การที่ไม่อาจอวดโฉม ซึ่งลงทุนแปลงโฉมมานั้น ทำให้ชิงอีไม่มีความสุขเป็อย่างมาก
ในตอนที่จะออกจากจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง
ทันใดนั้น ก็มีบางอย่างพุ่งออกมาจากหัวโค้งถนน และเข้ามาหานาง
ชิวอวี่เห็นสัตว์ตัวใหญ่เข้าจู่โจม จึงเข้ามาขวางไว้ แต่กลายเป็ชิงอีผลักเขาออกไป ปล่อยให้สิ่งนั้นโถมเข้าหาตัวเอง
โฮ่ง โฮ่ง
สุนัขสีขาวตัวใหญ่กระโจนเข้าหานาง แลบลิ้นออกมาเลียนาง จนชิงอีต้องยื่นมือมาปิดปากมันเอาไว้ เกิดรอยยิ้มน้อยๆ และในน้ำเสียงมีกระแสของความอ่อนโยนอยู่ในนั้น “สกปรกจะตาย ลงไป”
เ้าสุนัขตัวใหญ่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ลงไปหมุนรอบๆ ชิงอีแทน ท่าทางดูแล้วสนิทสนมกันมาก
ชิวอวี่ที่คอยสังเกตการณ์อยู่ข้างๆ ก็ใเล็กน้อย
แม้ว่าจะบอกว่ามันเป็สุนัขตัวหนึ่ง ทว่า ดูแล้วเหมือนหมาป่ามากกว่า
เหตุใดองค์หญิงกับสุนัขตัวนี้ถึงรู้จักกันนะ?
“เฮ้อ ปกติแล้วนอกจากท่านอ๋อง เสี่ยวไป๋ตัวน้อยตัวนี้ก็ไม่เคยเข้าใกล้ใคร นี่เป็ครั้งแรกที่กระหม่อมเห็นมันสนิทกับองค์หญิงใหญ่ขนาดนี้ ทั้งที่เจอกันครั้งแรก” ลุงจงถอนหายใจ
แววตาของเซียวเจวี๋ยก็ยังเผยความแปลกใจออกมาไม่น้อยเช่นกัน เหตุใดเสี่ยวไป๋ถึงได้สนิทสนมกับนางขนาดนี้?
“เสี่ยวไป๋[1]? ช่างเป็ชื่อที่แย่เสียจริง” ชิงอีที่ได้ยินชื่อของสุนัขก็หลุดขำพรูดออกมา นางลูบหัวสุนัขที่แกว่งหางไปมาต่อหน้านาง ในดวงตากลับมีความประหลาดใจซ่อนอยู่ นางคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าจะได้เจอกับเ้าหมาตัวใหญ่นี่!
เมื่อนานมาแล้ว มีสุนัขสามหัวตัวหนึ่งเฝ้าประตูยมโลก ตอนชิงอียังเด็ก นางมักแอบออกจากปรโลกไปที่ประตูยมโลกเพื่อไปมองเป่ยอิน ตอนนั้นนางเพิ่งจะฟื้นคืนชีพได้ไม่นาน แม้นางมีชีวิตมายาวนาน ทว่า ไม่ได้ชำนาญในการใช้พลัง ทุกครั้งที่นางไปยมโลกก็จะถูกสุนัขสามหัวตัวนี้ขวางเอาไว้
เรียกได้ว่าคู่ต่อสู้คนแรกของนางก็คือเสี่ยวไป๋
อย่างไรก็ตาม...หลังจากทะเลาะกันอยู่นาน ความรู้สึกในตอนนั้นเป็อย่างไร นางเองก็ลืมไปแล้ว
ต่อมาจู่ๆ เย่เหยียนก็หลับใหล นางจึงต้องรับภาระและใช้เวลานับพันปีจัดการปัญหาต่างๆ ในปรโลก ่เวลานั้นนางยุ่งจนหัวหมุนเลยทีเดียว
พอมีเวลาพักหายใจ และไปยมโลกอีกครั้ง เ้าตัวใหญ่นี่ก็ไม่อยู่เสียแล้ว
นางจึงได้พบจื่อโตว เพื่อถามเื่สุนัขสามหัวที่หายไป
เ้าหนุ่มนิสัยออกสาวนั่นกลับบอกว่า สุนัขสามหัวได้ก่ออาชญากรรม มันเลยถูกตีจนตาย แล้วิญญากระจัดกระจายนานแล้ว
ชิงอีหรี่ตามอง พลางยื่นมือไปััเสี่ยวไป๋ นางรับรู้ถึงิญญาที่ยังไม่สมบูรณ์ แต่กลิ่นอายเป็ของสุนัขสามหัวไม่ผิดแน่
“ทำไมมันถึงอยู่ที่จวนเ้าได้ล่ะ?” ชิงอีเงยหน้ามองเซียวเจวี๋ย
“ข้าเก็บมันมาจากสนามรบ” เซียวเจวี๋ยพูดเสียงราบเรียบ
ชิงอีได้ยินเช่นนั้นก็เอียงคอและคลี่ยิ้ม นางกอดคอเสี่ยวไป๋ไว้ไม่ยอมปล่อย จึงไม่ได้ทันเห็นแววตาที่เปลี่ยนไปชั่วแวบหนึ่งของเซียวเจวี๋ย
สนามรบมีผีเร่ร่อนอยู่มากมาย ชิงอีเดาว่าเ้านี่โชคดีที่ิญญาได้กลับชาติมาเกิดเป็สุนัขรับใช้ ทั้งยังกลืนกินิญญานักรบไปไม่น้อย มันเลยมีสภาพดั่งเช่นในตอนนี้
เสี่ยวไป๋ส่ายหัวดุกดิกอย่างมีความสุข จากนั้นก็กัดกระโปรงนางด้วยปากใหญ่ของมัน ราวกับกำลังพูดว่า ไปกันเถอะ เพื่อนยาก! เรามาสู้กันอีกครั้งเถอะ มาดูกันซิ ว่าตอนนี้ท่านโตขนาดไหนแล้ว!
“ตอนนี้ข้าไม่มีเวลาเล่นกับเ้าหรอก ไว้คุยกันทีหลังนะ” ชิงอีลูบหัวสุนัขแรงๆ ก่อนจะหันมาหาบอกเซียวเจวี๋ยว่า “ข้าอยากได้สุนัขตัวนี้!”
การพบกับเสี่ยวไป๋อีกครั้ง ทำให้นางประหลาดใจจริงๆ ที่มันมาอยู่ข้างกายเซียวเจวี๋ย แล้วมันก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเท่าไรนัก
ไม่เคยว่าทันทีที่นางบอกเช่นนั้น เสี่ยวไป๋ก็วิ่งหนีนางไปวนรอบๆ ตัวเซียวเจวี๋ย จากนั้นก็นั่งลงข้างกายเขาท่าทางที่จงรักภักดีต่อเ้าของ
“ดูเหมือนว่ามันจะไม่อยากไปกับองค์หญิงนะ” เซียวเจวี๋ยมองนางสายตาลึกล้ำ
ดวงตาคู่สวยของชิงอีจ้องเขม็ง เ้าหมานี่ไม่รู้ว่าอะไรดีไม่ดี ตามข้าไปอยู่อย่างสุขสบายไม่ชอบ กลับอยากจะอยู่กับหนุ่มน้อยคนนี้?
เสี่ยวไป๋เชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจ สีหน้าและแววตาเช่นนั้น ช่างเป็อะไรที่น่ารำคาญเสียจริง
ชิงอีรู้สึกไม่สบอารมณ์นัก แต่ในวังหลวง ขนาดนางยังรู้สึกไม่สบายใจที่จะอยู่ เ้าสุนัขตัวน้อยนี่คงรู้สึกไม่ต่าง แล้วมันก็ไม่ได้สะดวกสบายเท่าที่จวนเซียวเจวี๋ย ซึ่งเต็มไปด้วยพลังชั่วร้ายเช่นนี้
“เช่นนั้นข้าให้ท่านเลี้ยงมันไว้ชั่วคราวก็แล้วกัน ท่านต้องดูแลมันให้ดี หากมันเป็อะไรไปแม้แต่น้อย ข้าจะโทษเ้า!” ชิงอียกมือเท้าสะเอวและพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง
เซียวเจวี๋ยเหลือบมองสุนัขตัวใหญ่ที่อยู่ตรงเท้าของเขา
เขาสู้สุนัขตัวนี้ไม่ได้เลยหรือ?
เสี่ยวไป๋ทำตัวไม่ถูก จึงได้แต่ส่ายหางแทน เื่นี้ไม่เกี่ยวอะไรกับมันเสียหน่อย นางยืนกรานที่จะเป็เพื่อนกับมันต่างหาก!
“เ้าได้ยินแล้วใช่ไหม?” ชิงอีที่เห็นเซียวเจวี๋ยเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก้มศีรษะลงมาสบตากับเ้าสุนัขแล้วขมวดคิ้ว
ทว่า เซียวเจวี๋ยกลับส่งเสียงหัวเราะออกมา จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองนาง แล้วก้มลงมองที่สุนัขอีกครั้งแล้วกล่าวออกมาว่า “เหมือนจริงๆ”
หืม?
เหมือนอะไร?
ชิงอีชะงักไปครู่หนึ่ง หลังจากคิดได้ว่าหนุ่มน้อยนี่บอกว่านางเหมือนสุนัข นางก็เริ่มหงุดหงิด แต่เซียวเจวี๋ยกลับก้าวมาจับมือนาง แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “ถึงเวลาไปทำงานแล้ว”
ไออุ่นจากฝ่ามือของเขานั้นไม่ได้อุ่นมากนัก ทว่า กลับเพียงพอที่ถ่ายทอดความอบอุ่นไปทั่วมือเย็นๆ ของนางได้ทั่วถึง ชิงอีขมวดคิ้ว กระนั้น ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร นางหันหน้าไปมองเสี่ยวไป๋อย่างไม่พอใจเล็กน้อย
“เ้าหมา รอก่อนเถอะ! คราวหน้าไม่ปล่อยเ้าไว้แน่!”
เสี่ยวไป๋ที่นอนหมอบอยู่ก็แยกเขี้ยวใส่ หมาบ้าหมาบออะไรกันล่ะ ตอนนี้ข้ามีชื่อแล้ว ชื่อเสี่ยวไป๋ไง!
ยามนี้ ท้องฟ้าถือว่าไม่ได้มืดมากนัก ตอนที่นางออกจากวังมาก็ยามเว่ย[2]พอดี ทว่า กลับมาล่าช้าที่จวนเซ่อเจิ้งอ๋องอยู่เป็เวลานาน จนตอนนี้พระอาทิตย์กำลังจะตกดินแล้ว
แสงสีทองสุกสว่างสาดส่องลงมายังพื้นโลก ท้องฟ้าครึ่งหนึ่งถูกความมืดปกคลุม
เวลาหุ้ยอิน เวลาของภูตผีปีศาจ
เซียวเจวี๋ยพานางไปบ้านรองเสนาบดีพิธีการเป็ที่แรก เมื่อผู้คนในจวนรองเสนาบดีเห็นว่าผู้ที่มาเยือนคือเซียวเจวี๋ย จึงไม่กล้าที่จะหยุดเขา ทันทีที่เขาก้าวผ่านประตูมา รองเสนาบดีกรมพิธีการก็รีบออกมาต้อนรับ
“เว่ยซู่ ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“รองเสนาบดีเว่ยไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้” เซียวเจวี๋ยเข้าไปประคองเว่ยซู่ แล้วพูดจุดประสงค์ที่มา “ข้าได้ยินมาว่าฮูหยินป่วย รองเสนาบดีเว่ยคงเป็กังวลไม่น้อย ข้าเลยนำหมอเทวดามาที่จวนของท่าน เพื่อดูอาการของฮูหยิน หวังว่ารองเสนาบดีเว่ยจะไม่ขุ่นเคือง”
“ท่านอ๋องทรงกล่าวเกินจริงไปแล้ว เป็กระหม่อมเสียมากกว่าที่ต้องขอบพระทัยที่ท่านทรงห่วงใยถึงจะถูก” ใบหน้าของเว่ยซู่เต็มไปด้วยความซาบซึ้ง “่นี้พระวรกายของท่านอ๋องก็ยังทรงไม่ค่อยแข็งแรง ทว่า ทรงกังวลเื่ครอบครัวของกระหม่อมอีก จริงๆ แล้วกระหม่อม...”
“พูดเื่ไร้สาระกันอยู่นั่นแหละ สรุปแล้วจะให้รักษาหรือไม่?” ชิงอีกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ สิ่งที่น่ารำคาญที่สุดคือการคุยกันไม่รู้จบเช่นนี้
เว่ยซู่ผงะไปนิดหนึ่ง เขามองชิงอีและพบว่านางสวมหมวกสีดำ ไม่เปิดเผยใบหน้าให้เห็น ทว่า นางยืนอยู่ข้างหน้าเซียวเจวี๋ยเล็กน้อย ไม่ใช่อากัปกิริยาของนางกำนัล แต่ค่อนไปทางของคนใหญ่คนโตเสียมากกว่า
ความลึกลับเช่นนี้ อาจจะเป็คนประหลาดที่มากความสามารถ ซึ่งเซ่อเจิ้งอ๋องหามาสินะ?
แม้ว่าเว่ยซู่จะไม่ค่อยชอบท่าทางของนาง แต่ก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า เขาเพียงพูดด้วยรอยยิ้มแห้งๆ ว่า “คนของจวนเซ่อเจิ้งอ๋องช่างไม่ธรรมดาจริงๆ เื่ฮูหยินของกระหม่อมคงเป็เื่ที่รู้กันทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว เฮ้อ...ช่างเป็โชคร้ายของตระกูลเสียจริง!”
เว่ยซู่ส่ายหน้า เม้มริมฝีปาก “ท่านอ๋องกับหมอเทวดาโปรดตามกระหม่อมมา ทว่า กระหม่อมอยากจะให้พวกท่านเตรียมใจไว้ อีกประเดี๋ยวอาจจะใได้”
เมื่อนึกถึงใบหน้าที่คล้ายแมวนั้น เว่ยซู่ก็อดหวาดกลัวไม่ได้
ชิงอีส่งเสียงหึออกมา และสั่งให้เขารีบนำทางไปอย่างหงุดหงิด
*************************
[1] ไป๋ (白) แปลว่า สีขาว
[2] ยามเว่ย คือเวลา 13:00 - 14:59 น.
