ยังคงคลี่ยิ้ม
“ในเมื่อเ้าอยากตาย เช่นนั้นข้าก็จะสงเคราะห์เ้า!” ต้าเซิ่งจื่อได้ยินเช่นนั้นดวงตาก็เผยประกายคมกริบ จากนั้นเขาวาดฝ่ามือโจมตีฉวนเถี่ยจู้อย่างไม่ลังเล ส่วนฉวนเถี่ยจู้ใช้กำปั้นปะทะกับฝ่ามือของต้าเซิ่งจื่อ ตามมาด้วยเสียงะเิดังสนั่น
พลังของทั้งสองคนใกล้เคียงกัน แต่ฉวนเถี่ยจู้กลับรู้สึกว่ามีพลังสายหนึ่งบุกรุกเข้ามาในร่างกายและทำลายอวัยวะภายในของเขา
ต้าเซิ่งจื่อนั้นไม่เพียงแต่อยู่จุดสูงสุดของขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 พลังก็ยังถือว่าชั่วร้ายเพราะได้รับการฝึกถึง่ต้นของขั้นผันแปรจึงก่อเกิดเป็อำนาจที่ทรงพลัง แม้จะด้อยทางด้านพลัง แต่ต้าเซิ่งจื่อย่อมพลิกเป็ฝ่ายได้เปรียบได้อย่างแน่นอน
“เ้าคนตัวโต ดูซิว่าเ้าจะรับการโจมตีนี้ได้อย่างไร?”
ต้าเซิ่งจื่อกล่าวพร้อมเผยสีหน้าชั่วร้าย เขาเพียงคิด จู่ ๆ มีฝ่ามือั์ก่อตัวที่กลางอากาศ ก่อนจะจับตัวฉวนเถี่ยจู้อย่างรวดเร็ว
