“อ่า…” หูฉางกุ้ยที่ถูกถามกะทันหัน ทันใดนั้นก็ประหม่าจนตัวเกร็ง และเอ่ยตะกุกตะกักออกมา “นี่… นี่… เ้า… เ้ากับท่านย่าของเ้าตัดสินใจกันได้เลย…”
“ท่านพ่อ ท่านก็เป็หัวหน้าครอบครัว ย่อมต้องผ่านการเห็นด้วยของท่านสิถึงจะถูก หากท่านเห็นด้วยว่าขาย เราก็ขายสูตรให้ท่านอาเหนียนเลย” เจินจูกล่าวปลุกเร้าเขา
หูฉางกุ้ยลักษณะนิสัยโอนอ่อน เผชิญปัญหาไม่กล้าออกเสียง อุปนิสัยใจคอเช่นนี้ออกนอกบ้านจะถูกเอาเปรียบได้ง่าย แม้นิสัยที่เกิดขึ้นจะเป็มายาวนานยากที่จะเปลี่ยนแปลง แต่ต่อไปให้เขาค่อยๆ ดู ค่อยๆ คิดให้มากๆ และตัดสินใจเอง เชื่อว่าจะสามารถมีความมั่นใจในตัวเองขึ้นมาได้บ้าง
“เอ่อ?” หูฉางกุ้ยมองเจินจูที่ยิ้มบางๆ ด้วยความลังเลใจ แล้วหันศีรษะไปมองที่หวังซื่ออีกครั้ง
หวังซื่อเข้าใจความหมายจากในคำพูดของเจินจูอยู่บ้าง จึงยิ้มไปทางเขาน้อยๆ แล้วพยักหน้า
“เช่นนั้น เรา… ก็ขาย? …” เมื่อหูฉางกุ้ยได้รับการชี้แนะจากหวังซื่อ ก็เปิดปากกล่าว
“ดี เช่นนั้นพวกเราก็ขายสูตรให้ท่านอาเหนียนกันเ้าค่ะ” สองคนเห็นด้วยหมดแล้ว เจินจูไม่มากความอีกต่อไป ทำการตกลงออกมาอย่างไม่อ้อมค้อม
เหนียนเสียงหลินร่าเริงยินดีและใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มทันที แม้จะจ่ายเงินมากไปกว่าที่คาดไว้เล็กน้อย แต่เขาเชื่อว่าไม่นานจะสามารถหาเงินทุนพร้อมกำไรกลับมาได้
ความ้าของทั้งสองฝ่ายตกลงความเห็นตรงกันได้ เื่ที่เหลืออยู่ไม่นานก็ดำเนินการไปอย่างราบรื่น
หากระดาษ หมึก พู่กันและแท่นฝนหมึกออกมา เหนียนเสียงหลินเขียนหลักฐานตัวอักษรสองฉบับด้วยตัวเอง แม้จะมีประสบการณ์ก่อนหน้านี้สองครั้งแล้ว เจินจูก็ยังดูอย่างละเอียดรอบครอบหนึ่งรอบ หลังจากนั้นสองฝ่ายจึงลงนามในสัญญา การซื้อขายก็ประสบความสำเร็จ
เหนียนเสียงหลินล้วงถุงเงินออกมาจากในอ้อมอก ควักทองแท่งห้าอันอันละยี่สิบเหลียงออกมา แล้วหยิบตั๋วเงินออกมาหลายใบพับซ้อนกันเป็ระเบียบอีกครั้ง และนับจำนวนเงิน “ออกจากร้านมารีบร้อนไปหน่อย ไม่ได้พกเงินมามากมายเช่นนั้น นี่เป็ตั๋วเงินของสมาคมการเงินทงเป่า สมาคมการเงินในเมืองล้วนรับได้หมด หากพวกเ้าไม่้าตั๋วเงินก็สามารถตามข้ากลับไปโรงเตี๊ยมหยิบเงินเหรียญให้ได้”
“ตั๋วเงิน” หวังซื่อจ้องมองกระดาษบางๆ ไม่กี่ใบ ในมือเหนียนเสียงหลินที่ออกแรงกำแน่นจนทำให้มือสั่นเทาเล็กน้อย
ตั๋วเงิน!! แค่ฟังก็ล้วนทำให้คนหัวใจเต้นรัวเร็วขึ้น ทำงานมาครึ่งค่อนชีวิต นี่เป็ครั้งแรกที่นางเห็นตั๋วเงินระยะใกล้เช่นนี้
“ข้าดูหน่อยได้หรือไม่เ้าคะ?” เจินจูเข้าไปใกล้ด้านหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น ตั๋วเงินของยุคนี้จะเป็อย่างไร นางยังประหลาดใจอยู่มาก
“แน่นอนว่าได้” เหนียนเสียงหลินยิ้มแล้วส่งตั๋วเงินในมือไป “นี่คือสองแผ่นแผ่นละหนึ่งร้อยเหลียงกับสี่แผ่นแผ่นละห้าสิบเหลียง”
เจินจูหยิบหนึ่งใบในนั้นขึ้นมา พลิกดูด้านหน้าและหลังอย่างละเอียด กระดาษนิ่มและเหนียว มีลายเส้นตัวอักษรชัดเจน ลวดลายบนกระดาษออกแบบได้พิถีพิถันอย่างมาก มีตราประทับระหว่างสีแดงสลับสีดำอย่างสมบูรณ์แบบ
“แม่นางหูวางใจได้ เป็ตั๋วเงินของสมาคมทงเป่าจริงๆ ล้วนแลกเปลี่ยนในตลาดการค้าได้” เฉินเผิงเฟยมองคร่าวๆ สองสามที หันมายิ้มทางเจินจูแล้วพยักหน้า
“ตั๋วเงินของท่านอาเหนียน พวกข้าวางใจแน่นอนเ้าค่ะ” เจินจูยิ้มแล้วพยักหน้า วางตั๋วเงินในมือลงเรียบร้อย “ท่านย่า ท่านดูว่าพวกเราจะรับตั๋วเงินไว้? หรือกลับโรงเตี๊ยมไปเอาเงินกับท่านอาเหนียนเ้าคะ?”
“นี่…” หวังซื่อลังเลใจเล็กน้อย นางหยิบตั๋วเงินหนึ่งใบขึ้นด้วยความระมัดระวัง มองกลับไปกลับมาอยู่สองสามครั้ง แม้ในใจจะรู้สึกว่าเงินค่อนข้างน่าเชื่อถือกว่าตั๋วเงิน แต่เงินมากมายเพียงนั้นวางไว้ในบ้านรู้สึกว่าก็ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง “เจินจู เ้าว่าอย่างไร?”
“แหะๆ ท่านย่า ตอนนี้ท่านอาเหนียนมีเงินหนึ่งร้อยเหลียงแล้ว ส่วนตั๋วเงินนั้นก็พกพาสะดวกและง่ายต่อการเก็บสะสมด้วย หาก้าแลกเป็เงินพวกเราไปสมาคมในเมืองก็สามารถแลกเปลี่ยนเงินตราได้แล้ว” เจินจูแสดงความคิดเห็นของตัวเอง
“พี่สะใภ้หู ไม่เช่นนั้นเอาแบบนี้ ครั้งหน้าหากพวกท่านไปถึงในเมือง ก็ถือตั๋วเงินตรงเข้ามาที่สือหลี่เซียงของพวกข้า ข้าจะเปลี่ยนเป็เงินให้พวกท่านเอง” เหนียนเสียงหลินรู้ว่าฐานะการเงินของครอบครัวสกุลหูไม่ได้ดีนัก ไม่เคยััตั๋วเงินมาก่อน หากลังเลใจก็เป็เื่ธรรมาดามาก
หวังซื่อฟังจบในใจก็มีความสุข ได้ยินคำมั่นสัญญาเช่นนี้แล้วความลังเลใจเล็กน้อยของนางก็หายไปเดี๋ยวนั้น พยักหน้าตกลงทันที
เก็บตั๋วเงินไว้ด้วยความระมัดระวัง ต่อมาก็เขียนรายละเอียดส่วนประกอบของสูตรพะโล้หนึ่งฉบับ ตัวอักษรที่เขียนด้วยพู่กันคล้ายกับไก่เขี่ยของเจินจูเป็ธรรมดาที่จะไม่กล้าแสดงฝีมือออกไป
เหนียนเสียงหลินยังคงนั่งอยู่ข้างโต๊ะ ขีดเขียนตัวอักษรจีนแต่ละขีดขึ้นมาเอง ส่วนเจินจูก็บรรยายออกไปด้วยคำพูด
เมื่อเฉินเผิงเฟยเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็หาข้ออ้างออกจากห้องโถงไปโดยมิรอช้า
เจินจูบอกสัดส่วนเครื่องเทศของสูตรพะโล้อย่างละเอียดให้แก่เหนียนเสียงหลิน หวังซื่อก็เสริมอยู่ด้านข้างเป็ระยะๆ ไม่นานมาก สูตรพะโล้ก็จดบันทึกได้ครบถ้วน
เหนียนเสียงหลินหยิบกระดาษที่น้ำหมึกยังไม่แห้งขึ้นมาเป่าด้วยความระมัดระวัง และตั้งใจถามปัญหาเกี่ยวกับขั้นตอนการทำพะโล้เล็กน้อยอีกครั้ง หวังซื่ออธิบายทีละอย่างอย่างชัดเจน
เจินจูบอกวิธีทำความสะอาดเครื่องในหมูทั้งหมดแก่เขา หากจัดการกลิ่นสาบคาวของเครื่องในหมูไม่ดี รสชาติพะโล้ที่ทำออกมาก็จะมีกลิ่นแปลกๆ
เหนียนเสียงหลินฟังแล้วพยักหน้าติดๆ กัน แอบถอนหายใจข้างใน ระดับฝีมือการทำครัวย่าหลานสองคนของครอบครัวสกุลหูนี้โดดเด่นไม่เหมือนผู้ใดนัก ไม่แปลกใจเลยที่จะทำอาหารออกมาได้เอร็ดอร่อยเป็เอกลักษณ์เช่นนี้
ผ่านไปหนึ่งเค่อ เหนียนเสียงหลินรีบจากไปพร้อมเนื้อพะโล้หนึ่งโถที่สกุลหูมอบให้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขารีบเร่งกลับไปจัดทำพะโล้ชุดที่หนึ่งออกมา
เฉินเผิงเฟยอำลาไปพร้อมกับเหนียนเสียงหลิน นำพะโล้โถสุดท้ายกลับไปด้วย และติดตามรถม้าของเหนียนเสียงหลินกลับเข้าเมืองไปติดๆ
เพิ่งจะส่งคนกลับไป หวังซื่อก็จูงเจินจูเข้าในบ้าน
ปิดประตูห้องด้วยความระมัดระวัง แล้วล้วงทองแท่งห้าอันกับตั๋วเงินหลายใบออกมาจากในอ้อมอก มือของหวังซื่อยังมีความสั่นเทาอยู่เล็กน้อย
“เจินจู ไม่ใช่ว่าย่ากำลังฝันอยู่หรือ? นี่เป็ห้าร้อยเหลียงใช่หรือไม่?” หวังซื่อนั่งอยู่ขอบเตียงสีหน้าท่าทางยังคงมีความไม่อยากจะเชื่อ
“แหะๆ ท่านย่า ท่านมิได้กำลังฝัน นี่เป็เงินห้าร้อยเหลียง เป็เงินที่พวกเราขายสูตรได้เ้าค่ะ” เจินจูหัวเราะแล้วกล่าวยืนยันกับหวังซื่อ
เสียงใสของเจินจูปลอบโยนจิตใจที่ตื่นเต้นสั่นไหวของหวังซื่อ นางดึงเจินจูเข้ามาโอบกอด มีเสียงสะอื้นไห้อยู่สองสามส่วน “นี่ล้วนต้องขอบคุณเ้าเลย …เจินจูของข้า! เ้าเป็ดาวนำโชคของครอบครัวสกุลหูจริงๆ! …ในใจย่ามีความสุขมากเหลือเกิน สกุลหูยากจนมาค่อนชีวิต มาวันนี้สามารถหาเงินได้ ล้วนเป็ความดีของเจินจูพวกเรา อมิตาพุทธ พระพุทธองค์ปกปักรักษาสกุลหูของพวกเรา…”
หวังซื่อโอบกอดร่างเล็กที่ผอมบางของเจินจู คิดถึงความทุกข์ยากที่กล้ำกลืนและความยากจนที่ได้รับของครอบครัวจากปีที่แล้วๆ มา อดเผยความอัดอั้นตันใจข้างในออกมาไม่ได้ สะอึกสะอื้นอยู่หลายสายจนเปลี่ยนเป็ร้องไห้ตัวโยน ซาบซึ้งใจเป็อย่างมากขึ้นมา
มือเล็กของเจินจูตบหัวไหล่ของนางเบาๆ นางเข้าใจอารมณ์แปรปรวนภายในใจของหวังซื่อ ภายนอกหวังซื่อเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวมาตลอด ความระทมทุกข์และเปราะบางภายในใจกลับไม่เคยแสดงออกมา อาศัยความหยิ่งในศักดิ์ศรีอดทนประคับประคองหนทางหาเลี้ยงชีพของครอบครัวสกุลหูทั้งสองฝั่ง
ในสายตาของหวังซื่อเงินห้าร้อยเหลียงตรงหน้า ย่อมเป็จำนวนตัวเลขที่มหาศาลอย่างแน่นอน เป็ธรรมดาที่จู่ๆ ได้เงินมากมายเช่นนี้ ต้องมีความแปลกใจและดีใจขึ้นพร้อมกัน ความรู้สึกตื่นเต้นจนไม่สามารถควบคุมได้เป็เื่ปกติมาก
แน่นอนว่า อย่างไรเสียชีวิตก็ผ่านการขัดเกลามาครึ่งชีวิตแล้ว ไม่นานหวังซื่อก็จัดการปรับสภาพจิตใจของตนเองได้เรียบร้อย
หลังจากนั้นเห็นนางดึงผ้าเช็ดหน้าผืนค่อนข้างเก่าออกมาจากอ้อมอก เช็ดคราบน้ำตาที่เต็มใบหน้าอย่างเก้อเขินเล็กน้อย
ผ่อนคลายอารมณ์ลงช้าๆ หวังซื่อยิ้มเยาะตนเองเล็กน้อย “เฮ้อ! ย่าแก่แล้วจริงๆ ไม่นึกเลยว่ายังจะร้องไห้ขึ้นมาได้ เจินจูเอ๋ย ไม่ได้ทำให้เ้าใใช่หรือไม่”
“ไม่เป็ไรเ้าค่ะ ท่านย่าแค่ร้องไห้ออกมาเพราะความยินดี มีความสุขมากเกินไป ก็เลยตื่นเต้นหวั่นไหวขึ้นมา” เจินจูยิ้มอย่างอ่อนโยน
“อืมๆ แค่ดีใจมากเกินไป ฮ่าๆ!! จะไม่ดีใจได้อย่างไรเล่า มีเงินเช่นนี้แล้ว ต่อไปพวกเราก็ไม่ต้องวางแผนใช้ชีวิตอย่างเป็ทุกข์อีก ในวันข้างหน้าผิงอันกับผิงซุ่นก็เหมือนไป่ิของครอบครัวหัวหน้าหมู่บ้าน สามารถไปเล่าเรียนที่หอสมุดไท่ผิงในเมืองได้แล้ว” ดวงตาสองข้างของหวังซื่อทอประกาย คล้ายกับเห็นท่าทางสองพี่น้องแต่งเครื่องแบบปัญญาชนบนกาย
“อื้ม ใช่แล้ว ต่อไปไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะสอบซิ่วฉายกลับมาเป็เกียรติให้แก่ตระกูลก็ได้นะเ้าคะ” เจินจูหัวเราะแล้วกล่าวคล้อยตามคำพูดของหวังซื่อ
“หากสกุลหูสามารถมีซิ่วฉายสักคนออกมาได้จริง เช่นนั้นก็เป็บรรพบุรุษเผาเครื่องหอมสูง [1] แล้ว!” หวังซื่อฟังคำพูดของเจินจูจบก็มีความสุขจนเอาแต่ฉีกยิ้มออกมา
“นั่นจะมีอันใดยากกัน ผิงอันกับผิงซุ่นของพวกเราล้วนฉลาดปราดเปรื่องอย่างมาก ยู่เซิงสอนหลายวันมานี้ พวกเขารู้จักตัวอักษรมากมายเลย! ตั้งใจเข้าเรียนในโรงเรียนส่วนตัวสองสามปีนี้ดีๆ ต่อไปต้องสอบซิ่วฉายกลับมาได้แน่นอนเ้าค่ะ” เจินจูน้ำเสียงมั่นใจ ผิงซุ่นผิงอันคนหนึ่งปราดเปรียวอยู่ไม่สุข คนหนึ่งนิสัยละเอียดรอบคอบ แม้อยู่ในคาบเรียนเล็กๆ จะแสดงออกมาไม่เหมือนกัน แต่ขอเพียงโน้มนำให้เหมาะสม การสอบซิ่วฉายน่าจะไม่ใช่เื่ยาก นางยังใช้น้ำแร่จิติญญาบำรุงอย่างสม่ำเสมออีก ไม่ว่าจะเป็ความแข็งแรงของร่างกายทั้งสองคน หรือจะเป็การพัฒนาสติปัญญาทั้งหมดล้วนรุดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
เจินจูหัวเราะคล้ายกับมองเห็นรูปร่างทั้งสองคนสวมเสื้อคลุมชายยาวมีวิชาความรู้และสง่างาม
“อื้มๆ! หากมีวันนั้นจริง ย่าก็ตายตาหลับแล้ว!” หวังซื่อรับรู้ได้ถึงความมั่นใจของเจินจู ทำให้น้ำในตารื้นขึ้นมาอีกครั้ง มือที่กุมเจินจูไว้สั่นระริกด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“เพ้ยๆๆ! ท่านย่ายังสาวอยู่เช่นนี้ ยังห่างไกลจากร้อยปีตั้งเยอะ ห้ามกล่าวเช่นนี้นะเ้าคะ” เจินจูแกล้งตีหวังซื่อเบาๆ ด้วยความโกรธเคือง
“ฮ่าๆ ย่าแก่ชราแล้ว ยังจะสาวอยู่ที่ไหนกันเล่า”
“จะไม่สาวได้อย่างไร ท่านดูสิ เส้นผมที่งอกออกมาใหม่ตอนนี้ล้วนเป็สีดำ รอให้เส้นผมสีดำยาวออกมาไม่ใช่ว่ายังสาวอยู่หรือเ้าคะ”
เอ่ยถึงผมสีดอกเลา หวังซื่อก็รู้สึกประหลาดใจมากเช่นกัน นางจัดการงานบ้านทุกข์ร้อนกับหนทางหาเลี้ยงชีพมาหลายปี เริ่มมีผมขาวขึ้นมานานแล้ว แต่หมู่นี้ผมสีดอกเลาทั่วทั้งศีรษะก็ค่อยๆ งอกเป็ผมสีดำออกมาอย่างคาดไม่ถึง เส้นผมภายนอกเกือบจะหาเส้นผมสีขาวไม่เจอแล้ว มีเพียงปลายผมเท่านั้นที่ยังคงเป็สีดอกเลา อีกอย่างไม่เพียงแค่นางผู้เดียวแม้แต่ตาเฒ่าหูเฉวียนฝูก็เป็เช่นนี้ แค่เส้นผมของหูเฉวียนฝูยังมีผมขาวงอกออกมาพร้อมกันจำนวนหนึ่ง แต่เทียบกับเมื่อก่อนแล้วยังน้อยกว่ามาก
หวังซื่อคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ แม้นางจะเคยได้ยินว่าคนชราบางคนจะมีผมดำงอกขึ้นมาใหม่ได้ แต่พอเื่เกิดกับตนเองนางยังรู้สึกเหลือเชื่ออยู่มาก อาจเป็เพราะหมู่นี้อาหารในบ้านเปลี่ยนมาดีขึ้น ยิ่งกว่านั้นคือไม่ต้องเป็ทุกข์กับหนทางหาเลี้ยงชีพเพื่อครอบครัวอีก จิตใจที่มีความสุขเส้นผมก็เลยกลับมาดกดำขึ้นกระมัง?
หลังจากพูดคุยจบลงพักหนึ่ง หวังซื่อก็สงบอารมณ์ลงได้ หยิบตั๋วเงินไม่กี่ใบขึ้นมาเบาๆ ในใจเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงแต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มมีความสุข “เงินห้าร้อยเหลียง… ย่าทำงานมาครึ่งค่อนชีวิต ยังไม่เคยเห็นเงินที่มากมายเพียงนี้เลย! เป็เจินจูของพวกเราที่มีความสามารถ พะโล้ธรรมดาเพียงนี้ ล้วนขายออกไปได้ราคาสูงเช่นนี้…”
“นี่เป็พะโล้ธรรมดาที่ไหนกันเ้าคะ” เจินจูอดมุ่ยปากขึ้นไม่ได้ “เห็นๆ กันอยู่ว่าเป็ข้ากับท่านย่าปรับให้เข้ากันตั้งหลายหน ถึงมีพะโล้รสชาติอร่อยเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นเ้าของร้านเหนียนจะเร่งรีบมาซื้อสูตรราคาสูงหรือเ้าคะ”
“ฮ่าๆ ใช่แล้ว เจินจูของพวกเราเก่งจริงๆ อาหารธรรมดาพอผ่านการปรับปรุงของเ้าเข้า รสชาติก็เปลี่ยนไปจนไม่ธรรมดาขึ้นมา” รอยยิ้มทั่วทั้งใบหน้าของหวังซื่อไม่ได้หุบลงเลย
“ที่ไหนกัน งานบนเตาเหล่านี้ล้วนเป็ท่านย่าลงมือด้วยตัวเองทั้งหมด แน่นอนว่าความดีของท่านมากที่สุดเลย!” หมวกทรงสูงใบใหญ่เอาแต่สวมลงบนศีรษะหวังซื่อ
ความจริงเป็เช่นนี้จริงๆ เจินจูเองไม่ได้สนใจในฝีมือการทำครัวเท่าไร อย่างมากที่สุดนางแค่เสนอความคิดเห็นเล็กน้อย รายละเอียดขั้นตอนของการทำแน่นอนว่าต้องอาศัยความชำนาญเช่นนี้ของหวังซื่อถึงจะทำได้
เชิงอรรถ
[1] บรรพบุรุษเผาเครื่องหอมสูง หมายความว่า บรรพบุรุษเคารพบูชาในพระพุทธเ้า พระพุทธเ้าจึงคุ้มครองให้พรแก่ลูกหลาน